“เฉิงชิงสอบได้อันดับที่เก้าสิบเจ็ดจากสองร้อยหกสิบเจ็ดคน”
นายท่านห้าเฉิงเอ่ยราวกับพูดคุยเื่ทั่วไป นางหลี่ผู้เป็ภรรยากลอกตาใส่เขาเบาๆ “ท่านยังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ? ชิงเกอเอ๋อร์เพิ่งศึกษาสี่ตำราห้าคัมภีร์ได้สี่เดือนกว่า ผู้ที่สอบเข้าสถานศึกษาได้พร้อมเขาอย่างน้อยที่สุดก็ศึกษามาแล้วสองสามปี!”
ในยามนี้ความเจริญยังไปไม่ทั่วถึงนัก ราวกับว่าการศึกษาภาคบังคับในรุ่นหลังเป็สิ่งที่ไม่กล้าคิดแม้แต่จะฝันถึง ทุกที่เต็มไปด้วยผู้ไม่รู้หนังสือ ชาวบ้านธรรมดาที่สามารถอ่านหนังสือรู้ตัวอักษรก็มีอยู่น้อยมาก คนส่วนใหญ่ยามเมื่อจะจบชีวิตลง แม้แต่ตัวหนังสือสักตัวก็ไม่รู้จัก
นักเรียนที่สถานศึกษาหนานอี๋รับไม่ใช่เพียงแค่รู้ตัวหนังสือ แต่หากไม่มีพื้นฐานสี่ตำราห้าคัมภีร์ที่เพียงพอ สถานศึกษาก็ไม่อาจรับเข้าเช่นกัน
โดยปกติแล้วผู้ที่ถูกรับเข้าสถานศึกษา ตั้งใจเล่าเรียนสองสามปี การสอบซิ่วไฉก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ส่วนจะสอบจวี่เหรินได้หรือไม่นั้น นอกจากการสอนของสถานศึกษาแล้วก็ต้องดูความเพียรและพร์ของตนด้วย
เมื่อเปรียบเทียบเฉิงชิงกับคนหนุ่มรุ่นเดียวกัน ห้องตัวอักษรติงมีคนอยู่สองร้อยหกสิบเจ็ดคน ในการสอบประจำเดือนครั้งแรกเฉิงชิงได้อันดับที่เก้าสิบเจ็ด หากวิเคราะห์ถึงระยะเวลาการเรียนอันแสนสั้นไม่กี่เดือนของเฉิงชิงแล้ว นางหลี่รู้สึกว่าผลการสอบของเฉิงชิงไม่เลวเลย!
ด้วยกลัวว่าสามีจะดูแคลนเฉิงชิงเพราะเหตุนี้ นางหลี่จึงกล่าวสำทับอีกประโยค
“ท่านต้องดูการสอบในเดือนหน้าอีกที ชิงเกอเอ๋อร์ย่อมยังมีพัฒนาการแน่นอน เด็กคนนี้แม้อาจจะไม่มีพร์อย่างเมิ่งไหวจิ่น แม้แต่ตอนหยุดพักตำราก็ยังไม่ห่างมือ อนาคตย่อมไม่แพ้เมิ่งไหวจิ่น”
นายท่านห้าอับจนปัญญา
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ดี…”
เขาเพิ่งจะพูดได้เพียงประโยคเดียว นางหลี่ก็มีคำพูดมากมายมาโต้แย้งเขา หากคนนอกไม่รู้ก็คงคิดว่าเฉิงชิงเป็หลานชายแท้ๆ ของนางหลี่!
แต่ว่าเด็กคนนั้นก็ช่างทำให้คนรู้สึกชอบพอจริงๆ
ตระกูลเฉิงอาศัยอยู่ที่อำเภอหนานอี๋มาอย่างยาวนาน ภายในตระกูลมีบุตรหลานมากมาย ที่เรียนอยู่ที่สถานศึกษาก็ยิ่งไม่น้อย และที่มีคะแนนดีกว่าเฉิงชิงก็มีไม่น้อยเช่นกัน นางหลี่ห่วงใยเฉิงชิงเช่นนี้ก็ได้แต่เพียงกล่าวว่าเฉิงชิงเป็ที่ถูกชะตาของนางหลี่แล้ว
ไม่ต้องยกตัวอย่างคนอื่นไกล อย่างเฉิงกุยของบ้านรอง นางหลี่แม้แต่จะคิดห่วงใยยังไม่กล้า นางจูของบ้านรองทำทีราวกับป้องกันขโมย กลัวนางหลี่จะจับตัวหลานชายของนางไปอย่างไรอย่างนั้น
เหอะ จิตใจของคนถ่อย!
