ก่อนหน้านี้หนิงมู่ฉือนึกว่านางต้องถูกพระสนมซูเฟยฆ่าตายแน่แล้ว นางคิดไปต่างๆ นานา รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก นางเม้มปากเข้าหากันแน่น สีหน้าสับสน ใบหน้าซีดขาว น้ำตาแห่งความน้อยใจไหลออกมาขณะเอ่ยตอบเต๋อเฟย “พระสนม พระสนมซูเฟยไม่ได้ทำอันใดบ่าวเพคะ”
เต๋อเฟยถอนหายใจออกมา ค่อยๆ พยุงตัวหนิงมู่ฉือให้ลุกขึ้นยืน “ดูเ้าสิ ใอย่างกับอะไรดี เหตุใดมือถึงได้เย็นเช่นนี้”
เต๋อเฟยยัดเตาอุ่นใส่มือหนิงมู่ฉือ ก่อนจะพยุงตัวหนิงมู่ฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็มิตร “กลับตำหนักกับข้าก่อนก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวข้าค่อยให้คนไปส่งเ้าที่ตำหนักอ๋อง”
หนิงมู่ฉือมองเต๋อเฟยอย่างตื่นตะลึง ในใจรู้สึกขอบคุณเป็อย่างยิ่ง “ขอบพระทัยเพคะพระสนม”
ก่อนหน้านี้นางระแวงเต๋อเฟย นั่นก็เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายประสงค์ร้ายต่อนาง ในใจนางพยายามบอกกับตัวเองว่า นางจะถูกบุญคุณเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งนี้ซื้อตัวไม่ได้เด็ดขาด ทว่าการที่จู่ๆ วันนี้เต๋อเฟยมาทำดีกับนาง ทั้งยังปฏิบัติตัวกับนางอย่างอ่อนโยน นั่นทำให้หัวใจนางอบอุ่นเหลือเกิน
ความห่วงใยนี้ไม่ว่าจะเป็ของจริงหรือเื่หลอกลวง แต่ก็ทำให้นางนึกถึงความอบอุ่นที่มารดาเคยมอบให้…
นางเดินตามเต๋อเฟยเข้าไปในตำหนัก ภายในเต็มไปด้วยเตาไฟ ช่วยให้อบอุ่นยิ่ง เต๋อเฟยให้นางผิงเตาไฟ ก่อนจะสั่งให้นางกำนัลไปต้มน้ำร้อนมาให้นางดื่ม “่นี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว เ้าต้องดื่มน้ำร้อนให้มาก ร่างกายจะได้อบอุ่น”
นางมองเต๋อเฟยที่ส่งยิ้มให้นางอย่างโง่งมครู่หนึ่ง เมื่อได้สติกลับมานางก็ส่งยิ้มตอบกลับให้ เต๋อเฟยเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เด็กโง่ เ้ายิ้มอันใด”
นางก้มหน้า หน้าแดงก่ำขณะตอบ “พระสนม ท่านทำให้ฉือเอ๋อร์นึกถึงมารดาเพคะ คงเป็เพราะฉือเอ๋อร์คิดถึงมารดามากเกินไป” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
เต๋อเฟยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แล้วมารดาของเ้าเล่า”
สีหน้าหนิงมู่ฉือหม่นลงครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ น้ำตาเม็ดโตไหลออกจากตา “มารดาของบ่าวเสียชีวิตไปแล้วเพคะ”
เต๋อเฟยได้ฟังก็ถอนหายใจออกมา “ข้าพูดเื่ที่ทำให้เ้าเสียใจอีกแล้ว แต่หลังจากนี้เ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ในวังมีแต่อันตรายรอบด้าน วันหลังเ้าต้องระวังซูเฟยไว้ให้มาก นางเป็คนโเี้ ไม่ถูกใจสิ่งใดก็จะสั่งลงโทษทันที นางสั่งลงโทษนางกำนัลจนตายไปแล้วไม่น้อย”
