หนิงมู่ฉือเห็นพระสนมเต๋อเฟยลอบกลืนน้ำลาย คิดจะยกปิ่งไปวางตรงหน้าให้สักชิ้น กลับคาดไม่ถึงว่าพระสนมเต๋อเฟยจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยออกมา “พี่สาว ท่านทานเถิด ข้ายังมีเื่ที่ตำหนักต้องกลับไปจัดการ ไม่รบกวนพี่สาวแล้ว”
ซูเฟยกำลังทานปิ่งอย่างเอร็ดอร่อย ไหนเลยจะสนใจว่าเต๋อเฟยกล่าวคำใดบ้าง ทานจนเริ่มอิ่มได้พอประมาณ ถึงค่อยหันไปมองหนิงมู่ฉืออย่างพิจารณา
ในใจนางเกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมา หากต่อมาไม่นานก็ส่ายหน้าสลัดความคิดนี้ทิ้งไป มองหนิงมู่ฉือด้วยสีหน้าเ็า “คาดไม่ถึงเลยว่าปิ่งที่เ้าทำจะรสชาติดีถึงเพียงนี้”
หลังจากพระสนมเต๋อเฟยกลับไป หนิงมู่ฉือก็เหมือนไร้ที่พึ่ง ในใจนางตอนนี้รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง เอาแต่ก้มหน้า ตัวสั่นเทาอยู่ตลอด
นางเหลือบไปมองนอกหน้าต่าง อาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็สีส้มจนกลายเป็สีน้ำหมึกในที่สุด นางขมวดคิ้ว ในใจนึกถึงประโยคที่จ้าวซีเหอพูดกับนางเมื่อเช้า เขากล่าวว่าจะรอนางอยู่หน้าวัง นางรู้สึกเป็ห่วงเขายิ่งนัก
จ้าวซีเหอในเวลานี้กำลังรอหนิงมู่ฉืออยู่หน้าวังหลวง ฟ้ามืดแล้วทว่าเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง จึงเริ่มร้อนใจ
คนขับรถม้าถอนหายใจออกมา “ซื่อจื่อ ให้ข้าน้อยเป็ส่งท่านที่ตำหนักก่อนดีหรือไม่ขอรับ ถึงอย่างไรแม่นางหนิงก็ไม่สำคัญเท่าท่าน”
เขาขมวดคิ้ว มองออกไปไกล “ไม่เป็ไร ข้าจะรอนางกลับพร้อมกัน”
คนขับรถม้ามองจ้าวซีเหอด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะมองเข้าไปในวัง จากนั้นถอนหายใจออกมาอีกครา “ไม่รู้ว่าแม่นางหนิงทำบุญมากี่ชาติ ถึงทำให้ซื่อจื่อรักใคร่ได้ถึงเพียงนี้!”
เขาได้ฟังยกยิ้มมุมปาก ก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็หม่นลง ใช่ ต้องทำบุญมากี่ชาติถึงจะได้ความรักจากเขา แต่แล้วเหตุใดสตรีผู้นั้นถึงไม่เข้าใจความในใจของเขาเสียที!
ทันใดนั้นเขามองเห็นเงาของคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ในตอนนี้หิมะเริ่มโปรยลงมาบางเบา ในวังสว่างไสวด้วยโคมไฟสีเหลือง เขามองคนผู้นั้นที่กำลังวิ่งมาหา
เขามองคนผู้นั้นที่กางร่มวิ่งมาทางนี้ด้วยในใจตื่นเต้น ทว่ายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลับพบว่าคนผู้นั้นไม่ใช่หนิงมู่ฉือ ใจที่พองโตเมื่อสักครู่เหี่ยวเฉาลงด้วยความผิดหวัง เอามือฟาดไปที่รถม้าอย่างไม่สบอารมณ์
รับรู้ได้ว่ารถม้าขยับ คนขับรถม้าใยิ่งนัก ขณะที่สายตาเหลือบเห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งกางร่มน้ำมันวิ่งตรงมาหา เมื่อมาถึงก็คุกเข่าลงก่อนจะเอ่ย “เรียนซื่อจื่อ วันนี้แม่นางหนิงจะไม่กลับตำหนักอ๋องขอรับ พระสนมซูเฟยรับสั่งว่า วันนี้นางจะพักในอยู่วังคืนหนึ่งขอรับ”
จ้าวซีเหอรู้สึกโมโหยิ่งนัก ะโสั่งคนขับรถม้าเสียงเข้ม “กลับตำหนัก!”
