แม้เหล่าหลิวจะเป็คนสบายๆ แต่ในเวลาที่จำเป็ต้องกระด้างก็เข้มแข็ง เขารับมือกับคู่แข่งทางการค้ามาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังชอบคนที่สุภาพและมีหลักเกณฑ์ในการทำการค้า
เพราะการทำการค้ากับคนซื่อสัตย์จึงจะทำให้วางใจไร้กังวล
แม่นางหลินผู้นี้ยังเด็ก แต่ทั้งการกระทำและคำพูดต่างเป็ที่น่าพอใจมาก…
“เหล่าว่าน ไปนับเงินตำลึงมาให้แม่นางหลิน” เหล่าหลิวหันไปสั่งการผู้ดูแลว่านด้วยน้ำเสียงฟังชัด
“ขอรับ!” ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเถ้าแก่ ผู้ดูแลก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดีมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
“ทั้งหมดสิบห้าตำลึงเงิน แม่นางหลินโปรดรับไว้ขอรับ” ผู้ดูแลว่านยิ้ม จัดแจงห่อเงินตำลึงใส่ถุงผ้าสีน้ำเงิน ก่อนจะมอบให้หลินฟู่อิน
หลินฟู่อินกล่าวขอบคุณพร้อมรับเอาไว้
“ท่านลุงหลิวเ้าคะ ทางนี้ยังเหลือยำไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนอยู่สองที่ ถือเป็ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากพวกข้าให้ท่านลุง อย่าปฏิเสธเลยนะเ้าคะ”
คุณชายหลิวที่ยืนอยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบๆ ผู้เป็พ่อยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็พุ่งเข้ามารับถ้วยกระเบื้องเอาไว้ก่อนแล้ว
“ด้วยความยินดีแม่นางหลิน ประเดี๋ยวข้าจะลองนำไปให้ท่านแม่กับน้องสาวชิมดู!”
“เ้าเด็กหน้าเหม็นนี่! เพราะเมื่อครู่ยังไม่ได้ลองชิมน่ะสิ! แม่นางหลินอย่าได้ใ เ้าลูกหมาบ้านข้าก็อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้”
หลินฟู่อินส่ายหน้ายิ้มๆ “คุณชายใหญ่กระตือรือร้นเช่นนี้นับว่าดียิ่งนักเ้าค่ะ”
นี่เป็คำชม แน่นอนว่าเหล่าหลิวก็ดีใจที่ได้ยิน ที่นางกล่าวเช่นนี้ออกไปเพราะพ่อแม่แทบทุกคนบนโลกต่างก็เป็เช่นนี้ แม้ลูกจะนิสัยย่ำแย่เพียงใดก็ยังชอบให้ผู้อื่นชื่นชม
“แม่นางหลิน หากแนะนำยำไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนออกไปแล้ว ข้าคาดว่าต้องมีลูกค้าแวะเวียนมามากขึ้น เกรงว่าถึงตอนนั้นของจะไม่พอ ท่านยังมีของสำรองเหลืออยู่หรือไม่?” ท่านลุงหลิวถามเสียงเข้ม
ที่บ้านของหลินฟู่อินยังเหลือของอยู่อีกชุดหนึ่ง แต่จำนวนไม่มาก เกินสองร้อยฟองแค่เล็กน้อย
ทว่าขอเพียงท่านป้าซื้อไข่เป็ดสามพันฟองมาได้สำเร็จก็ถือว่าเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินว่ายังมีของเหลืออยู่อีกสองร้อยกว่าฟอง เหล่าหลิวก็กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “แม่นางหลินมีน้อยเกินไป เกรงว่าจะไม่พอ!”
หลินฟู่อินลอบนิ่วหน้าทว่ายังยิ้ม กล่าวว่า “ท่านลุงหลิวไม่รู้อะไร ในการทำไข่ดอกสนนี้ยากเย็นนัก เมื่อฤดูกาลเปลี่ยน ระยะเวลาในการทำก็เปลี่ยน ดังนั้นข้าจึงควบคุมไม่ได้ มีแต่ต้องทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น!”
