แต้มบารมีสามหมื่นสองพันแต้ม ได้รับแต้มบารมีมากกว่าตอนที่เจียงไป๋เสี่ยงอันตรายไปสู้กับอู่เทียนซีที่ปินไห่มาก
ตามการคาดเดาของสื่อที่เกี่ยวข้อง ยอดขายหนังสือเล่มนี้ของเจียงไป๋อาจจะคงไว้ที่สิบล้านเล่ม และอยู่ระหว่างสิบห้าล้านเล่ม นี่ก็แสดงว่า เจียงไป๋จะได้รับแต้มบารมีอยู่ที่หนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้ม
แต้มบารมีอย่างนี้ … ก็น่าใอยู่บ้าง
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจียงไป๋ที่ได้แต้มบารมีมาสามหมื่นสองพันแต้มแล้ว เวลานี้แทบจะฉีกตัวเองให้ตาย
เวลานั้นหนังสือดีๆ มีมากมาย ทำไมเขาถึงไม่ตั้งใจอ่าน! ตอนนี้ดีแล้ว เดิมทีสามารถร่ำรวยด้วยเส้นทางของการขโมยผลงานในระยะยาว แต่ตอนนี้กลายเป็การค้าแค่ครั้งเดียว พอครั้งนี้หมดแล้วก็ไม่มีความหวังต่อแล้ว …
ลองคิดดู เจียงไป๋ก็อดน้ำตาคลอเต็มหน้าไม่ได้ ความสุขของการเข้าพักบ้านใหม่ก็อันตรธานหายไปอย่างฉับพลัน
“ไม่รู้ว่าหากหนังโหด เลว ดี เข้าฉายจะนำแต้มบารมีมาให้ฉันได้เท่าไร?” เจียงไป๋อดคิดไม่ได้
ถึงหนังเื่นี้จะไม่เลวก็ตาม แต่เขาก็เป็แค่คนเขียนบทกับชายหมายเลขสาม และเขายอมรับว่าแสดงได้ธรรมดามาก ยิ่งมีบุคคลที่เจิดจรัสอย่างตี๋หู่ โจวฟา เย่ชิงเฉิง อย่างนี้กดอยู่้า
ถึงหนังโหด เลว ดี จะดังอย่างไร เจียงไป๋ก็ไม่คิดว่าเขาจะได้รับแต้มบารมีจากหนังเื่นี้มากจนเกินไป
ก็แค่นี่เป็การลองใน่แรก หากเห็นผลดี เจียงไป๋คิดว่าเขาน่าจะทำแบบนี้อีก
แต่หากรอหนังโหด เลว ดี เข้าฉาย นั่นก็อีกสองเดือน ตอนนี้ถึงเจียงไป๋จะคิดก็เสียเวลาเปล่า
ไม่ว่าอย่างไร ก็มีแต้มบารมีสามหมื่นกว่าแต้มอยู่ในมือแล้ว เจียงไป๋จะเก็บสะสมแต้มบารมีที่ได้รับถึงหนึ่งแสนแต้ม แต่ก็ขาดแค่ไม่เท่าไร เจียงไป๋ก็จะสามารถจับรางวัลขั้นสูงได้ฟรีหนึ่งครั้งแล้ว
สำหรับเจียงไป๋แล้ว นี่ก็เป็เื่ใหญ่มากแน่นอน เมื่อเทียบกับเื่นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเื่อื่นๆ ก็ล้วนไม่สำคัญ
เจียงไป๋เก็บความคิดแล้วเดินออกจากบ้านของตัวเองไปเพียงลำพัง
นี่เพิ่งจะย้ายมา สำหรับโดยรอบก็ไม่คุ้นเคย เจียงไป๋้าออกไปเดินเล่นให้ทั่ว
เดิมทีควรจะไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านสักหน่อย น่าเสียดายที่เจียงไป๋ไม่มีเพื่อนบ้าน ดังนั้นเขาจึงอยากจะไปดูถนนที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะสักสองสามสาย
ตอนนี้คือเวลาที่แสงไฟเริ่มสว่างไสว ชีวิตยามค่ำคืนของเทียนตูอุดมสมบูรณ์กว่าปกติมาก เมื่อก่อนเจียงไป๋มักจะออกไปทานของว่างอะไรต่างๆ ในเวลานี้ แต่เสียดายที่ั้แ่สองสามเดือนก่อน หลังจากชีวิตที่แสนสงบของเขาถูกระบบทำลายแล้ว ก็ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก
แต่ไหนแต่ไรมามีแต่เื่ยุ่งรัดตัว แม้แต่ท่วงทำนองการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานก็ถูกทำลายไปแล้ว ตอนนี้มีเวลา เป็ธรรมดาที่เจียงไป๋อยากจะไปเดินเล่น เพื่อรำลึกถึงชีวิตในเมื่อก่อน
