มู่เอ้าเทียนผ่านประสบการณ์ในสนามรบที่คาวคลุ้งด้วยกลิ่นโลหิต เผชิญหน้ากับนักรบที่แข็งแกร่งมามากมาย ทว่าเขามิใช่คนบุ่มบ่ามเืร้อน กลับเป็คนที่มีสติปัญญามีไหวพริบเป็อย่างยิ่ง นอกจากนี้เขายังเป็ทาสของบุตรสาวเสียด้วยซ้ำ สี่ปีที่แยกจาก สำหรับเขาแล้วทุกการเคลื่อนไหวของลูกล้วนสัมพันธ์กับใจของเขา
ทว่าวินาทีที่นางเห็นมู่เอ้าเทียนนั้น แม้ว่านางจะใ ทว่าในใจของนางก็ได้ตัดสินแล้วว่านางจะเป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่แทนมู่อันเหยียน แต่การแสดงออกของนางย่อมไม่มีทางสนิทสนมได้เหมือนบุตรสาวแท้ๆ
นอกจากนี้ทัศนคติของนางที่มีต่อครอบครัวรองเองก็ค่อนข้างเฉยชา ดังนั้นท่าทีของนางจึงทำให้มู่เอ้าเทียนรู้สึกไม่สบายใจและโทษตัวเองยิ่งขึ้น
ทว่าเื่ราวที่แท้จริงมิได้เป็เช่นนั้น นางโตมาถึงอายุปูนนี้แล้ว นอกจากหยวนเป่าที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุด มู่เอ้าเทียนนับว่าเป็คนเดียวที่ทำให้นางรู้สึกสนิทชิดเชื้อั้แ่วินาทีแรกที่ได้พบ ความรักและการปกป้องคุ้มครองที่ไร้เงื่อนไขของเขาคือสิ่งที่นางใฝ่หามาทั้งชีวิต
ฮวาเหยียนชำเลืองมองพลางคิดว่าจะตอบอย่างไรดี
นางรู้ดีว่าก่อนที่มู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่จะเสียชีวิต หญิงสาวนั้นไร้ความขุ่นเคืองต่อตระกูลมู่หรือบิดาผู้นี้ มีเพียงความรู้สึกผิดเพียงเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าฮวาเหยียนมิได้พูดอันใดออกมา มู่เอ้าเทียนพลันถอนหายใจหนักออกมา ได้ยินเพียงเสียงของเขาที่เอ่ยว่า "ลูกรัก เมื่อก่อนเ้าเรียกข้าว่าท่านพ่อ..." แต่ครานี้เ้ากลับไม่เรียกแม้แต่ครั้งเดียว เรียกเพียงแค่บิดา ความใกล้ชิดและความห่างเหินถูกสร้างขึ้นกั้นกลางระหว่างเรา
“ลูกรัก ที่เ้าตำหนิและโทษพ่อนั้นเป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว พ่อเป็หนี้เ้า ตระกูลมู่เป็หนี้เ้า ตอนนี้เ้าพักผ่อนเสียก่อนเถิด”
หลังจากที่มู่เอ้าเทียนพูดคำเหล่านี้จบ เขาก็หมุนตัวหันหลังกลับไปด้วยความหดหู่ ชายที่แข็งแกร่งคนนี้ จู่ๆ ก็ดูเหมือนจะแก่ขึ้นไปอีกสิบปีทันควัน
การหมุนตัวกลับในครั้งนี้ พาให้หัวใจของฮวาเหยียนบีบแน่นขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง นางเปิดปากกล่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า "ท่านพ่อ"
เสียงเรียกท่านพ่อนี้พาให้จิตใจของนางสั่นไหวด้วยความรุนแรง คลื่นอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูกผุดขึ้นมากลางหน้าอกของนาง ราวกับว่าเมื่อนานมาแล้ว นางก็เคยเรียกขานแบบนี้มาก่อน
นางใจสั่นอย่างอธิบายไม่ได้ ฮวาเหยียนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่แล้วนางก็คิดได้ว่าบางทีนางอาจใส่ตัวเองเข้าไปในบทมู่อันเหยียนมากจนเกินไป ความรู้สึกสับสนตีรวน นางรู้ดีว่าหญิงสาวที่ตายไปนั้นสิ้นหวังและรู้สึกผิดเพียงใดในยามที่นางกำลังจะตาย นางรู้สึกผิดต่อบิดามารดา รู้สึกผิดต่อบุตรชาย
ดังนั้น นางจึงไม่สามารถปล่อยให้ชายที่อยู่ตรงหน้าเข้าใจผิดได้และไม่สามารถปล่อยให้เขาโทษตัวเองและรู้สึกผิดต่อไปได้เช่นกัน
นางจึงค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างช้าๆ ว่า "ท่านพ่อ ข้าความจำเสื่อมเ้าค่ะ..."
