ซือถูเป็หนึ่งในจิ่วชิง1และเป็ขุนนางชั้นหนึ่ง โม่ซีควรรู้จักเขา ทว่าเขาไม่มีความสนใจในเื่การเมือง หลังจากฮ่องเต้แห่งต้าจิ้งมอบเมืองหลานตูให้เขา เขาจึงเข้าร่วมประชุมราชสำนักประจำวันและนั่งฟังเหล่าขุนนางจากราชวงศ์ก่อนรายงานเื่ราวต่างๆ อย่างเฉยเมยเท่านั้น
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์ก่อนมีั้แ่ระดับหนึ่งถึงระดับเก้า และมีขุนนางรับราชการในเมืองหลานตูไม่น้อยกว่าสามถึงสี่ร้อยคน หากไม่นับรวมเหล่าขุนนางหัวแข็งจนยอมฆ่าตัวตาย ถูกเขาสังหาร หรือหลบหนีออกจากเมืองหลานตูไปแล้ว จะมีขุนนางระดับห้าที่สามารถเข้าเฝ้าได้ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน
หลังจากที่อาณาจักรต้าจิ้งเข้ายึดครองอาณาจักรหยวนฉี ได้คัดเลือกเหล่าราษฎรขึ้นมาเป็ขุนนางจำนวนหลายสิบคน ด้วยจำนวนที่มากมายเช่นนี้ทำให้โม่ซีนึกไม่ออกว่า มีซือถูสกุลซูในราชสำนักปัจจุบันหรือไม่ เดาว่าบางทีอาจเสียชีวิตใน่การสังหารหมู่ไปแล้ว
หากฆ่าตัวตายหรือหลบหนีไปก็ไม่ต้องกังวลอะไร
ทว่าหากถูกเขาสังหาร และวันนี้เขายังพรากความบริสุทธิ์ของซีอีไปอีก
การฆาตกรรม การลอบวางเพลิง การข่มขืน การปล้นสะดม ดูเหมือนเขาจะทำเื่ชั่วช้าไว้มากมายและเป็วายร้ายอย่างแท้จริง
ช่างน่าละอาย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ โม่ซีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะกับสิ่งที่ตนเคยทำ
ทว่าบางทีซูซือถูอาจยังไม่ตาย เขาอาจเพียงจำสกุลของขุนนางเ่าั้ไม่ได้เท่านั้น
หากซูซือถูยังไม่ตายขึ้นมาจริงๆ ควรทำอย่างไร? บอกซูซือถูว่าเขาพรากพรหมจรรย์ของลูกสาวของเขาไปอย่างนั้นหรือ?
หากซูซือถูเป็พวกคนประจบสอพลอ อาจจะดีใจที่เขารับลูกสาวผู้นี้ไว้และคำนับในพระคุณของเขาก็ได้ นี่เป็เพียงความคิดที่เขาไม่ได้พูดออกมา
ทว่าความเงียบงันเพียงชั่วครู่และรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยการเสียดสีนั้นทำให้ฉีซีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา รู้สึกเสียใจที่ตนมุทะลุเกินไป แม้ซูซือถูจะไม่อยู่แล้ว ทว่าเขาก็มีตัวตนอยู่จริง
ยามที่ถูกคุมขังในหอนางโลม ซูอวิ๋นจิ่นลูกสาวของซูซือถูที่มีจำนวนสตรีในตระกูลมากที่สุด
นางเคยได้ยินสาวใช้ของซูอวิ๋นจิ่นร้องไห้ระบายความทุกข์เกี่ยวกับฐานะและชะตากรรมของพวกตน ได้ยินมาว่ายามที่เมืองหลานตูถูกทำลาย ซูซือถูยืนกรานไม่ยอมจำนนจึงวางแผนแขวนคอตายในจวน และสั่งให้เหล่าสตรีในบ้านฆ่าตัวตายไปพร้อมกัน
ทว่าฮูหยินซูและซูอวิ๋นจิ่นบุตรสาวปฏิเสธ และใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายตอนที่ทหารต้าจิ้งบุกเข้าโจมตีจวนตระกูลซูหลบหนีออกมาพร้อมกับสาวใช้ แม่นม และเหล่าข้ารับใช้ สตรีเหล่านี้้าหาลานเล็กๆ เพื่ออาศัยหลบภัย ทว่าข้ารับใช้เห็นว่าสตรีเหล่านี้เอาสมบัติล้ำค่าติดตัวมามากมายจึงเกิดความโลภ ทำสิ่งที่ผิดต่อจริยธรรมและขายเ้านายของตน
สตรีเหล่านี้จึงถูกบุรุษข่มขืนและถูกขายออกไป
ฮูหยินซูยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องซูอวิ๋นจิ่น ทว่าซูอวิ๋นจิ่นก็ยังตกอยู่ในเงื้อมมือของหอนางโลม
แม้ว่าการสวมรอยเป็ซูอวิ๋นจิ่นจะผิดศีลธรรม ทว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้น ฉีซีจึงจำเป็ต้องโกหกครั้งใหญ่เพื่อเอาตัวรอด
นางไม่แน่ใจว่าซูซือถูยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่ การที่โม่ซีไปตรวจสอบจะไม่เป็การเผยช่องโหว่ของนางหรอกหรือ?
เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะจัดการกับตนอย่างไร?
ฉีซีได้แต่หวังว่าคำโกหกนี้จะไม่ถูกจับได้เร็วเกินไป เพื่อที่นางจะได้หลบหนีออกจากจวนซีอ๋อง ก่อนที่โม่ซีจะเกิดความสงสัย
"เหตุใดเ้าถึงตัวสั่นล่ะ?"
โม่ซีสังเกตเห็นว่าร่างกายอันอ่อนนุ่มนิ่มในอ้อมแขนสั่นระริกเบาๆ เขาจึงถอยออกห่างจากนางหนึ่ง่แขน
“หรือว่าเ้าร้อนตัว?”
โม่ซีรับมือได้ยากกว่าที่นางคิด เมื่อสังเกตเห็นว่าฉีซีมีท่าทีแปลกประหลาดจึงเลิกคิ้วทันที เชยคางขึ้นของนางขึ้นและเอ่ยถามด้วยความสงสัย "ในเมื่อเ้าเป็บุตรสาวของซูซือถู เหตุใดเ้าจึงสวมเสื้อผ้าของนางกำนัล แล้วไหนจะผ้ารัดอกของราชวงศ์อีกล่ะ?”
แววตาของเขาเฉียบคนเสียจนไม่สามารถสบตาได้
ฉีซีไม่กล้ามองเขา ความร้อนตัวทำให้เมื่อนางเผชิญกับภัยคุกคามต่อชีวิต จึงทำได้เพียงหลุบตามองไปที่หน้าอกของโม่ซี
เมื่อมองผิงอันโค่วสีมรกตใสที่สะท้อนใบหน้าแดงก่ำของตน แววตาจึงสั่นระริกด้วยความกลัว ใจเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น
ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่นักแสดงปาหี่ และไม่ได้เรียนรู้กลอุบายของสนมในวังหลัง
ทว่านางจะทำให้โม่ซีรู้ความคิดที่แท้จริงในใจนางได้อย่างไร?
“ข้า──ข้าถูกบังคับให้เปลี่ยนเสื้อผ้า──อืม──ข้าเป็ตัวแทนขององค์หญิงหลิวเฟิง แต่ใครจะรู้ว่านางจะถูกจับได้และจุดไฟเผาตัวเองจนตายในตำหนักหานซิ่วล่ะ──ไม่มีผู้ใดไม่รักชีวิตของตน ข้าก็ไม่มีข้อยกเว้น ข้าจึงต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดของนางกำนัลเพื่อเอาชีวิตรอด”
เมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขัน นางจึงเริ่มโกหกได้คล่องแคล่วขึ้น
นางกล่าวประโยคนี้ได้อย่างไร้ที่ติ ทว่าโม่ซีกลับจ้องนางโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่เชื่อหรือ?