เจียงไป๋เดินเตร่อยู่บนถนนอย่างนี้ ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าจะเดินได้ทั่ว หลังจากนั้นมองดูนาฬิกาข้อมือแล้ว เที่ยงคืนกว่าแต่บนถนนยังคงมีผู้คนมากมาย เขารู้สึกหิว จึงเดินตามกลุ่มคนไปยังถนนของกินเล่นที่มีชื่อเสียงที่สุดที่อยู่ใกล้ๆ
ที่นั่นคือถนนของกินเล่นของเขติจูสายหนึ่ง ในเทียนตูมีชื่อเสียงที่สุด นักท่องเที่ยวต่างถิ่นก็แห่กันมา ดังนั้นจึงคึกคักที่สุด และมีความโดดเด่นมาก
ก่อนหน้านี้เจียงไป๋ก็อยากออกมาเดินเล่นสักหน่อย น่าเสียดายที่สถานที่นี้อยู่ไกลจากที่พักของเขาจริงๆ เขาจึงไม่มีโอกาสแบบนี้ ตอนนี้มีเวลา เจียงไป๋อดไม่ได้ที่จะเดินไปตามฝูงคน เดินมาถึงครึ่งทาง ต่อมรับรสก็กระตุกแล้ว
พอถึงที่นี่ เจียงไป๋ก็รู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง
ไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่ดี แต่เพราะมีคนมากเกินไป
คนบนถนนก็มีไม่น้อย แต่พอถึงที่นี่แล้ว ยิ่งมีเสียงคนดังเอะอะมากมาย ผู้คนผลักกันไปมาจนทำให้เจียงไป๋หมดคำพูด เขาก็ไม่ค่อยชอบสภาพแวดล้อมที่เบียดเสียดกันเกินไป นี่ก็เป็นิสัยที่มีมาโดยธรรมชาติ
แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะจากไป เขาจุดบุหรี่ และเงียบอยู่สักพัก เจียงไป๋สูบไปสักสองสามคำก็โยนทิ้งแล้วเดินเข้าไป
สักพัก กลิ่นหอมหวนต่างๆ ก็ลอยมาแล้ว เจียงไป๋เป็คนกินแหลกคนหนึ่งจริงๆ สำหรับของอร่อยแล้วไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย แต่สักพักก็โยนความสับสนวุ่นวายไว้ด้านหลัง และเริ่มทานอย่างเอร็ดอร่อย
ถนนหนึ่งสาย เจียงไป๋เดินวนไปมาหนึ่งชั่วโมงกว่าถึงจะเดินเสร็จ และเขาที่เหนื่อยอยู่บ้างจึงหาร้านแผงลอยที่อยู่มุมถนนสายหนึ่ง เขาสั่งซาลาเปาทอดหนึ่งชุด เนื้อปิ้งย่างหลายไม้ แล้วก็เริ่มทาน
วิธีการทานแบบนี้หากเป็คนธรรมดาก็จุกตายแล้ว แต่เขาเป็ผู้ฝึกวูซูจีนปริมาณอาหารก็จะมาก กำลังยิ่งมากก็ยิ่งทานเก่ง เพราะ้าพลังงานจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะเจียงไป๋ที่มีพื้นฐานอย่างตอนนี้
ทำให้เขาทานข้าวหนึ่งมื้อ ทานวัวหนึ่งตัว ก็ล้วนไม่ใช่ว่าเป็ไปไม่ได้ ดังนั้นทานไปหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขายังคงมีแรงเหลือล้น ตอนนี้เป็ธรรมดาที่จะเสวยสุขอย่างเต็มที่
“คุณผู้ชายสวัสดีค่ะ คุณ้าเบียร์ไหม พวกเรามีเบียร์ชิงชานที่ออกใหม่ ตอนนี้มีโปรโมชันซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง คุณลองชิมดูได้ รับรองว่าจะไม่เสียใจ”
เจียงไป๋ทานอย่างสบายอยู่พอดี แต่จู่ๆ ด้านข้างก็มีเสียงที่ใสกังวานเสียงหนึ่งแว่วมา สาวเชียร์เบียร์ที่ขายเบียร์สองสามคนเดินเข้ามา และเริ่มแบ่งโต๊ะกันขายเบียร์
หนึ่งในนี้เดินมาหาเจียงไป๋ และพูดแบบนี้
เจียงไป๋หันหน้าไป อีกฝ่ายใทันที และก็หันหลังเพื่อจะวิ่งหนี
แต่เสียดายที่ถูกเจียงไป๋จับผ้าผันคอที่เป็หนังไว้ทันที จนทำให้ผู้คนโดยรอบหันมามองกันทันที
“จู้ซินซิน ทำไมถึงเป็เธออีก!”