"อะไรนะ? "
หลังจากที่คำเรียกขานว่าท่านพ่อของฮวาเหยียนจบลง หัวใจของมู่เอ้าเทียนพลันสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาแดงก่ำ ยังไม่ทันจะได้เข้าไปกอดบุตรสาวก็พลันได้ยินคำพูดถัดไปของฮวาเหยียนเข้าเสียก่อน เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความหมายของประโยคนี้ก็เห็นบุตรสาวก้าวเข้ามาข้างหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเบาว่า
“ท่านพ่อ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว เมื่อสี่ปีก่อนข้ากับหยวนเป่าถูกไล่ต้อนไปที่หน้าผาหิมะ และเพื่อให้มีชีวิตรอด ข้าจึงะโลงจากหน้าผาเพื่อปกป้องตัวเอง ร่างกายาเ็สาหัส โชคดีที่รอดมาได้ แต่จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...
เพียงแค่่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นที่ข้าเริ่มจำตัวตนของตัวเองได้รางๆ และจำท่านได้ ข้าจึงรีบกลับมาพร้อมกับหยวนเป่าเ้าค่ะ"
น้ำเสียงของฮวาเหยียนนั้นเบายิ่งนัก
คำเหล่านี้จริงครึ่งเท็จครึ่ง จริงคือสิ่งที่มู่อันเหยียนประสบพบเจอมา เท็จคือนางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่แท้จริงของตระกูลมู่ อย่างไรก็ตามต่อหน้าของหยวนเป่าที่ไว้วางใจในตัวนางและมู่เอ้าเทียนที่เต็มไปด้วยความรัก คำพูดสุดท้ายของมู่อันเหยียนที่ตายไป ทำให้นางไม่สามารถพูดความจริงออกมาทั้งหมดได้
คำพูดที่กล่าวออกไปแล้วในวันนี้ ตัวตนของนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป มู่อันเหยียนคือนาง นางคือมู่อันเหยียน
เมื่อได้ยินเสียงที่เบาราวกับกระซิบของฮวาเหยียน มู่เอ้าเทียนนิ่งเหม่ออยู่ที่เดิมเป็เวลานาน ไม่อาจตอบสนองกลับมาได้
ความจำเสื่อม...
บุตรสาวของเขาสูญเสียความทรงจำ? ทั้งยังถูกไล่ฆ่า ต้องะโจากหน้าผา
ในยามนั้น นางก็คลอดบุตรออกมาคนหนึ่ง
มู่เอ้าเทียนเ็ปจนกายค้อมตัวลงชั่วขณะ ความเ็ปที่หนักหน่วงในใจทำให้เขายากที่จะเอ่ยพูดคำใดๆ ออกมา เหงื่อบางๆ ก่อตัวขึ้นที่หน้าผากของเขา ชายหนุ่มพยายามเปิดปากแต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
มู่เอ้าเทียนตกตะลึงกับข่าวที่ได้รับรู้อย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาแดงก่ำ พึมพำเสียงเบา "มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ..."
มิน่าเล่า บุตรสาวของเขาเรียกขานเขาว่าบิดาของข้าพาให้รู้สึกไม่สนิทคุ้นชินเลยสักนิด
มิน่าเล่า ยามที่ครอบครัวรองออกมาทักทาย บุตรสาวของเขากลับห่างเหินเ็า
ที่แท้นางก็ความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
...
มู่เอ้าเทียนทั้งเจ็บทั้งเกลียด ที่เจ็บคือลูกสาวของเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดกันใน่สี่ปีที่ผ่านมา และสิ่งที่เขาเกลียดก็คือคนที่ทำร้ายบุตรสาวของเขา ทำให้นางต้องตกอยู่ในหอนางโลมไม่พอ ยังส่งคนตามไปไล่ฆ่านางอีก
ตกลงแล้วคนคนนี้เป็ใครกันแน่ ถึงได้มีจิตใจที่โเี้อำมหิตถึงเพียงนี้?
"ลูกรัก..."
