หลังจากพวกมู่จื่อหลิงมาถึงจวนฉีอ๋อง ลุงฝูจึงลากสังขารชรารีบร้อนเข้ามาต้อนรับ
“หวางเฟย ท่านกลับมาแล้ว”
“ลุงฝู เื่ใดทำให้ท่านออกมารอร้อนรนถึงหน้าประตูกัน” มู่จื่อหลิงถามอย่างแปลกใจ เห็นท่าทางร้อนรนของลุงฝูนางก็พลอยร้อนรนตามไปด้วย
“ทูลหวางเฟย องค์หญิงอันหย่ามาถึงจวนแล้ว ้ายืนรอจนกว่าเหนียงเหนียงกลับมาให้ได้ หากเหนียงเหนียงยังไม่กลับมาร่างกายขององค์หญิงอาจจะรับไม่ไหว” ลุงฝูพูดด้วยความยินดีอย่างนอบน้อม น้ำเสียงกระวนกระวาย
องค์หญิงอันหย่า?
มู่จื่อหลิงมองหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างสงสัย “เ้ามิได้บอกว่าเ้าไม่มีน้องสาวหรือ แล้วองค์หญิงอันหย่าผู้นี้ผุดมาจากไหนเล่า?”
“อันหย่า ข้าลืมนางไปแล้ว จะบอกว่าเป็น้องสาวก็ไม่นับว่าใช่ นางถูกไทเฮารับเลี้ยงั้แ่เยาว์วัย ไทเฮารักและเอ็นดูนางเป็ที่สุด เลี้ยงนางเหมือนหลานสาวแท้ๆ ต่อมาจึงแต่งตั้งให้เป็องค์หญิง เป็คนป่วยกระเสาะกระแสะผู้หนึ่ง ครึ่งปีก่อนนางไปรักษาตัวที่วัดชิงอันแล้วถือโอกาสขอพรให้ไทเฮาไปด้วย แต่ว่าทำไมถึงกลับมาเอายามนี้ได้?” หลงเซี่ยวเจ๋อเท้าคาง พูดอย่างครุ่นคิด
ต่อให้ไทเฮายินยอม พี่สามเองก็ไม่มีทางสู่ขอคนอมโรคเป็แน่ อ่อนปวกเปียกเหมือนกับน้ำ ท่าทางใสซื่อน่าสงสาร ดูไปแล้วน่ารังเกียจนัก นำมาเทียบกับพี่สะใภ้สามแล้วต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ไม่มีทางเทียบกันได้เลย
มู่จื่อหลิงฟังจบก็ขมวดคิ้ว นางเป็คนที่ได้รับการต้อนรับขนาดนี้เมื่อใดกัน เพิ่งจะจัดการคนแก่ไป ยามนี้มาอีกหนึ่งผู้เยาว์แล้ว ความเป็มาของผู้เยาว์คนนี้ก็ไม่เล็กเอาเสียเลย ไม่จบไม่สิ้นนัก
“หวางเฟยเข้าไปก่อนเถิด ร่างกายขององค์หญิงอันหย่ามิสามารถยืนนานๆ ได้นะขอรับ” ลุงฝูเห็นมู่จื่อหลิงมีท่าทางไม่ใส่ใจ จึงเอ่ยเตือนอีกรอบ
ทุกคนล้วนรู้ว่าไทเฮารักและเอ็นดูองค์หญิงอันหย่าผู้นี้เป็ที่สุด ไม่ให้รับการกลั่นแกล้งจากผู้อื่นแม้แต่น้อย หากองค์หญิงอันหย่าเกิดเื่ใดเข้าที่จวนฉีอ๋อง ไม่แน่ว่าไทเฮาจะลงโทษหวางเฟยก็เป็ได้
มู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ยืนรอ? คนไม่รู้คงคิดว่านางรังแกคนป่วยคนพิการ ยังมิทันพบหน้าก็แสดงอำนาจใส่นางเสียแล้ว
“เช่นนั้นก็เข้าไปเถิด” มู่จื่อหลิงกล่าวเรียบเฉย พูดจบ จึงเดินเข้าไปในจวนอ๋องก่อน
พวกมู่จื่อหลิงยังไม่ทันไปถึงห้องโถงก็เห็นว่าในโถงใหญ่มีคนสามสี่คนยืนอยู่ ทั้งยังมีคนที่มู่จื่อหลิง ‘เสียใจที่รู้จักช้าไป’
รู้สึกคุ้นเคยอย่างผิดปกติ
คนผู้นี้มิใช่มู่อี๋เสวี่ยหรือ!
