ดวงตากลมโตของหลินฟางโค้งเป็รอยยิ้ม ก่อนจะนั่งลงกินข้าวต่ออีกครั้ง
แม้นางจะกินอาหารฝีมือหลินฟู่อินมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยจะเบื่อเสียที ตอนนี้กินจนอิ่มแล้วแต่ก็ยังอดคีบอาหารเข้าปากต่ออีกสักหน่อยไม่ได้
ย่าหลี่มองสามสาวพี่น้องด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตักน้ำแกงตุ๋นกระดูกถ้วยใหญ่ให้คนละถ้วย
“ที่จริงข้ายังไม่ได้จัดเตรียมอะไรเลย” หลินฟู่อินคิดไปคิดมาก็มองหน้าหลินเฟิน “พวกท่านก็รู้แล้วว่าไข่ดอกสนนี้ต้องใช้ไข่ ข้าขอให้ต้ายาช่วยรับซื้อไข่เป็ดแล้ว แต่คิดอยากให้ท่านป้าสองเป็คนจัดการเื่รับซื้อไข่ไก่ พวกท่านคิดว่ายังไงบ้างเ้าคะ?
“ดีมากเลย ท่านแม่ข้าต้องอยากทำแน่” หลินเฟินมีสีหน้ายินดีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหม่นลง “แต่ตอนนี้ที่บ้านกำลังสร้างใหม่ เกรงว่าท่านแม่จะไม่มีเวลา…”
“เื่นี้ไม่รีบร้อน ข้ายังมีไข่ไก่อยู่ที่บ้านอีกมาก รอจนท่านป้าว่างค่อยเริ่มก็ได้” หลินฟู่อินโบกมือแสดงท่าทางว่าไม่มีปัญหา
วันนี้หมอหลี่บอกว่าจะช่วยนางแนะนำไข่ดอกสนให้ ดังนั้นนางควรเตรียมของเอาไว้เผื่อสำหรับร้านอาหารน้อยใหญ่ในเมืองชุดใหญ่ๆ
คราวนี้มีร้านอาหารช่วยป่าวประกาศ ยังมีหมอหลี่แนะนำให้วงสังคมคนมีฐานะ เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
แต่นางทำคนเดียวไม่ได้ ยังต้องหาคนมาช่วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีคนช่วยขนไข่ขึ้นรถม้าไปส่งตามร้าน ถึงร่างกายเล็กๆ นี่ของนางจะแข็งแรงแค่ไหน แต่อย่างไรก็ต้องเหนื่อยแน่ๆ
หลินฟู่อินคิดอยากฝึกฝนอาเฟินอาฟางจึงได้คุยกับทั้งสอง “พรุ่งนี้พวกพี่ไม่ต้องไปหาสมุนไพรแล้วนะ เข้าเมืองกับข้าดีกว่า”
“เข้าเมืองหรือ?” ดวงตาของหลินฟางแวววาวขึ้นมาทันที แต่พี่สาวกลับมองอย่างปรามๆ “ฟู่อินเข้าเมืองไปทำธุระ เ้าคิดว่าจะไปเที่ยวเล่นหรือ?”
หลินฟางหัวเราะเขินอาย
หลินฟู่อินอธิบายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “พวกพี่อยากทำกิจการไข่ดอกสนต่อหรือไม่? ถึงจะพูดกับที่บ้านดีแค่ไหนแต่ถ้าไม่ลงมือทำก็ไม่มีประโยชน์นะเ้าคะ ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะขนไข่ส่วนหนึ่งเข้าเมือง ไปดูว่าร้านอาหารที่นั่นจะรับซื้อหรือเปล่า”
เมื่อหลินฟางได้ยินก็กังวลเล็กน้อย “ถ้าหากไม่ซื้อเล่า?”
“ปากเสีย!” หลินเฟินจ้องน้องสาวอีกครั้งแล้วสั่งสอน “หากไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ?”