หนิงมู่ฉือพยักหน้า ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าท้องฟ้ากลายเป็สีดำสนิทแล้ว นางหันกลับมาเอ่ยกับเต๋อเฟย “พระสนมเป็คนดีเหลือเกิน เพียงแต่ตอนนี้มืดมากแล้ว ฉือเอ๋อร์จำเป็ต้องกลับแล้วเพคะ มิเช่นนั้นท่านอ๋องจะเป็ห่วง”
เต๋อเฟยลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้หนิงมู่ฉือ “ก็ได้ เ้านี้นะ ช่างเห็นแก่คุณธรรมน้ำมิตรเสียจริง ถึงว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้ดีต่อเ้านัก ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะให้ขันทีออกไปส่งเ้า”
หนิงมู่ฉือยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “พระสนม ฉือเอ๋อร์เลื่อมใสท่านมากจริงๆ ต่อไปหากท่านอยากทานอะไร สั่งฉือเอ๋อร์ได้เลยนะเพคะ ฉือเอ๋อร์จะทำให้ท่านทาน”
เต๋อเฟยยื่นมือไปตบไหล่หนิงมู่ฉืออย่างไม่แรงนักหลายที ทำให้หนิงมู่ฉือยิ่งยิ้มกว้างออกมา
อีกด้านหนึ่ง บรรยากาศในตำหนักของซูเฟยเย็นะเืกว่ามาก ซูเฟยนำพาความกราดเกรี้ยวกลับมายังตำหนักด้วย เมื่อมาถึงก็ขว้างปาแจกันเพื่อระบายโทสะไปมากมาย นางกำนัลต่างคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยตัวสั่นเทา ไม่กล้าส่งเสียงออกมา ได้แต่มองซูเฟยอย่างหวาดกลัว
องค์หญิงซีเยวี่ยเดินตรงเข้าไปหาซูเฟย ก่อนจะใช้ภาษาจีนที่ยังไม่ค่อยคล่องนักของตัวเองเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “พี่สาว ไม่เห็นต้องโมโหเช่นนี้เลย”
ซูเฟยปาแก้วชาที่มีน้ำชาร้อนๆ อยู่เต็มแก้วลงบนพื้นจนถูกน้ำชาร้อนลวกมือ หากแต่นางก็ไม่สนใจ แม้ว่าบนมือจะปรากฏรอยน้ำร้อนลวกที่น่ากลัวก็ตาม “เต๋อเฟยมีสิ่งใดดีกัน! ก็แค่แม่ไก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้! เสียนเฟยกับเหลียงเฟยมีบุตรกันแล้ว ทั้งสองคนยังไม่โอหังเท่านางเลย! นางถึงกับกล้าหัวเราะเยาะข้าต่อหน้าข้า!”
องค์หญิงซีเยวี่ยเดินเข้าไปหาซูเฟย ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างตัว ก่อนจะเอ่ยออกมา “พี่สาว เต๋อเฟยทำเช่นนี้เพื่อยั่วโมโหพี่ เช่นนั้นพี่ยิ่งไม่ควรโกรธ มิใช่ว่าคนที่ราบภาคกลางมีคำกล่าวว่า โทสะคือสิ่งที่ทำร้ายร่างกายหรอกหรือ ยิ่งพี่โกรธ เต๋อเฟยก็จะยิ่งได้ใจ”
ซูเฟยได้ยินเช่นนี้ก็พยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับลมหายใจให้กลับมาสงบดังเดิม ก่อนจะหันไปหาองค์หญิงซีเยวี่ย “เยี่ยงนั้นเ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี”
องค์หญิงซีเยวี่ยยิ้มอ่อน แววตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ “หากพี่สาวอยากเอาคืนความแค้นในครั้งนี้ใช่ว่าจะไม่มีวิธี พี่สาวก็น่าจะรู้ว่าต้นเหตุของเื่ในวันนี้คือผู้ใด”
ซูเฟยนึกถึงหนิงมู่ฉือทำให้โมโหยิ่งกว่าเดิม “หนิงมู่ฉือ นับแต่นี้เ้ากับข้าคือศัตรูกัน!”