คนผู้นี้ช่างเป็แมลงสาบที่ตีไม่เคยตายจริงๆ เกาะติดขึ้นมาอีกแล้ว ดูท่าทางคงตามองค์หญิงอันหย่าผู้นั้นเข้ามา คาดว่ามู่อี๋เสวี่ยผู้นี้สู้นางไม่ได้ เข้าจวนฉีอ๋องก็เข้ามาไม่ได้ เลยหาผู้ช่วยมา?
มู่จื่อหลิงส่งเสียงเย้ยหยัน เดินมุ่งไปข้างหน้า จึงได้ยินเสียงบทสนทนาเบาๆ ที่ดังมาจากโถงใหญ่
“องค์หญิงนั่งลงก่อนเถิดเพคะ หวางเฟยไม่รู้ว่ามาถึงเมื่อใด ร่างกายของท่านมิอาจยืนนานได้นะเพคะ” สาวใช้เอ่ยโน้มน้าวเด็กสาวอ่อนแอผู้หนึ่งอย่างเป็กังวล
“แค่กๆ ไม่ได้ พี่สะใภ้สามยังไม่มา เปิ่นกงจู่ [1] นั่งเองโดยมิได้รับคำเชิญ ประเดี๋ยวพี่สะใภ้สามจะตำหนิว่าเปิ่นกงจู่ไม่รู้จักมารยาท” เด็กสาวที่ป่วยและอ่อนแอส่งเสียงไอพลางพูดอย่างอ่อนแอ
“ใช่ ท่านพี่ข้าทนเห็นคนไม่รักษามารยาทไม่ได้มากที่สุด ประเดี๋ยวนางตำหนิขึ้นมาจะทำอย่างไร” มู่อี๋เสวี่ยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยท่าทางกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย [2]
มู่อี๋เสวี่ยกล่าวคำพูดนี้จบ พวกมู่จื่อหลิงก็เดินเข้ามาใกล้
เด็กสาวที่มีอาการป่วยนั้นเห็นพวกเขาก่อน ก้าวมาข้างหน้าอย่างอ่อนแอ
ยอบกายให้หลงเซี่ยวเจ๋อ “อันหย่าคารวะองค์ชายหก”
การกระทำนี้ขององค์หญิงอันหย่า ไม่รู้ว่ามองไม่เห็นมู่จื่อหลิงจริงๆ หรือไม่ มองข้ามคนตัวเป็ๆ เช่นมู่จื่อหลิงไปอย่างสวยงาม
หลังได้ยินวาจานี้ คนทั้งหมดก็ทยอยหันกายมาทำความเคารพหลงเซี่ยวเจ๋อ
“เสวี่ยเอ๋อร์คารวะองค์ชายหก”
“บ่าวคารวะองค์ชายหก”
“ลุกขึ้นได้” หลงเซี่ยวเจ๋อเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ
คนพวกนี้ตาบอดไปแล้วหรือไร พี่สะใภ้สามก็อยู่นี่ ทำความเคารพเขาก่อนได้อย่างไร ไม่รู้จักมารยาทแม้แต่นิด
ได้ยินเสียงที่ทำความเคารพหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็ส่วนเกินโดยสิ้นเชิง ถูกเห็นเป็อากาศอย่างสมบูรณ์ ไม่กี่วินาทีก่อนหน้าคนพวกนี้ยังถกเถียงกันเื่รู้ไม่รู้มารยาทอยู่เลย วินาทีต่อมาก็มองข้ามนางไปเสียแล้ว
รับรู้ได้ว่าพวกนางเป็เพียงพวกพูดแต่ปาก ขี้ติเตียนแต่ไม่กระทำ
จะพูดอย่างไรนางก็เดินอยู่หน้าหลงเซี่ยวเจ๋อ คนที่เดินอยู่หน้าหลงเซี่ยวเจ๋อจะฐานะต่ำต้อยได้หรือ? คนตัวเป็ๆ เช่นนี้พวกนางมองไม่เห็น?