ยามนี้นายท่านเฉิงหวังว่าราชสำนักจะสะสางคดียักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว น้องชายร่วมอุทรที่อยู่ในเมืองหลวงก็คงช่วยขจัดมลทินของเฉิงจือหย่วนจากคดีนี้อย่างเต็มที่เช่นกัน
แม้จะช่วยให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนกลับมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะหลงเหลือชื่อเสียงที่ขาวสะอาดเอาไว้
ความคิดเช่นนี้ของนายท่านห้าเฉิงเริ่มแรกเกิดจากผลประโยชน์ภายในตระกูล คิดเพื่อชื่อเสียงของตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ คิดเพื่อน้องชายร่วมอุทรที่เมืองหลวง ตอนนี้กลับมีเหตุผลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อแล้ว บุตรชายของขุนนางต้องโทษไม่อาจเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ หากมลทินบนตัวเฉิงจือหย่วนยังไม่ได้รับการชะล้าง เฉิงชิงเด็กคนนั้นก็จะถูกทำให้ล่าช้าไปด้วย!
นั่นเป็เื่ที่น่าสงสารมากทีเดียว
นายท่านห้าเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไปที่ห้องหนังสือ เขียนจดหมายให้คนส่งไปยังเมืองหลวง
“ต้องส่งให้ถึงมือนายท่านหกโดยตรง”
เฉิงชิงสอบได้อันดับที่เก้าสิบเจ็ดของห้องตัวอักษรติง
เฉิงกุยสอบได้อันดับที่สิบเก้าของห้องตัวอักษรอี่
เมื่อนำคะแนนของทั้งสอบมาเทียบกัน ผู้ที่มีตาต่างก็มองออกว่าระยะห่างนั้นใหญ่มาก เมื่อแม่นมโจวได้ยินข่าวนี้ก็รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องดีใจเป็แน่
ดังคาด เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินข่าวนี้ก็เรียกให้นางหวงลูกสะใภ้สามมาหา
“กุยเอ๋อร์แม้แต่วันหยุดก็ไม่กลับบ้าน มุ่งมั่นแต่จะตรากตรำร่ำเรียนอยู่ที่สถานศึกษา แรงกายของเขาล้วนถูกใช้ไปกับการสอบเข้ารับราชการ เ้าผู้เป็อาสะใภ้ของเขาก็ต้องดูแลเื่ปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตของเขา”
นางหวงรีบเอ่ยแก้ตัว “เมื่อรู้ว่าเฉิงกุยไม่กลับบ้านในวันหยุด ตัวลูกก็ได้ให้คนไปส่งชุดฤดูใบไม้ร่วงที่ตัดเย็บใหม่ไปให้แล้วเ้าค่ะ งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เฉิงกุยย่อมต้องเข้าร่วมแน่นอน เลยได้ให้เงินเพิ่มไปอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน หากท่านแม่รู้สึกว่ายังไม่พอ ลูกจะสั่งให้คนไปส่งอีกครั้งเ้าค่ะ!”
งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูที่จัดปีละครั้งคือเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของอำเภอหนานอี๋ ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็โอกาสของเหล่าบัณฑิตที่จะแสดงศักยภาพ สร้างชื่อเสียงและคบหามิตรสหายสร้างเครือข่าย เฉิงกุยอายุสิบหกปีแล้ว บ้านรองยังไม่ได้จัดหาคู่หมายให้เขาก็เพื่อให้เขาตั้งสมาธิไปกับการสอบเข้ารับราชการ แต่หากมีโอกาสการแต่งงานที่ดี บ้านรองก็ย่อมไม่ขัดข้อง
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งจะยอดเยี่ยมหรือไม่ ต้องดูจากตำแหน่งขุนนางของบิดา ดูอิทธิพลของตระกูลทั้งหมด และยังต้องดูลักษณะท่าทางของเด็กหนุ่มผู้นั้น
งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูเป็สถานที่ที่ดีที่สุด นางหวงรู้ดีว่าแม่สามีรักและทะนุถนอมเฉิงกุย ย่อมต้องจัดการเื่เหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแทนเฉิงกุย
ถึงอย่างไรก็ใช้เงินกงสี นางหวงไม่รู้สึกปวดใจเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าจูไม่ค่อยพึงพอใจนัก นางหวงเพียงกล่าวถึงเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงและเงิน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งห้องครัวให้ตุ๋นน้ำแกงบำรุงวันละหนึ่งถ้วยส่งไปที่สถานศึกษาทุกวัน
“ต้องดูเฉิงกุยดื่มจนหมด หากร่างกายล้มพับไป ความปรารถนาในการสอบเข้ารับราชการของเขาจะเป็จริงได้อย่างไร?”