ฉีซีถูกบีบให้พูดว่า "ซีอ๋องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว หากสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปเป็คำโกหก ลองตรวจสอบดูก็จะรู้"
โม่ซีเลิกคิ้ว ไม่จำเป็ต้องเชื่อคำเยินยอจอมปลอมเหล่านี้ ทว่านางยินยอมให้เขาตรวจสอบตัวตนของนางอย่างนั้นหรือ?
ดวงตาสีดำสนิทฉายแสงสลัว เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบดั่งเสือดาว โผบินว่องไวดั่งเหยี่ยว ฉีซีเริ่มกังวลมากขึ้น หัวใจเต้นรัวทันที ทำได้เพียงกัดฟันเปลี่ยนบทพูด ทันใดนั้นนางก็ใช้ไม้อ่อน น้ำเสียงอ่อนลงและเต็มไปด้วยความคับข้องใจ "หากซีอ๋องไม่เชื่อก็ช่างเถิด ร่างกายเปรียบเสมือนต้นหลิว ไม่กล้าคาดหวังสิ่งใด──ช่างเถิด──”
นางถอนหายใจ แสร้งทำเป็หันหลังและไม่สนใจเขาอีกต่อไป
จากนั้นแอบบีบแผลที่แขนตัวเองจนน้ำตาไหลซึมออกมา และคร่ำครวญเสียงแ่
เมื่อโม่ซีเห็นางเล่นละครก็นึกขำ การแสดงของนางแย่มาก ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเปิดโปงนางดีหรือไม่ ทว่าเสียงคร่ำครวญด้วยความเ็ปของนางดูไม่ได้เสแสร้ง เขาจึงเอ่ยถามว่า "เป็อะไรไป?"
ราวกับลังเล นางหลุบตาลงครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ
“ข้าเจ็บ──”
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่องค์หญิงแห่งหยวนฉีเช่นนี้ได้ลดศักดิ์ศรีลง ใช้มารยาสตรีเพื่อแลกกับความรักความเสน่หาของบุรุษเพื่อความอยู่รอด
พวงแก้มของนางแดงยิ่งขึ้น ทว่าเพราะความอับอาย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนที่เป็บุตรสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายของฮ่องเต้หยวนฉีจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!
หลังจากถูกล่วงประเวณี นางยังต้องเรียนรู้มารยาของเหล่าสนมในวังหลังที่แข่งขันกันเพื่อชิงความโปรดปรานของเสด็จพ่อ เพื่อยั่วยวนบุรุษที่ล่วงละเมิดนางและได้รับความโปรดปรานจากเขา ความรู้สึกต่ำต้อยและอัปยศอดสูเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกดูถูกตนเอง
หากทำได้ นางอยากจะหยิบกริชและพุ่งเข้าแทงหัวใจของโม่ซีที่พรากความบริสุทธิ์ของนางไปในทันที และฆ่าบุรุษผู้นี้เสีย!
ทว่านางทำไม่ได้ ความแตกต่างด้านร่างกายระหว่างบุรุษและสตรีทำให้นางต้องจำนนต่อเขาเพื่อเอาชีวิตรอดก่อน แล้วค่อยวางแผนใหม่ในภายหลัง
โม่ซีได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปชั่วครู่ เห็นขนตายาวของนางเปียกด้วยน้ำตา น้ำเสียงที่คลุมเครือและเย้ายวน ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาร้อนผ่าวขึ้น
แม้ว่าเขาจะมีนางบำเรอมากมาย ทว่าเขากลับเฉยชาและไร้ความรู้สึก ยามอยู่บนเตียง ไม่ว่านางบำเรอจะยั่วยวนเขาหรือปล่อยให้เขาปลดปล่อยความปรารถนาเท่าไหร่ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าแสร้งทำเป็น่าสงสารและแสดงความคับข้องใจเช่นนี้?
แต่ซูซีอีแตกต่างออกไป
"ข้าเจ็บ" เพียงสองคำ กลับแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง
----------------------------------------------------------
[1] จิ่วชิง เก้าขุนนาง ดูแลในทุกด้านเกี่ยวกับงานด้านพลเรือน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้