เอาเถิด วันนี้การแต่งกายนางก็เรียบไปเสียหน่อย ดูไม่เหมือนหวางเฟย องค์หญิงอันหย่าอะไรนั่นก็มิเคยพบนางมาก่อน ไม่ได้ทำความเคารพนางทันทีก็ช่างเถิด
หญิงโง่งมเช่นมู่อี๋เสวี่ยก็จำนางไม่ได้หรือ? คาดว่าต่อให้นางกลายเป็เถ้าถ่าน มู่อี๋เสวี่ยก็ยังจำนางได้กระมัง หญิงผู้นี้เมินก็เมินได้โจ่งแจ้งเกินไปแล้ว เสแสร้งให้ใครดูกัน
ในเมื่อมู่จื่อหลิงถูกพวกนางเมิน นางย่อมไม่ไปใส่ใจ นางเดินตรงไปยังที่นั่งหลัก นั่งลงอย่างสง่างามเยือกเย็น ด้วยท่าทีของเ้าคนนายคนโดยสมบูรณ์แบบ ท่าทีเช่นนั้นสูงศักดิ์จนมิอาจล่วงเกิน
กระทั่งมู่จื่อหลิงนั่งลงบนที่นั่งหลัก มู่อี๋เสวี่ยก็เหมือนกับเพิ่งมองเห็นมู่จื่อหลิงอย่างไรอย่างนั้น หันมายอบกายให้มู่จื่อหลิง “เสวี่ยเอ๋อร์เคารพท่านพี่หวางเฟย”
มู่จื่อหลิงชายตามองเงียบๆ พูดอย่างเ็า “เปิ่นหวางมิได้มักคุ้นกับเ้า ไม่จำเป็ต้องเรียกขานสนิทสนมเช่นนั้น อีกอย่างฉีอ๋องเหมือนจะยังมิได้รับสนม ท่านพี่หวางเฟยที่เ้าเรียกนี้หมายความว่าอย่างไร?”
มู่อี๋เสวี่ยไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าชิงชังจริงๆ ครั้งที่แล้วให้บทเรียนไปไม่สำนึก ยามนี้มาหาเื่อีกแล้ว ทั้งยังพาที่พึ่งมาด้วย ที่พึ่งพาอมโรคเช่นนี้พึ่งได้หรือ?
แต่ก็ต้องพูดว่าที่พึ่งพิงอมโรคนี้พึ่งพาได้จริงๆ ไม่เพียงแค่เป็ยอดดวงใจของไทเฮา ยังเป็คนป่วยกระเสาะกระแสะผู้หนึ่ง แตะไม่ได้ ต้องไม่ได้ หากเกิดเื่ใดที่จวนฉีอ๋องเข้า คนที่จะโดนไทเฮาตัดหัวเป็คนแรกคงเป็นางอย่างแน่นอน
มู่อี๋เสวี่ยยามนี้ยังมาทำท่าทำทางอยู่ต่อหน้านาง ท่าทางไร้ความผิด หึ ใครสนนางกัน
ไม่รอให้มู่อี๋เสวี่ยเปิดปาก หลงเซี่ยวเจ๋อก็ชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อนอย่างแปลกใจด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์
“พี่สะใภ้สาม นี่คือน้องสาวท่านหรือ? เหตุใดรูปโฉมไม่เหมือนท่านแม้แต่นิดเลยเล่า อัปลักษณ์นัก ไม่ใช่คนป่าหรอกกระมัง ทั้งยังติดทองบนหน้าตนเองเก่งเสียจริง พี่สามจะไปชมชอบของพรรค์นี้ได้อย่างไร”
ที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดนั้นเป็ความในใจของเขา คนผู้นี้รูปโฉมอัปลักษณ์จริงๆ ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของพี่สะใภ้สามด้วยซ้ำ สิ่งที่ทาอยู่บนใบหน้านั่นจะหนากว่ากำแพงอยู่แล้ว กิริยาท่าทางก็ไร้ยางอาย
มู่จื่อหลิงฟังแล้วเกือบหลุดหัวเราะออกมา นางไม่นึกเลยว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะปากร้ายถึงเพียงนี้ แม้จะยังคงพูดจาโผงผางน่ารำคาญ แต่ว่าคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อครั้งนี้นางชื่นชอบนัก
อัปลักษณ์? มู่อี๋เสวี่ยไม่อัปลักษณ์