“พี่สาว ตอนนี้หนิงมู่ฉือกลายเป็คนของเต๋อเฟยแล้ว ทั้งยังเป็คนที่ฝ่าาทรงชื่นชม หากแอบจัดการนางอย่างลับๆ ท่านอ๋องกับฝ่าาต้องไม่ยินยอมเป็แน่ ข้าว่าพวกเราต้องหาเื่มาใส่ร้ายนาง”
ซูเฟยได้ฟังก็แย้มยิ้มมององค์หญิงซีเยวี่ย “น้องซีเยวี่ยนี่ฉลาดจริงๆ”
ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
หนิงมู่ฉือเดินนำหน้า โดยมีขันทีสามคนเดินตามด้านหลัง ซึ่งขันทีทั้งสามก็คือขันทีที่ถูกนางสาดผงพริกไทยและผงพริกใส่ตาเมื่อคราวที่แล้วนั่นเอง
ไม่เพียงแต่นางที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ กระทั่งขันทีทั้งสามก็ยังรู้สึกเช่นเดียวกัน
ขันทีซึ่งมีรูปร่างอ้วนท้วมผู้หนึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าประจบเอาใจนางเต็มเปี่ยม “แม่นางหนิง เื่ก่อนหน้านี้เป็ผู้น้อยที่ผิดเองขอรับ”
ขันทีคนอื่นมองหน้านางพร้อมกับพยักหน้าด้วยแววตาสอพลอเช่นกัน
นางโบกไม้โบกมือพลางยิ้ม เอ่ยตอบบรรดาขันที “เฮ้อ ข้าก็นึกว่าเื่ใด ไม่ทะเลาะกันไม่รู้จักกัน พวกเราล้วนเป็สหาย เื่ใดที่ไม่ควรถือสาก็ไม่จำเป็ต้องไปถือสา”
ขันทีทั้งหลายยิ้มกว้างออกมา อากาศเริ่มหนาว บรรดาขันทีจึงสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อเดินตามหลังนางมาติดๆ “แม่นางหนิงไม่ต้องเป็ห่วง พวกเราจะคุ้มครองแม่นางเองขอรับ”
นางยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ต่อมาขันทีทั้งหลายเอ่ยพร้อมกับยิ้มแห้งว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางหนิงจะรับปากพวกเราเื่หนึ่งได้หรือไม่”
นางมีสีหน้างุนงง เหตุใดถึงมีคนอยากให้นางรับปากในเื่หนึ่งนักนะ “เื่ใดหรือ”
“ทุกคนล้วนพูดกันว่าอาหารฝีมือแม่นางอร่อยล้ำ บางครั้งพวกเราก็มีโอกาสได้ทานบ้าง พวกเราทราบมาว่าแม่นางรับหน้าที่อยู่ที่ห้องเครื่อง จึงอยากให้แม่นางแอบเพิ่มอาหารให้พวกเราสักเล็กน้อยได้หรือไม่ขอรับ”
นางได้ฟังจึงยิ้มออกมา ก่อนจะใช้มือตบหน้าอกตัวเอง ทำให้ขันทีทั้งสามใสะดุ้งตัวโยน “ได้สิ ไม่มีปัญหา เื่นี้ยกให้ข้าจัดการได้เลย!”
ขันทีทั้งสามได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้มออกมา
ขันทีทั้งสามเดินมาส่งหนิงมู่ฉือถึงหน้าประตูวังหลวงสีแดง ที่นั่นรถม้าของตำหนักอ๋องได้มารอนางอยู่ก่อนแล้ว นางหันไปยกสองมือคำนับบรรดาขันที “พี่ชายทั้งหลาย ส่งแค่นี้ก็พอ ถึงรถม้าของตำหนักอ๋องแล้ว”
“เช่นนั้นแม่นางหนิง พวกข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
นางพยักหน้า ขณะมองขันทีทั้งสามคนหมุนตัวเดินจากไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้