“ยังคงเป็ท่านแม่ที่คิดอ่านรอบคอบ”
นางหวงฟังอย่างนอบน้อมแล้วก็ไปจัดการด้วยตนเองโดยไม่กล่าวสิ่งใด ภายในห้องหลักเหลือเพียงแม่นมโจวและฮูหยินผู้เฒ่าจู ฮูหยินผู้เฒ่าจูยิ้มอย่างมีเลศนัย “งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูก็มาถึงอีกปีแล้ว หากเฉิงกุยเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ข้าก็เห็นว่าเ้าตัวมารผจญนั่นน่าจะเข้าร่วมด้วย”
แม่นมโจวยิ้มตาม “เขาไหนเลยจะเทียบได้กับนายน้อยกุย หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยินดี ไม่สู้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือห้าม “งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูมีคนตรวจตราเยอะเกินไป ไอ้แก่บ้านห้านั่นต้องป้องกันเหมือนเราเป็ขโมย ไม่ต้องลงมือทำอะไรเ้ามารผจญนั่นทั้งนั้น ให้เขาไป ดูซิว่าเขาจะได้รับเสียงเย้ยหยันหรือว่าเสียงชื่นชมเยอะกันแน่!”
“นั่นก็ไม่แน่นะเ้าคะ ที่งานชุมนุมวรรณกรรมมีผู้เปี่ยมด้วยความสามารถมากมาย อาจจะไม่มีใครสนใจเขาก็เป็ได้”
คำพูดนี้ของแม่นมโจวถูกใจฮูหยินผู้เฒ่านัก
ใช่สิ ถึงแม้งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูจะจัดที่อำเภอหนานอี๋ แต่คนหนุ่มมากความสามารถจากทั่วทั้งเมืองเซวียนตูต่างก็ไปร่วมทั้งนั้น เฉิงชิงซึ่งเป็เด็กหนุ่มที่ไม่เจริญสายตาผู้หนึ่งจะมีสักกี่คนกันที่สนใจ?
ฮูหยินผู้เฒ่าจูรู้สึกว่าตนเองระวังเฉิงชิงมากเกินไป เ้ามารผจญนั่นไหนเลยจะคู่ควร!
ดวงจันทร์นับคืนจะยิ่งกลมมน นับวันก็ยิ่งเข้าใกล้กลางสารทฤดูขึ้นทุกที
บรรดานักเรียนในสถานศึกษาบ้างก็กระสับกระส่ายด้วยล้วนอยากเป็ผู้ที่โดดเด่นเจิดจรัสในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู ยามท่านอาจารย์สอนในคาบก็มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง
หรือไม่ก็จดจ่ออยู่กับการเตรียมบทความสองบท ไม่ก็เตรียมบทกวีชมจันทร์หลายบทไว้ล่วงหน้า เพื่อนำไปแสดงในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู เฉิงชิงเดินไปทางไหนล้วนแล้วแต่ได้ยินทุกคนเอ่ยถึงงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู เ้าอ้วนชุยก็ถามนางเป็การส่วนตัวว่าเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ เฉิงชิงถามฝ่ายตรงข้ามกลับว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
เ้าอ้วนชุยกล่าวอย่างฉงน
“ทุกคนต่างมีผลงานชิ้นเอกให้แสดง หากเ้าไม่เตรียมการแล้วจะแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างไร?”
ไปเปรียบเทียบความสามารถด้านวรรณกรรมกับกลุ่มบัณฑิตในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู?