สตรีนางนี้เอาแต่ใจเกินไปแล้ว ถึงขั้นไม่รู้ว่าเขาเป็ห่วงนางเพียงใด กลับคิดจะพักอยู่ในวัง คงถูกพระสนมเต๋อเฟยหลอกเข้าให้อีกแล้วสิ!
ท้องของจ้าวซีเหอตอนนี้อัดแน่นไปด้วยโทสะ นั่งอยู่ในรถม้าไม่กล่าวว่าจาใดสักคำ หิมะบางส่วนถูกลมพัดเข้ามาในรถม้าทางหน้าต่าง
คนขับรถม้าเหล่มองอย่างเป็ห่วง คิดจะกล่าวเตือนให้ปิดผ้าม่านหน้าต่างลง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเ็าของซื่อจื่อก็ไม่กล้าพูดออกไปแม้แต่คำเดียว
หนิงมู่ฉือมองพระสนมซูเฟยที่ทานจนปิ่งเหลือแค่ไม่กี่ชิ้นอย่างพึงพอใจ ในใจนึกตกตะลึงยิ่งนักกับความสามารถในการทานของพระสนมซูเฟย ทานจนอิ่มพระสนมซูเฟยก็เอามือลูบท้องอย่างสบายใจ เช็ดปาก แล้วมองมายังนาง
นางรับรู้ได้ถึงสายตาคมปลาบก็รีบก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาใด กลับได้ยินพระสนมซูเฟยกล่าวแค่ว่า “เ้าไปทำของหวานมาให้ข้าที”
นางเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน นึกว่าตัวเองฟังผิดไป มองพระสนมซูเฟยอย่างไม่อยากจะเชื่อ พร้อมกับอุทานว่า “หา” หนึ่งคำ
นางฟังผิดไปหรือ ไม่กลัวอ้วนหรืออย่างไร หรือว่าทานแล้วค่อยให้หมอหลวงสั่งยาช่วยย่อยให้!
ซูเฟยพูดให้ฟังอีกรอบอย่างอดทน ครั้งนี้นางรีบวิ่งไปที่ห้องครัว เมื่อไปถึงพบว่าในห้องครัวครานี้มีวัตถุดิบมากมาย ในใจรู้สึกดีใจยิ่งนัก
นางได้กลิ่นกั่วเจี้ยง[1] ในห้องครัวจึงขมวดคิ้ว “กั่วเจี้ยงเหล่านี้ใส่น้ำตาลเยอะเกินไป!”
นางเอานิ้วเขี่ยดอกมะลิแห้งที่วางอยู่ด้านข้างไปมา ทำให้นิ้วนางมีกลิ่นมะลิติดมา
เช่นนั้นทำขนมเปี๊ยะเทพเซียนมะลิดีกว่า นางมองดอกมะลิแห้งเหล่านี้พร้อมรอยยิ้ม ขยำดอกมะลิแห้งจนกลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย นำไปผสมกับแป้ง น้ำ แล้วเริ่มนวด
มือนางตอนนี้มีแต่กลิ่นดอกมะลิ นางนึกชอบใจเป็ยิ่งนัก ก่อนจะหยิบถั่วเขียวและถั่วแดงไปผสมกับกั่วเจี้ยงเล็กน้อย จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด กลิ่นที่โชยขึ้นมานางถึงกับเคลิ้ม
นางนำแป้งที่นวดเสร็จเรียบร้อยแล้วมารีดเป็แผ่น ใส่ไส้ถั่วเขียวถั่วแดงที่ผสมกับกั่วเจี้ยงไว้ตรงกลาง ก่อนจะปั้นให้เป็รูปดอกมะลิ นางมองผลงานที่อยู่ในมือพร้อมกับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
นางรีบปั้นอีกหลายชิ้น ก่อนจะวางลงในลังถึง นั่งรอได้ครู่หนึ่งกลิ่นหอมของดอกมะลิก็อวลไปทั่วทั้งห้องครัว นางนึกถึงใบหน้าดุร้ายของพระสนมซูเฟยให้นึกแค้นใจยิ่งนัก อยากให้อีกฝ่ายทานจนจุกอกตายไปเลย!