เหล่าหลิวเห็นนางดูไม่เหมือนโกหกก็ให้รู้สึกท้อแท้ใจที่มิอาจทำอะไรได้ คิดๆ ไปสุดท้ายก็กล่าว “แม่นางหลิน ของที่เหลือไม่ต้องขายให้ผู้อื่น ข้าจะรับไว้เอง ส่วนของที่ทำออกมาครั้งหน้าท่านจะขายให้ผู้อื่นก็ไม่เป็ไร”
หลินฟู่อินพยักหน้า “ลุงหลิวใส่ใจการค้าขายกับพวกเราเช่นนี้ พวกเราจะนำของที่เหลือทั้งหมดมาให้เ้าค่ะ อีกหน่อยเมื่อทำของเสร็จย่อมต้องนึกถึงท่านเป็อันดับแรก”
“ได้! ดี! ดี!” เหล่าหลิวพูดคำว่าดีหลายครั้งติด “เช่นนี้ข้าก็โล่งใจ!”
สนทนากับอีกฝ่ายเสร็จ หลินฟู่อินก็คิดจะพาพี่ๆ ทั้งสามกลับ
“เหล่าว่าน เตรียมของว่างหลายๆ อย่างให้แม่นางหลินนำกลับไปด้วย! เราได้ของขวัญแล้วย่อมต้องตอบแทน!”
เหล่าหลิวผู้นี้เ้าเล่ห์จริงๆ กระทำเช่นนี้ถือเป็การป้องกันไม่ให้หลินฟู่อินปฏิเสธไปด้วยในตัว การปฏิเสธน้ำใจของผู้อื่นมีแต่จะทำให้กระอักกระอ่วนเท่านั้น
หลินฟู่อินและพี่ๆ จึงได้เดินออกจากภัตตาคารหลิวจี้พร้อมห่อติ่มซำในมือ จากนั้นนางก็พาพวกหลินเฟินไปยังย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
หลินฟู่อินแบ่งซาลาเปาเนื้อให้ทุกคนเท่าๆ คน แต่ละคนต่างก็แบกของหนักๆ มาตลอดทั้งเช้า บัดนี้จึงหิวกันจนท้องกิ่วแล้ว
นางไม่ใส่ใจสายตาผู้อื่น เดินไปกินไปตลอดทาง
“การค้าวันนี้เป็ไปอย่างราบรื่น พวกท่านล้วนมีผลงาน วันนี้นอกจากซื้อกระดาษและชุดเครื่องเขียนให้พี่สาม ซื้อชาดให้พี่อาเฟินพี่อาฟางแล้ว พวกท่านอยากได้อะไรก็บอกนะเ้าคะ” หลินฟู่อินกัดซาลาเปาเนื้อหอมคำโตไปพลางพูดอย่างตื่นเต้นไปพลาง
ที่จริงนางไม่นึกว่าจะขายไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสนได้ง่ายเพียงนี้ เดินไปแค่สองร้านก็หมดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ทำสัญญาระยะยาวกับภัตตาคารหลิวจี้อีกด้วย
“นี่ฟู่อิน พวกเราไม่้าอะไรแล้วจริงๆ หากเ้ามีเงินก็เก็บเอาไว้เถอะ! เ้าไม่เหมือนพวกเรานะ ยังมีเสี่ยวเป่าเสี่ยวเป้ยให้ดูแลอยู่!” หลินเฟินแม้จะตื่นเต้นมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหลินฟู่อินอยากจะซื้ออะไรให้พวกตนอีกก็ไม่เห็นด้วย
“ใช่ๆ พี่สาวข้าพูดถูก!” หลินฟางร้องรับทันที แต่จากนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “มารดาเ้าเอ๋ย วันนี้ข้ากลัวแทบตายแล้ว ไม่คิดว่าคนมีเงินแต่งตัวดีๆ เช่นนั้นจะยินดีคุยกับเราเพื่อไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสนนี่!”