มู่จื่อหลิงมองพินิจมู่อี๋เสวี่ยขึ้นๆ ลงๆ อีกครั้ง มีใบหน้ารูปไข่ มีทรวดทรงองค์เอว อัปลักษณ์ตรงใดกัน บุรุษไม่ชมชอบสตรีรูปร่างดีเช่นนี้หรือ
แล้วยังพูดอีกว่ามู่อี๋เสวี่ยเป็คนป่าหรือไม่? หลงเซี่ยวเจ๋อยังอุตส่าห์คิดออกมาได้
ต้องบอกว่าที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดนั้นเป็ความจริง นางกับมู่อี๋เสวี่ยไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเื นอกจากไม่กี่คนในจวนสกุลมู่ที่รู้แล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อยังดูออกว่าพวกนางไม่เหมือนกัน นางก็ไม่แปลกใจ
สำหรับมู่อี๋เสวี่ยเป็คนป่าหรือไม่นั้น นางก็ไม่รู้แล้ว
มู่อี๋เสวี่ยได้ยินคำพูดนี้สีหน้าก็แข็งค้างไปทันที นางอัปลักษณ์ที่ใดกัน จะอย่างไรนางก็เป็ยอดพธูอันดับหนึ่งอันดับสองของเมืองหลวง แล้วผู้ใดบอกว่านางเป็คนป่ากัน
หน้ามู่อี๋เสวี่ยดำเหมือนเปาบุ้นจิ้น อยากอาละวาด แต่ก็รู้ว่าฐานะของอีกฝ่ายนั้นมิอาจยั่วโทสะได้ นางจึงจำต้องอดกลั้นไว้อีกครั้ง
“ท่านพี่ เสวี่ยเอ๋อร์มิได้มีความหมายเช่นนี้ เสวี่ยเอ๋อร์เพียง...” มู่อี๋เสวี่ยไม่ทันพูดจบก็ถูกตัดบท
“แค่กๆ...อันหย่าคารวะพี่สะใภ้สาม เมื่อสักครู่ไม่รู้ว่าเป็พี่สะใภ้สาม จึงมิได้ทำความเคารพทันที หวังว่าพี่สะใภ้สามจะไม่ถือสา” องค์หญิงอันหย่าถูกสาวใช้พยุงซ้ายขวา มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกด้วยท่าทางตื่นตระหนกระคนอ่อนแอ
มู่จื่อหลิงถึงได้มององค์หญิงอันหย่าผู้นี้เต็มตา ‘ตุ๊กตากระดาษ’ คือคำนิยามเมื่อนางพบองค์หญิงอันหย่าผู้นี้ในแวบแรก ดูท่าทางอาการป่วยมิใช่เบาๆ เลย คงมิใช่การเสแสร้งกระมัง
ท่าทางของคนงามอมโรค สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ทั่วทั้งร่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง บอบบางราวกับว่าแค่ถูกลมพัดแ่เบาก็ล้มเสียแล้ว
สตรีผู้นี้ป่วยไข้จนเป็เช่นนี้ ยังมีใจออกมา ช่างทำให้นางลำบากใจจริงๆ
แต่ว่าองค์หญิงอันหย่าผู้นี้สามารถอยู่กลุ่มเดียวกับมู่อี๋เสวี่ยได้ และยังเป็คนของไทเฮา ต้องมิใช่คนดีอะไรแน่ ไม่ว่าจะเสแสร้งหรือเป็ความจริง ก็อย่าได้คิดว่านาง มู่จื่อหลิง จะไว้หน้านาง
“จะเป็ไปได้อย่างไร ต้องเป็องค์หญิงอันหย่าอย่าได้ถือโทษเปิ่นหวางเฟยที่ต้อนรับไม่ทั่วถึงจึงจะถูก” มู่จื่อหลิงเลียนแบบท่าทางนางพลางพูดอย่างกริ่งเกรง
แสร้งหวาดกลัว แสร้งน่าสงสาร นางก็ทำเป็เช่นกัน
“แค่ก...แค่ก...อันหย่ามิกล้า” องค์หญิงอันหย่านั้นเหมือนกับถูกมู่จื่อหลิงทำให้ใ จึงยิ่งไอรุนแรงขึ้นไปอีก ราวกับว่าถ้ามู่จื่อหลิงยังพูดต่อ วินาทีต่อไปนางจะเป็ลมล้มพับไป
มู่จื่อหลิงยิ้มกับตนเอง มิกล้า?