อย่าล้อเล่นน่า!
เฉิงชิงกล้าเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการเป็เพราะว่าการสอบเข้ารับราชการเป็การสอบแบบมีมาตรฐาน มีการแบ่งแยกว่าสอบอะไรไม่สอบอะไรบ้าง การเขียนความเรียงแปดขา[1]ยังมีรูปแบบที่แน่นอน แต่เมื่อกล่าวถึงความสามารถด้านวรรณกรรม นางกลับไม่มีเลย
หากแต่งบทกวีขบขันไร้สาระที่งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูแล้วล่ะก็ ผู้อื่นคงได้หัวเราะเยาะจนฟันหักแน่!
ส่วนการคัดลอกบทกวีผู้อื่น ไม่ใช่ว่าเฉิงชิงไม่เคยคิด บทกวีที่ต้องแต่งสำหรับงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูย่อมต้องเพื่อชมจันทร์ แต่ราชวงศ์เว่ยนี้ ั้แ่่ก่อนหน้าปลายราชวงศ์หยวนก็มีประวัติศาสตร์เช่นเดียวที่เฉิงชิงคุ้นเคย ดังนั้นบทกวีชมจันทร์ที่โด่งดังที่สุดต่างก็ถูกคนรุ่นก่อนหน้าเขียนไปหมดแล้ว
ขอบเขตที่เฉิงชิงสามารถคัดลอกได้จึงมีเพียงิและชิง สองราชวงศ์นี้เท่านั้น
สองราชวงศ์นี้มีบทกวีชมจันทร์ที่มีชื่อเสียงบ้างไหมน่ะหรือ?
นางนึกไม่ออกแม้แต่บทเดียว!
บทความชิ้นเอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง อยู่ที่สถานศึกษามาหนึ่งเดือนกว่า อาจารย์สอนพื้นฐานให้ทุกคนหนึ่งรอบ ตอนนี้สอนการเปิดประเด็น[2]อยู่… เหอะๆ
พอเ้าอ้วนชุยเห็นสีหน้าที่ยังดูไม่เข้าใจบางอย่างก็เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า[3] จึงลากเฉิงชิงมาข้างกาย ชี้แนะนางอย่างลับๆ ว่า
“เ้าเห็นทุกคนเป็เซียนกวี[4]กลับชาติมาเกิด เป็โจสิดที่แต่งกวีเจ็ดก้าว[5]อย่างนั้นหรือ เพียงแค่ยอมจ่ายเงิน มีบทความสละสลวยอันใดที่ซื้อไม่ได้บ้าง?”
[1] ความเรียงแปดขา คือรูปแบบการตอบข้อสอบการสอบเข้ารับราชการ โดยจะเขียนแบ่งเป็แปดส่วนรวมแล้วไม่เกิน 800 ตัวอักษร และจะต้องเขียนอ้างอิงสี่ตำราห้าคัมภีร์แต่เน้นไปที่การใช้ภาษาสละสลวยเป็หลัก
[2] การเปิดประเด็น คือส่วนแรกของเรียงความแปดขา เขียนเป็ร้อยแก้วสองประโยคเพื่อเจาะลึกหัวข้อและแสดงความรู้ของผู้สอบเกี่ยวกับหัวข้อ
[3] เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า หมายถึงไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาไหนของผู้ที่ตนตั้งความหวังไว้
[4] เซียนกวี คือฉายาของหลี่ไป๋ (ค.ศ. 701-762) กวีจีนที่โด่งดังสมัยถังและได้รับการยอมรับว่าเป็หนึ่งในสุดยอดกวีในประวัติศาสตร์จีน
[5] โจสิด (ค.ศ. 192 - 232) เป็บุตรชายคนที่สามของโจโฉ เมื่อโจโฉสิ้นลมและโจผีขึ้นครองราชย์แทน โจผีได้ทดสอบน้องชายโดยการให้แต่งบทกวีภายในเจ็ดก้าว บรรยายภาพวาดวัวตัวผู้สองตัวสู้กันในท้องพระโรง หากทำไม่ได้จะปะาชีวิต สุดท้ายโจสิดสามารถแต่งได้เป็ที่ประทับใจของโจผีจึงถูกเนรเทศแทน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้