มู่เอ้าเทียนเรียกนาง เขาอ้าปากค้างไว้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอันใด
ผ่านไปนานทีเดียว ถึงจะเห็นว่าตาของเขาแดงก่ำ ชายหนุ่มลูบหัวฮวาเหยียน ก่อนจะกล่าวว่า “ลูกรัก เื่ในอดีตที่ลืมไปแล้วก็ให้มันลืมไปเสียเถิด แต่เ้าจงจำเอาไว้ว่า ทุกคนในตระกูลมู่รักเ้าเหลือเกิน พี่ชายทั้งสาม อารองและอาสะใภ้รอง อีกทั้งยังมีชิงอวิ้น ทุกคนล้วนรักเ้า”
ฮวาเหยียนพยักหน้า นางเรียนรู้จากคำพูดของมู่เอ้าเทียนว่ามู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่มีพี่ชายอีกสามคน
“ท่านตา ครอบครัวของท่านตารองข้าล้วนพบหน้าไปแล้ว เช่นนั้นท่านลุงทั้งสามของข้าอยู่ที่ไหนหรือ? ทำไมหยวนเป่าถึงไม่เห็นพวกเขาเล่าขอรับ”
ในเวลานั้นหยวนเป่าเปล่งเสียงถามออกมา
เมื่อได้ยินเสียงเล็กของหยวนเป่า และเห็นร่างของเด็กตัวน้อยมีหน้าตาราวกับบุตรสาวของเขา ความเศร้าของมู่เอ้าเทียนพลันมลายหายไปเล็กน้อย เขาโน้มกายลงสบประสานสายตาเข้ากับหยวนเป่าก่อนกล่าวว่า "ท่านลุงใหญ่ของเ้าอยู่ในวังกำลังปฏิบัติหน้าที่ ท่านลุงรองของเ้าอยู่ที่ชายแดน ส่วนท่านลุงสามของเ้าไปเที่ยว แต่ตาจะส่งจดหมายไปหาพวกเขา ตาเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมาในเร็วๆ นี้แน่นอน”
หยวนเป่าขมวดคิ้ว “แล้วพวกท่านลุงจะชอบหยวนเป่าหรือไม่ขอรับ? ”
เมื่อได้ยินคำถามอันไร้เดียงสาของหยวนเป่า มุมปากของมู่เอ้าเทียนพลันเกิดรอยยิ้มขึ้น "แน่นอน"
"เย้"
หยวนเป่าดีใจจนชูไม้ชูมือ ดวงตาของเขาเป็ประกายระยิบระยับ
"ลูกเหยียน เ้าพาหยวนเป่าเข้าไปพักผ่อนเถิด ยามทานข้าวเย็นพ่อจะส่งคนมาเรียกเ้าเอง อย่าได้คิดมาก"
มู่เอ้าเทียนกล่าวกับฮวาเหยียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักและทะนุถนอม
ฮวาเหยียนพยักหน้า กล่าวคำตกลงหนึ่งเสียง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับหยวนเป่า
ทันทีที่หมุนกายกลับมา ความไร้เดียงสาที่เสแสร้งแกล้งทำบนใบหน้าของหยวนเป่าพลันหายไป เขากลับมาเป็คุณชายตัวน้อยที่สุขุมเยือกเย็น เขาเป็เด็กน้อยที่รู้ความ เมื่อเห็นว่าท่านตาของเขาเศร้าเพราะเื่ของท่านแม่ เขาจึงแสร้งทำเป็ไร้เดียงสาเพื่อหันเหความสนใจของมู่เอ้าเทียน
“ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านตาไม่ได้กล่าวถึงท่านย่าเลยนะขอรับ...”
ฮวาเหยียนจูงมือหยวนเป่าเดินไปในห้อง กลับได้ยินคนตัวเล็กเปิดปากกล่าวขึ้นมา
ฮวาเหยียนเม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยอันใดออกมา นางเองก็พบว่ามู่เอ้าเทียนไม่เคยพูดถึงภรรยาของตน
ฮวาเหยียนไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใด หยวนเป่าเองก็ไม่ถามอะไรเพิ่มเติม ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง
เรือนชิงเฟิง ลานบ้านเป็ระเบียบเรียบร้อย สนามหญ้าเขียวขจี ูเาปลอมและธารน้ำไหล ทิวทัศน์สวยงาม หลังจากที่เข้ามาภายในเรือนพลันรู้สึกสะอาดและงดงามั้แ่แรกเห็น ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอ่อนจางของไม้จันทน์ งานแกะสลักฉลุหน้าต่างเพื่อรับแสงแดด ตั่งเตียงใหญ่นุ่มในห้องปูด้วยผ้าห่มสีม่วง ล้อมรอบด้วยพู่ระย้าสีม่วงอ่อน เมื่อมองผ่านผ้าม่านสีอ่อนก็จะเห็นตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเตียงที่มีเปลือกหอยสีมุกฝังอยู่ช่างงดงามและแพรวพราว
มีภาพวาดทิวทัศน์หลายภาพแขวนอยู่บนผนัง บนชั้นวางติดกับผนังมีแจกันงานประณีตวางอยู่หลายใบ ตรงมุมห้องมีฉินโบราณอยู่ ทั่วห้องทุกที่ล้วนปรากฏกลิ่นอายสง่างาม
ที่นี่คือที่ที่มู่อันเหยียนเคยอาศัยอยู่ จากความตระการตาโอ่อ่าของห้องจะเห็นได้ว่าสตรีนี้เป็สตรีที่ดี มีทั้งความสง่างามและอุปนิสัยที่ดี
ฮวาเหยียนไม่สามารถพูดออกมาได้ว่านางรู้สึกอย่างไร นางถอนหายใจ ล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่ จ้องมองไปที่ม่านหน้าต่าง้า ในหัวของนางว่างเปล่า
ในยามนั้น นางไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกอะไรในใจ ยามที่มู่อันเหยียนตัวจริงใกล้จะจากไป นางตอบรับคำขอและความปรารถนาครั้งสุดท้ายของหญิงสาว เลี้ยงหยวนเป่าจนเติบใหญ่ เป็ตัวแทนของนางกลับไปยังตระกูลมู่ พบบิดาของนาง อาศัยอยู่ในห้องที่นางเคยอยู่ ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย เป็ไปในทิศทางที่กำหนดไว้ แต่ใจของนางกลับหนักอึ้ง ความรู้สึกอึดอัดนั้นถูกกดทับกันไว้แน่น
“ท่านแม่ ดื่มน้ำหน่อยเถิด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้