หลินซานหลางกล่าว “ล้วนแต่เป็คนค้าขาย พ่อค้าที่ไหนจะไม่เห็นแหล่งทำเงินบ้าง? ที่จริงดูจากสีหน้าของคนพวกนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าไข่ดอกสนกับไข่เยี่ยวม้าของฟู่อินทำเงินได้ทั้งนั้น!”
หลินซานหลางนับว่าสังเกตการณ์ด้วยความละเอียดละออ!
หลินฟู่อินพยักหน้ารับในใจ
“พี่ซานหลางกล่าวถูกต้องแล้ว พ่อค้ามองหาผลกำไร ใครตาดีก็เห็นว่าขอเพียงเป็ผู้จำหน่ายและจำกัดปริมาณของไข่ที่ปล่อยออกไป รวมถึงไข่ที่เรามีอยู่ก็ทำเงินได้มากมายแล้ว” หลินฟู่อินว่า
นางเองก็ไม่คิดจะปล่อยไข่ดอกสนพวกนี้ออกไปจนล้นตลาดในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นราคาจะตกลงแน่นอน
ไม่ว่าของจะอร่อยแค่ไหน แต่กินมากเกินไปก็จะเบื่อเอาได้ ทำให้หายากเข้าไว้จึงจะเป็ของสูงค่า
ได้ยินหลินฟู่อินพูดเช่นนี้ หลินฟางไม่เข้าใจสักนิด
นางเงยหน้ามองด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วถาม “ฟู่อิน เหตุใดไม่ทำให้มากหน่อยเล่า? ยิ่งทำเยอะก็ยิ่งขายได้มาก ขายได้มากเท่าไรก็มีเงินมากเท่านั้น!”
“ของสูงค่ามักหายาก” หลินฟู่อินยิ้ม จากนั้นหรี่ตาลง “เชื่อข้าเถอะ ขอเพียงพวกพี่ไม่ี้เีและยินดีใช้สมอง โลกนี้ก็ไม่ขาดโอกาสทำเงิน”
ฟังคำของหลินฟู่อินแล้ว ทุกคนก็พยักหน้าครุ่นคิด
บังเอิญหลินฟู่อินเห็นร้านที่นางคิดจะซื้อชาดพอดี จึงดึงมือหลินเฟินหลินฟางเข้าไป หลินซานหลางเม้มปากกลั้นยิ้ม
ชาดแดงในร้านเฉพาะทางเช่นนี้มีคุณภาพดีกว่าร้านข้างทางมาก
ไม่เพียงสีงดงาม แต่กลิ่นก็ดีด้วย
“แม่นางน้อยสามท่านนี้ ชาดแดงในร้านเราทำจากผงชาดที่ดีที่สุดในเมืองนี้แล้ว! แม่นางลองดู พวกเรายังมีหลายสี พวกท่านชอบสีใดกันบ้าง?”
หลินฟู่อินมองสองพี่น้องหลินเฟินหลินฟาง แม้ปากทั้งคู่จะบอกว่าไม่ ทว่าเมื่อได้เห็นสีสวยๆ งามๆ และกลิ่นหอมของแป้งชาดแล้วก็ไม่อาจขยับเท้าจากไปได้เลย
แต่หลินเฟินข่มกลั้นความปรารถนาในใจ ดึงแขนหลินฟู่อินและหลินฟางเอาไว้ แล้วรีบพูดกับคนของทางร้านทันที “ขออภัยด้วยเ้าค่ะ พวกเราแค่มาดูเท่านั้น มิได้มาซื้อ!”
“โธ่ พี่อาเฟินลองซื้อไปลองสักกล่องเถอะเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินพูดอย่างอ่อนใจ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับเสี่ยวเอ้อร์ที่มีสีหน้าอับอาย “พี่เสี่ยวเอ้อร์ รบกวนช่วยดูสีผิวของพี่ๆ ข้าแล้วแนะนำสินค้าที่เหมาะสมด้วยนะเ้าคะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้