ย่าหลี่ยิ้มเสริม “อาเฟินพูดถูก หากไม่ลองก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลหรือเปล่า”
หลินฟางแลบลิ้นด้วยความอาย ท่าทางขี้เล่นทำให้ทุกคนหัวเราะครืน
“ฟู่อิน พรุ่งนี้พาซานหลางไปด้วยนะ พรุ่งนี้ข้ากับอาฟางไม่ได้ไปหาสมุนไพร ไม่มีคนคุมซานหลาง เกรงว่าจะกลับไปี้เีอีก” หลินเฟินแนะนำ
หลินฟู่อินไขว้เขวตาม พักหลังมานี้หลินซานหลางตามพี่สาวทั้งสองไปหาสมุนไพร ก่อนหน้านี้ยังหาได้ไม่มาก แต่่หลังๆ หาได้เยอะกว่าสองพี่น้องเสียอีก ทั้งยังทำความสะอาดได้เรียบร้อยมากด้วย
เท่าที่เห็นก็แสดงว่าหลินซานหลางเป็เมล็ดพันธุ์ที่ดีอีกคนหนึ่ง ขอเพียงมีคนคอยสอนคอยให้กำลังใจ…
“ดีเลย พรุ่งนี้พาเขาไปด้วยแล้วกัน” หลินฟู่อิก็กลัวว่าหากไม่มีสองพี่น้องอาเฟินอาฟางคอยดูแล จ้าวซื่อเห็นหลินซานหลางไปเก็บสมุนไพรก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
พอหลินฟู่อินตอบตกลง หลินเฟินจึงวางใจลงได้บ้าง
หลินฟางกินข้าวจนอิ่มแปล้ก็พูดขึ้นมา “ที่จริงท่านแม่ข้าเคยบอกว่าซานหลางตอนเด็กๆ เฉลียวฉลาดมาก แต่เพราะท่านปู่กับท่านลุงใหญ่คอยถ่วงเอาไว้ หากบ้านนั้นส่งซานหลางไปเล่าเรียนย่อมสอบผ่านถงเซิงได้”
คำพูดของหลินฟางนี้ไม่ผิดเลย เพราะถึงหลินซานหลางจะฉลาดเพียงใดก็แก่กว่านางเพียงไม่กี่ปี บัณฑิตวัยสิบสามสิบสี่ปีทั้งต้าเว่ยนับว่าหายากยิ่ง
หากซานหลางมีโอกาสได้เล่าเรียนวิชาั้แ่เด็กย่อมแตกต่างจากหลินต้าหลางที่ป่านนี้อายุยี่สิบปีแล้วก็ยังสอบไม่เคยผ่านสักครั้ง
หลินฟู่อินกับสองพี่น้องไม่มีอะไรปิดบังต่อกัน นางจึงพูด “พี่สามเคยบอกว่าอยากเรียน ข้าจึงให้สัญญาไว้ว่าขอเพียงเขาขยันหมั่นเพียร ตั้งใจทำงาน ข้าย่อมสนับสนุนให้เขาได้เรียน”
ดูเหมือนเื่ที่หลินซานหลางอยากเรียนนี้สองพี่น้องก็เคยได้ยินมานาน พอรู้จากหลินฟู่อินก็พากันยินดีจากใจ
หลินฟู่อินเห็นรอยยิ้มจริงใจของทั้งสองหัวใจก็เกิดความอบอุ่น
ถึงบ้านใหญ่จะข่มเหงพวกนางมาหลายปี แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ยังหวังจากใจขอให้หลินซานหลางได้มีชีวิตที่ดี
เป็เด็กที่เรียบง่ายและใจดีกันเหลือเกิน หลินฟู่อินรู้สึกว่าพี่น้องสองคนนี้งดงามตรึงตรา หลายปีให้หลัง ในตอนที่นางยืนอยู่บนจุดสูงส่ง ก็ยังคิดถึงความไร้เดียงสาและรอยยิ้มอบอุ่นของทั้งสองในวันนี้
วันต่อมา
อากาศในเดือนสิงหาคมร้อนจัด ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า ไม่มีสายลมพัด ใบหลิวร่วงโรย ดอกไม้ไม่ผลิบาน
จักจั่นส่งเสียงจากต้นไม้ ยิ่งเสียงดังเท่าไรก็ราวกับเหงื่อจะไหลออกมามากเท่านั้น
“ร้อนจริงๆ เลย” หลินฟางแบกตะกร้าไม้ไผ่สานใบใหญ่ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า แดดร้อนๆ ทำให้ใบหน้าเล็กยิ่งแดงก่ำ “พี่ ข้าขอน้ำหน่อยสิ”
หลินฟู่อินพาสองสาวและหลินซานหลางขนตะกร้าไม้ไผ่สานใบใหญ่ขึ้นหลัง ยืนรอเกวียนเทียมลาของลุงหลิวอยู่ใต้ต้นไหว [1] เก่าแก่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
