หนิงมู่ฉือกล่าวถึงตรงนี้ ยิ้มอย่างลึกลับให้แก่ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน “ทูลฝ่าา บ่าวใส่วัตถุดิบซึ่งเป็ความลับอย่างหนึ่งลงไปเพคะ ความจริงแล้วท่านกงกงเดาขาดไปสองอย่าง”
“หืม? แปลกมากจริงๆ” ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยกยิ้มมุมปาก ด้านจ้าวซีเหอ ตอนนี้กำลังทอดมองหนิงมู่ฉือด้วยสีหน้าเศร้าสลด
จ้าวซีเหอพบว่ามีคนกำลังมองมาที่ตัวเอง จึงหันมองไปยังทิศทางนั้น ได้พบกับองค์หญิงซีเยวี่ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย น้ำตาคลอหน่วย แลดูน่าสงสารเหลือประมาณ
เขาส่งยิ้มอย่างมีมารยาทไปให้ องค์หญิงซีเยวี่ยนั่งนิ่งอยู่ด้านข้างองค์ชายเอ่อร์ตั้นอย่างรักษาภาพลักษณ์ เห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง เขาถอนหายใจออกมาหนึ่งครา
หนิงมู่ฉือมองผู้คนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย บางคนถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ก่อนจะกล่าวตอบ “ทูลฝ่าา วัตถุดิบลับที่บ่าวใส่ลงไปในอาหารจานนี้ หนึ่งคือมะรุมของอินเดีย และสองคือ…”
นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง นั่นยิ่งทำให้ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น “บอกมาเถิด เราไม่ว่าเ้าหรอก”
“อย่างที่สองคือน้ำตาของบ่าวเองเพคะ” สิ้นเสียง ทุกคนส่งเสียงพูดคุยกันยกใหญ่ บางคนถึงกับลุกขึ้นยืนชี้นิ้วมาที่นาง
“ว่ากระไรนะ! น้ำตาของเ้า! ของแบบนี้ใส่ลงไปในอาหารได้อย่างไร!” บางคนหน้าแดงก่ำ ขณะเอ่ยอย่างไม่พอใจ
เต๋อเฟยได้ฟัง จ้องมองหนิงมู่ฉือด้วยแววตาอิจฉาริษยา
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเห็นทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้พูดคุยส่งเสียงดัง รู้สึกไม่พอใจยิ่ง ะโเสียงดังออกมาว่า “เงียบ!”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นเงียบกริบทันควัน มองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินที่มีสีหน้ากรุ่นโกรธ ก่อนจะเห็นฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินพูดคุยกับหนิงมู่ฉือต่อด้วยสีหน้าเลื่อมใส “เหตุใดน้ำตาของเ้าถึงส่งผลยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถึงทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ร้องไห้ออกมาได้”
หนิงมู่ฉือไม่อยากพูดถึงเื่นี้เท่าไหร่ ทว่าสุดท้ายก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าใจระคนแค้นใจ “บ่าวแค่คิดถึงเื่ในสมัยก่อนนะเพคะ ถึงได้หลั่งน้ำตาออกมาอย่างขมขื่น อาหารจานนี้ต้องใส่น้ำตาลงไปด้วย มิเช่นนั้นจะไม่ใช่น้ำตาจระเข้ที่สมบูรณ์ อาหารจานนี้มีชื่อว่าน้ำตาจระเข้ จะมีแต่จระเข้ไม่มีน้ำตาไม่ได้เพคะ”
“ยอดเยี่ยมมาก! ตบรางวัล!” ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินรู้สึกพึงพอใจกับคำตอบของหนิงมู่ฉือเป็อย่างมาก แย้มสรวล ทั้งยังสั่งให้หัวหน้าขันทีจางตบรางวัลให้อีกด้วย
หัวหน้าขันทีจางยิ้มออกมาเช่นกัน เป็รอยยิ้มที่มาจากใจ เขายกนิ้วโป้งชมเชยให้แก่หนิงมู่ฉือ ทำให้หนิงมู่ฉือยิ้มอย่างขวยเขิน
ทว่าการแสดงออกของหนิงมู่ฉือกลับทำให้คนรอบข้างรู้สึกอิจฉา กระทั่งซูเฟยยังเริ่มคิดหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน นางมองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินที่แย้มสรวลเต็มพระพักตร์ ขณะเอ่ยกับนางกำนัลข้างกาย “ฝ่าาไม่เคยแย้มสรวลให้ข้าเช่นนี้มานานแล้ว ทว่าวันนี้แย้มสรวลกว้างให้แก่บ่าวคนหนึ่ง อีกเดี๋ยวเ้าช่วยข้านำของขวัญไปมอบให้นางด้วย”
นางกำนัลพยักหน้ารับ พร้อมกับจ้องมองหนิงมู่ฉือด้วยสายตาลุ่มลึก
จ้าวซีเหอมองการแสดงออกของหนิงมู่ฉือในวันนี้ ขณะที่ในใจร้องออกมาว่า ไม่ดีแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดนางถึงต้องทำตัวให้เป็จุดเด่น ไม่รู้จักเอาตัวรอด ครุ่นคิดขณะจ้องมองนางด้วยความเป็ห่วง