ในเวลานี้ซูเฟยกำลังวางแผนร้าย นางมองยาในมือองค์หญิงซีเยวี่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยถามออกมา “ข้าไม่ใช้วิธีนี้มิได้หรือ”
องค์หญิงซีเยวี่ยส่ายหน้าเป็คำตอบด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว พูดด้วยภาษาจีนที่ยังไม่ค่อยจะคล่องแคล่วดีนัก “พี่สาว ที่ราบภาคกลางไม่ใช่มีคำกล่าวว่า ไม่เสียสละบุตรไม่ได้หมาป่าหรอกหรือ พี่สาวอย่าได้ลืมว่าสิ่งที่ท่าน้าคือสิ่งใด”
ซูเฟยได้ยินเช่นนั้น หลับตากัดฟันพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นยื่นมือไปรับยามา “ได้ ข้าจะทานเดี๋ยวนี้”
นางนำเม็ดยาใส่ปาก ก่อนจะดื่มน้ำชาตาม ทิ้งรอยชาดสีแดงไว้บนแก้วชา รวมถึงเศษผงของเม็ดยาด้วย
หนิงมู่ฉือยกขนมเปี๊ยะเทพเซียนมะลิที่นึ่งเสร็จใหม่ๆ เข้าไปให้พระสนมซูเฟยในตำหนัก โดยไม่คาดคิดเลยว่ามีเื่ยุ่งเกิดขึ้นแล้ว
ใบหน้าของซูเฟยบิดเบี้ยวด้วยความเ็ปทรมาน ขณะเอามือกุมท้อง
ซูเฟยชี้นิ้วมาทางหนิงมู่ฉือพร้อมกับเอ่ย “ทุกคนรีบไปจับตัวนังบ่าวร้ายกาจที่ทำร้ายข้าผู้นี้เอาไว้ประเดี๋ยวนี้ เป็เพราะข้าทานปิ่งตัดิญญาของนางจึงทำให้ถูกพิษ!”
หนิงมู่ฉือได้ฟังรู้ทันทีว่า นางตกลงไปในกับดักของพระสนมซูเฟยเข้าให้แล้ว นางเห็นทหารองครักษ์มากมายเข้ามาจะมาจับตัวนาง ในขณะที่พระสนมซูเฟยปวดท้องจนเป็ลมหมดสติไป
นางในตอนนี้ต่อให้มีร้อยปากก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกแล้ว นางมองบรรดาขันทีทั้งหลายที่ะโเรียกหมอหลวงอย่างตื่นตระหนกไปพลาง วิ่งออกข้างนอกไปพลาง ทั้งยังมีขันทีบางคนรีบวิ่งไปรายงานฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินที่ตำหนัก
สีหน้านางตอนนี้มีแต่ความสิ้นหวัง นางหันไปมององค์หญิงซีเยวี่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกล อีกฝ่ายะโใส่หน้านางด้วยน้ำเสียงดุดัน “ปิ่งตัดิญญาหรือ ตัดิญญาสมชื่อจริงๆ มีแต่คนจิตใจโหดร้ายเช่นเ้าถึงจะคิดวิธีฆ่าคนเช่นนี้ออกมาได้!”
ข่าวที่พระสนมซูเฟยถูกวางยาพิษรู้กันไปทั่วทั้งวังหลวงภายในเวลาไม่นาน แม้แต่อัครมหาเสนาบดีก็ยังทราบ จึงรีบเดินทางเข้ามาในวังหลวงอย่างร้อนใจ
[1] กั่วเจี้ยง คือแยมผลไม้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้