เกวียนรอบแรกออกไปแล้วเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ตอนนี้จึงต้องรอรอบสอง
หลินเฟินหยิบถ้วยกระเบื้องสีขาวออกมารินน้ำแล้วส่งให้หลินฟางที่ยืนเหงื่อแตกพลั่ก
จากนั้นนางจึงหันมาถามหลินฟู่อินและหลินซานหลางว่าหิวน้ำหรือไม่
หลินฟู่อินไม่หิวน้ำ ส่วนหลินซานหลางส่ายหน้าไปมา
หลินเฟินจึงบ่น “เมื่อเช้าเ้าเด็กบ้าอาฟางนี่กินของเค็มมากไปน่ะสิ ตอนนี้ถึงได้ร้องแต่จะดื่มน้ำ”
หลินฟู่อินยิ้มน้อยๆ มองหลินฟาง หลินซานหลางเองก็ยิ้มเช่นกัน
รอกันอยู่สักพักหนึ่งก็เห็นลุงหลิวบังคับเกวียนเทียมลากลับมา บนเกวียนมีชาวบ้านที่รีบร้อนไปตลาดตอนเช้าอยู่สิบกว่าคนทีเดียว
สำหรับชาวบ้านหูลู่นั้นตัวเมืองนี้ไม่ต่างจากเมืองหลวง เพราะการที่แต่ละคนจะเข้าเมืองไม่ง่ายเลย หากไม่จำเป็ต้องเข้าเมืองไปจ่ายตลาด หรือนำผักสวนครัวที่บ้านไปขายในเมืองที่ได้ราคาดีกว่าก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะเข้าเมืองนัก
หลินฟู่อินกับพี่ๆ ครั้งนี้ตั้งใจเข้าเมืองไปค้าขาย แต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นรอคอย หวังว่าจะสามารถขายไข่ดอกสนนี้อย่างราบรื่น
เมื่อเห็นเด็กๆ จากบ้านสกุลหลินทั้งสามบ้าน แต่ละคนแบกตะกร้าใบใหญ่ ชาวบ้านต่างก็งุนงง
หลินฟู่อินทุกวันนี้นั่งเกวียนเทียมลาของลุงหลิวเข้าเมืองจึงได้คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เมื่อลุงหลิวเห็นคนบ้านใหญ่สกุลหลินที่ี้เีเข้ากระดูกดำมาร่วมแบกตะกร้าด้วยเช่นนี้ก็สงสัยขึ้นมา
“นางหนูฟู่อิน วันนี้พวกเ้าจะไปทำอะไรกันล่ะนี่?” ลุงหลิวถือโอกาสถามอย่างสนใจ ระหว่างที่รอให้มีคนมามากกว่านี้สักหน่อยค่อยออกเดินทาง
หลินฟู่อินอยากปิดบังเอาไว้จึงได้ยิ้มตอบ “ข้าทำอาหารเอาไว้นิดหน่อย คิดจะเอาไปขายที่ร้านอาหารน่ะเ้าค่ะ”
“โอ! มีแต่พวกเ้าเด็กๆ ทั้งนั้นน่ะหรือ? ทำไมไม่ให้ผู้ใหญ่ตามไปด้วยเล่า?” ลุงหลิวกับชาวบ้านที่้าเข้าเมืองถือโอกาสนี้สูบยาเส้น มองหลินฟู่อินด้วยสายตาไม่เห็นด้วยนัก ทั้งยังส่ายหน้าไปมา “ข้าจะบอกให้นะนางหนูฟู่อิน คนในเมืองพวกนั้นร้ายกาจกว่าพวกเาาวบ้านเยอะ หากเห็นว่าเ้าไม่มีผู้ใหญ่ตามไปด้วยต้องหาทางข่มขู่เ้าแน่!”
“ไม่ต้องห่วงน่าลุงหลิว ยังมีข้าอยู่! ข้าเป็ผู้ใหญ่แล้ว ปกป้องพี่สาวน้องสาวได้แน่!” หลินซานหลางที่เงียบมาตลอดพูดขัดขึ้นมา
ลุงหลิวกลอกตามองหลินซานหลางสองสามครั้ง ก่อนจะหัวเราะลั่น พูดแค่สี่คำ “เด็กดี! เหมาะแท้!”
สำหรับชาวบ้านหูลู่ คำว่าเหมาะหมายถึงดี
ในใจของหลินฟู่อินรู้สึกอุ่นวาบ นางมองหลินเฟินหลินฟาง สองพี่น้องต่างก็ดวงตาแดงก่ำเช่นกัน
ตอนแรกที่หลินฟู่อินมาถึงยุคนี้ นางต้องกัดฟันหาทางสู้จนสุดตัว ส่วนหลินเฟินหลินฟางที่ไม่มีพี่ชายต่างก็โดนสองพี่น้องลูกสาวจ้าวซื่อรังแกไม่ละเว้น ความรู้สึกเมื่อได้รับการปกป้องเช่นนี้ช่างล้ำค่าไม่ใช่หรือ?
----------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ต้นไหว หมายถึง ต้นเจดีย์ญี่ปุ่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้