การแข่งขันรอบแรกจบลงไปแล้ว ผู้ชนะคือผู้ใดไม่ต้องสงสัยเลย คือหนิงมู่ฉือนั่นเอง
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวมองหนิงมู่ฉืออย่างไม่อยากจะเชื่อ เดินไปหยุดยืนข้างกาย เค้นเสียงฮึ ก่อนจะใช้นำเสียงเล็กแหลมกล่าวดูถูก “แม่นางหนิงอย่าเพิ่งได้ใจไป การแข่งรอบต่อไปเป็การแข่งขันการใช้มีด สิ่งนี้เป็สิ่งที่พวกเราถนัดนัก พอถึงตอนนั้นอย่าแพ้จนน่าอนาถเกินไปเสียเล่า”
หนิงมู่ฉือยิ้ม “ขอให้เป็ไปอย่างที่ท่านกงกงกล่าวมา”
ขันทีผู้รับผิดชอบจัดงานยิ้มอ่อนขณะมองทั้งสองคน “การแสดงว่าเป็ศัตรูกันของทั้งสองยิ่งแสดงก็ยิ่งดูดุเดือด ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ รอบต่อไปพวกเราจะแข่งการใช้มีด นั่นคือต้องหั่นหัวไชเท้าที่วางอยู่บนเขียงออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด ต้องบางที่สุดและเร็วที่สุด จากนั้นนำไปทำน้ำแกงหัวไชเท้าที่เต๋อเฟยทรงโปรดปรานยิ่งนัก ผู้ใดทำเสร็จก่อนผู้นั้นถึงจะเป็ผู้ชนะ”
หนิงมู่ฉือได้ยินชื่อเต๋อเฟย ในใจร้องว่าแย่แล้ว โจทย์นี้ต้องเป็เต๋อเฟยที่ทรงคิดเป็แน่ นางรู้สึกกดดันยิ่งนัก ถอนหายใจออกมา ดูท่าการแข่งขันรอบนี้ นางจะต้องเป็ฝ่ายแพ้เป็แน่แท้ ถึงกระนั้นในใจนางกลับรู้สึกไม่ยินยอม
นางค่อยๆ ปอกเปลือกหัวไชเท้าอย่างช้าๆ ปอกยังไม่ทันเสร็จก็พบว่าขันทีหัวหน้าพ่อครัวที่แข่งกับนางกำลังซอยหัวไชเท้าเป็ชิ้นเล็กๆ แล้ว
นางเห็นภาพนั้นก็ปรบมือชื่นชมอีกฝ่าย ขันทีหัวหน้าพ่อครัวซอยหัวไชเท้ารัวละเอียดยิบ ประหนึ่งกำลังปักผ้าก็ไม่ปาน
ขันทีพ่อครัวคนอื่นที่ชมอยู่ด้านล่างเวทีเห็นเช่นนั้น ต่างปรบมือชื่นชมไม่หยุด
นางใช้เวลาจัดการหัวไชเท้าไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป หยิบมีดที่ปักอยู่บนเขียงขึ้นมาควงกลางอากาศ โยนมีดขึ้นฟ้า ก่อนจะตกลงมาในมือนางพอดิบพอดี ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด
การกระทำนี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้เป็อย่างดี นางวางหัวไชเท้าที่ปอกเปลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วไว้บนเขียง ก่อนจะหั่นเป็ชิ้นบางด้วยความเร็วที่ทุกคนมองตามไม่ทัน
นางตั้งใจถ่วงเวลา ครั้นเห็นขันทีพ่อครัวที่แข่งกับนางนำหัวไชเท้าไปเคี่ยวกับน้ำแกงกระดูกไก่ นางถึงค่อยนำหัวไชเท้าที่หั่นเป็ชิ้นบางมาซอยอีกที
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวมองหนิงมู่ฉืออย่างลำพองใจ ในใจคิดว่า การแข่งรอบนี้คงเป็เื่ยากสำหรับหนิงมู่ฉือ ก่อนที่สายตาจะหันไปหาเต๋อเฟยพร้อมด้วยรอยยิ้มย่ามใจ
หนิงมู่ฉือซอยหัวไชเท้าเสร็จในที่สุด จากนั้นค่อยๆ นำไปต้มกับน้ำกระดูกไก่ นางต้มยังไม่ทันจะได้ที่ก็เห็นขันทีหัวหน้าพ่อครัวที่กำลังแข่งกับนางตักน้ำแกงหัวไชเท้าใส่ถ้วย นำไปวางไว้ตรงกลางเวทีแล้ว ไม่เพียงแค่นั้นยังหันมามองนาง ยิ้มอย่างได้ใจอีกด้วย
ได้ยินเสียงขันทีผู้รับผิดชอบงานตีฆ้องจบการแข่งขัน นางวางกระบวยที่ถืออยู่ลง ก่อนจะถือถ้วยน้ำแกงหัวไชเท้าที่เพิ่งทำเสร็จ เดินไปข้างกายขันทีผู้รับผิดชอบงาน
ขันทีผู้รับผิดชอบงานมองน้ำแกงหัวไชเท้าในมือนางพร้อมกับส่ายหน้าถอนหายใจออกมา ก่อนจะจับแขนขันทีที่แข่งกับนางชูขึ้น
การกระทำนี้เรียกเสียงตื่นตะลึงจากผู้คนที่ชมอยู่ได้เป็อย่างดี ขันทีพ่อครัวทั้งหลายปรบมืออย่างดีอกดีใจให้ขันทีหัวหน้าพ่อครัว ด้านหนิงมู่ฉือได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญาให้ขันทีหัวหน้าพ่อครัว
“ท่านกงกงทำน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก หัวไชเท้าซอยละเอียดราวกับปักผ้าก็ไม่ปาน เมื่อนำไปทำน้ำแกงหัวไชเท้า ดูสวยงามประหนึ่งดอกไม้ที่กำลังบานได้ที่ในฤดูใบไม้ผลิ ผู้ใดได้เห็น จิตใจอดไม่ได้ที่จะเบ่งบานตามไปด้วย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้