ยังไม่ทันพบหน้าก็วางอำนาจใส่นางแล้ว พอพบหน้าก็มองข้ามนาง ทำความเคารพแล้วก็กล้าเสแสร้งน่าสงสารต่อหน้านาง น่าเห็นอกเห็นใจ นางยังมีอันใดมิกล้าอีก
“พวกเ้ามัวยืนอึ้งอันใดอยู่ ไม่เห็นหรือว่าสุขภาพองค์หญิงไม่ดี ยังไม่รีบพยุงองค์หญิงไปนั่งอีก” มู่จื่อหลิงมองข้ามองค์หญิงอันหย่าไปพูดกับสาวใช้สองคนที่พยุงนางอยู่อย่างเย็นเยียบ
น่าขันนัก! หากองค์หญิงอันหย่ายืนจนเป็ลมหมดสติไป ต่อให้เป็เื่ไม่เกี่ยวกับนาง ก็ต้องกลายเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว นางยังไม่อยากหาเื่ใส่ตนเองโดยไร้เหตุผลนะ
สาวใช้ทั้งสองคนถูกน้ำเสียงเย็นๆ ของมู่จื่อหลิงทำให้ใ พวกนางไม่คิดว่าฉีหวางเฟยที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาจะมีด้านที่เฉียบขาด รีบพยุงองค์หญิงอันหย่าไปนั่งด้านข้างอย่างขลาดเขลา
“ขอบคุณพี่สะใภ้สามที่ห่วงใย สุขภาพอันหย่าไม่เป็อันใด” องค์หญิงอันหย่ามิวายกล่าวขอบคุณ
หลังจากองค์หญิงอันหย่านั่งลง มู่จื่อหลิงก็เอ่ยปากถามเบาๆ ทันที “ได้ยินลุงฝูกล่าวว่าองค์หญิงอันหย่ามาหาเปิ่นหวางเฟย มีธุระอันใดเชิญพูดตรงๆ”
“อันหย่าได้ยินว่าพี่อวี่สู่ขอหวางเฟยคนใหม่ จึงอยากมาพบพี่สะใภ้สาม จะได้มาทักทายพี่สะใภ้สามด้วย” องค์หญิงอันหย่ากล่าวด้วยท่าทางอ่อนแอดังเดิม ทว่ายามพูดถึงหลงเซี่ยวอวี่กลับมีความเขินอาย
พี่อวี่? อะไรกัน เรียกหลงเซี่ยวเจ๋อว่าองค์ชายหก เรียกหลงเซี่ยวอวี่ว่าพี่อวี่ เป็นางฟังผิดไป หรือองค์หญิงอันหย่าเรียกผิด ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ดูท่าองค์หญิงอันหย่าต้องคิดกับหลงเซี่ยวอวี่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
แต่ว่ามู่จื่อหลิงก็ยังเหลือบมองหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างไม่แน่ใจ เหมือนกำลังถามเขาว่าคนป่วยกระเสาะกระแสะผู้นี้ชมชอบพี่สามของเ้าใช่หรือไม่
หลงเซี่ยวเจ๋อจึงส่งสายตาลับๆ ให้นางด้วยท่าทีเช่นเดียวกัน เป็อย่างที่ท่านคิด แต่ว่าพี่สามไม่ชอบสตรีประเภทนี้ ท่านวางใจ
มู่จื่อหลิงไม่ลังเลที่จะมองค้อนหลงเซี่ยวเจ๋อ หลงเซี่ยวอวี่จะชอบหรือไม่ชอบคนอมโรคผู้นี้เกี่ยวอันใดกับนางด้วย
แต่ว่าเ็าไร้ความรู้สึกเช่นหมอนั่นจะชอบคนป่วยกระเสาะกระแสะผู้นี้หรือไม่? คนป่วยกระเสาะกระแสะผู้นี้ก็ดูอ่อนแอ ทำให้คนสงสารยิ่งนัก
----------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นกงจู่ คำสรรพนามใช้แทนตนเองขององค์หญิง
[2] กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย หมายถึงปรารถนาให้เกิดความวุ่นวาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้