เจียงไป๋ยืนขึ้น และใช้ข้อศอกคล้องคอของอีกฝ่ายไว้ ท่ามกลางสายตาที่แปลกใจของผู้คนมากมาย เขาคล้องอีกฝ่ายไว้แน่น
ตอนที่พูด จริงๆ แล้วเจียงไป๋ก็กุมหน้าผากไว้แล้ว
เพราะสาวเชียร์เบียร์คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็จู้ซินซิน
สาวน้อยคนนี้ทำไมถึงได้ออกมาทำงานอีกแล้ว?
โดยเฉพาะทุกครั้งทำไมถึงต้องถูกเขาพบเข้าด้วย เป็เธอโชคร้าย หรือเขาค่อนข้างมีพรหมลิขิตกับเธอกันแน่
“ฉัน … ฉันทำงาน … ”
จู้ซินซินถูกเจียงไป๋จับไว้ เธอก้มหัวลงทันที แล้วพูดอย่างกลัวๆ
“ทำงาน? ครั้งก่อนคือเธอไม่มีเงิน ครั้งนี้ล่ะ? เงินที่ฉันให้เธอไปล่ะ?” เจียงไป๋ขมวดคิ้วพูด
หรือว่าสาวน้อยคนนี้มีโรคคลั่งทำงาน?
นักเรียนดีๆ คนหนึ่งไม่เรียนหนังสือ สวมเสื้อผ้าโป๊ๆ ทั้งวัน ทำงานอะไรกัน?
ครั้งก่อนยังพูดได้ว่าไม่มีเงิน ครั้งนี้ล่ะ?
“มาก มากเกินไปแล้ว … ฉัน ฉันไม่กล้าใช้ … ”
จู้ซินซินให้เหตุผลที่ทำให้เจียงไป๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ขอร้องล่ะ ถึงจะมากเกินไปแต่ก็ไม่ได้ให้เธอใช้หมดในครั้งเดียว เธอจะค่อยๆ ใช้ก็ได้ ครั้งหนึ่งก็ถอนให้มันน้อยหน่อยก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
พูดอีก เธอไม่ใช่เป็เดือดเป็ร้อนหลังจากที่ให้คนอื่นรับเลี้ยงแล้วก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรือ?
เธอทำอย่างนี้ … ทำไมไม่ทำตัวเป็ภรรยาน้อยที่ใช้เงินราวกับเป็ดินล่ะ?
นี่ก็ไม่ผ่านเกณฑ์ …
“ไปกับฉัน”
เจียงไป๋จ้องอีกฝ่ายอย่างโมโห และปล่อยมือ เขาพูดอย่างนี้แล้วก็พาจู้ซินซินหันหลังเดินออกไป
“เปิด ไปเปิดห้องหรือ?”
จู้ซินซินพูดแบบนี้อย่างกลัวๆ ทำให้คนที่เดิมทีดูอยู่ ยังมีคนที่อยู่กับจู้ซินซินเ่าั้แทบเป็ลม
แต่ละคนมองสายตาของเจียงไป๋ ราวกับเห็นสัตว์ร้ายที่มีชีวิต
เด็กสาวคนนี้สวยมาก เพิ่งจะอายุเท่าไร?
สิบหก? หรือว่าสิบเจ็ด?
สัตว์ร้ายคนนี้พอเห็นใครบนถนนก็จะลากเขาไปเปิดห้อง?
ถึงแม้ … พวกเขาสองคนเหมือนจะรู้จักกัน แต่นี่ก็ไม่เกินไปหน่อยหรือ?
“ผักกาดขาวดีๆ ดันให้หมูกินเสียได้”
ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ อดบ่นไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าจู้ซินซินไม่ได้ถูกบีบบังคับ ทั้งสองคนยังเหมือนจะรู้จักกันอีก ตอนนี้เกรงว่าจะมีคนเข้ามาเป็เทพบุตรขี้ม้าขาวมาช่วยแล้ว
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เจียงไป๋ที่ยืนขึ้นแต่ยังไม่ได้เดินออกไปซวนเซแทบจะทรุดลง เขากุมขมับ และได้สติมาสักพัก ทั้งยังเขกหัวของจู้ซินซินแล้วพูดว่า “เปิดห้องบ้าอะไร ฉันจะให้เธอกลับบ้านกับฉัน”
เมื่อพูดจบ เจียงไป๋ก็หน้าแดง รู้สึกว่าตนเองเหมือนจะพูดอะไรผิด สายตาที่คนโดยรอบเ่าั้มองสัตว์ร้ายก็ยิ่งลุกวาว หลังจากนั้นก็เสริมว่า “กลับบ้านเธอ! ฉันจะส่งเธอกลับบ้าน! เด็กสาวคนหนึ่งเที่ยวเตร่อยู่ข้างนอกตอนห้าทุ่มกว่ามันเหมือนอะไรกัน? หรือว่าพรุ่งนี้เธอไม่ต้องเข้าเรียนหรือ?”
“นี่ … อ้อ”
เมื่อจู้ซินซินได้ยินคำนี้แล้ว ก็อารมณ์หดหู่ แล้วเดินก้มหน้าออกไปจากที่นี่กับเจียงไป๋
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้