ชายคนหนึ่งะโออกมาจากด้านหลังของฉู่หลิวซวง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาเปล่งเสียงะโออกมา สีหน้าท่าทางนั้นดูทั้งเกินจริงทั้งตื่นเต้น เสียงของเขาดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างทันที
รอยยิ้มมุมปากของฮวาเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง
สตรีที่มั่วโลกีย์ในหอนางโลมจนถูกถอนหมั้นไปเมื่อสี่ปีที่แล้วนั้น หมายถึงนางใช่หรือไม่? ไม่ใช่สิ หมายถึงมู่อันเหยียนใช่หรือไม่?
ฮวาเหยียนยืดกายนั่งตัวตรงทันที
ในยามนั้น บริเวณรอบๆ ปรากฏคนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกสายตาล้วนจดจ้องมองมาที่นาง ต่างคนต่างพากันกระซิบกระซาบ เล่ากันปากต่อปาก
“มู่อันเหยียน นางเป็บุตรสาวแห่งตระกูลมู่จริงๆ ด้วย ว่ากันว่านางหายตัวไปถึงสี่ปี นึกว่าจากไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่ายามนี้นางจะหวนคืนกลับมา”
“มู่อันเหยียนคือผู้ใด?”
คนที่สัญจรไปมามีที่ไม่รู้จักจึงเปิดปากกระซิบถาม ส่วนคนที่รู้ก็รีบเปิดปากเล่าทันที
“สหาย เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเ้าไม่ใช่ชาวต้าโจว แม้แต่มู่อันเหยียนเป็ใครเ้าก็ยังไม่รู้ นางคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของมู่เอ้าเทียน ขุนนางที่ได้รับพระราชทานราชทินนามอ๋องเพียงคนเดียวในอาณาจักรต้าโจว และเป็สตรีผู้สูงศักดิ์อันดับหนึ่งแห่งต้าโจวเช่นกัน คู่หมั้นของนางก็คือองค์รัชทายาท แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อสี่ปีก่อน...
มู่อันเหยียนผู้นี้ เมื่อสี่ปีที่แล้วถูกพบว่ามั่วโลกีย์อยู่ในหอนางโลม ชื่อเสียงของนางตกต่ำ ทั้งยังถูกองค์ชายรัชทายาทถอนหมั้น หลังจากนั้นนางก็หายตัวไป คิดไม่ถึงว่าสี่ปีผ่านไป ในที่สุดนางก็หวนคืนกลับมา ทว่าไม่รู้ว่าตระกูลมู่จะสามารถยอมรับลูกสาวที่ไม่บริสุทธ์คนนี้ได้หรือไม่"
“อา... เช่นนั้นแล้วนางยังมีหน้ากลับมาอีกหรือ ตระกูลมู่ย่อมไม่มีทางยอมรับนางเป็แน่”
“หากรับนางกลับเข้าตระกูล ตระกูลมู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? ตระกูลมู่เป็ตระกูลแม่ทัพ บุตรชายทั้งสองต่างก็ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ท่านอ๋องมู่เองก็ได้รับการยกย่องจากราชวงศ์ ดังนั้นบุตรีคนนี้จึงเป็รอยด่างเพียงรอยเดียวของตระกูล หากยอมรับรอยด่างนี้กลับเข้าตระกูล เกรงว่าจะถูกคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
“ได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลมู่กำลังเจรจาเื่การแต่งงาน มู่อันเหยียนกลับมาในยามนี้ มิใช่ว่าเป็การเพิ่มความอึดอัดใจให้แก่ตระกูลมู่หรือ?”
“ก็ไม่ใช่เช่นนั้นหรืออย่างไร”
เสียงกระซิบเ่าั้หล่นเข้าหูของฮวาเหยียน
สีหน้าของฮวาเหยียนเ็าขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านั้นนางลองจำลองสถานการณ์นับไม่ถ้วนในการกลับมายังเมืองหลวงแห่งต้าโจว แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เคยคาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย มั่วโลกีย์ ถูกคู่หมั้นถอนหมั้น? หมายถึงมู่อันเหยียนหรือ? สตรีผู้นั้นที่เป็เหมือนกล้วยไม้ในหุบเขาที่ว่างเปล่า [1] จะเป็ไปได้อย่างไร?
ในสายธารความคิดของนางปรากฏภาพของสตรีที่น้ำตาเอ่อนองอย่างมิอาจหักใจได้ นางใช้ลมหายใจสุดท้ายคุกเข่าลงต่อหน้าตน เพื่อบอกว่า 'นับจากนี้ไป เ้าคือธิดาของท่านอ๋องหลู่หนานแห่งต้าโจว'
ทว่ายามนี้ นางพาหยวนเป่ากลับมาที่ต้าโจว กลับต้องเผชิญกับการถูกตำหนิด่าทอนับพัน ความอัปยศอดสูนับหมื่น
เหตุใดถึงเป็เช่นนี้ไปได้?
มู่อันเหยียน แท้จริงแล้วเ้าต้องเผชิญกับปัญหาอันใดกันแน่?
การตายอย่างเด็ดเดี่ยวเกี่ยวข้องกับเื่เหล่านี้หรือไม่?
นางที่เป็ถึงบุตรีแห่ง์ มีฐานะอันสูงส่งและการแต่งงานที่ทุกคนในใต้หล้าล้วนอิจฉา นางจะมั่วโลกีย์กับผู้อื่นในดินแดนแห่งดอกไม้ไฟ [2] ได้อย่างไร? หากบอกว่านี่ไม่ใช่การวางแผนเล่นกลอุบาย ตีให้ตายอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ
อีกทั้งนางต้องประสบเหตุการณ์ที่ราวกับร่วงจาก์ลงสู่นรก เพื่อนฝูงห่างหาย ญาติพี่น้องทิ้งขว้าง นางตัวคนเดียวถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลออกจากบ้านเกิด คลอดลูก ถูกตามสังหาร และตายลงในหุบเขาหิมะอย่างโดดเดี่ยว เพียงยาทำลายศพเม็ดเดียว ร่างของนางก็ไม่เหลือไว้แม้แต่กระดูก...
ไม่น่าแปลกใจที่ดวงตาของนางจะปรากฏความเ็ป เกลียดชัง หวนคำนึง อีกทั้งยังมุ่งมั่น...
ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเ็ป ฮวาเหยียนรู้สึกว่านางหายใจไม่ออกเพราะความเ็ปในใจของตน ใบหน้าค่อยๆ ซีดขาว ตัวงอทรุดลงกับพื้น ต้องหายใจหอบอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้งถึงจะเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่ามันเป็ประสบการณ์ของมู่อันเหยียน ทว่านางกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเ็ปเฉกเช่นเดียวกัน มันเป็อารมณ์ที่อธิบายได้ยากยิ่งเสียจริง
เพียงััเดียว น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูทั่วใบหน้า...
ฮวาเหยียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากเื่ของหยวนเป่า นี่เป็ครั้งที่สองที่นางเสียน้ำตา เมื่อครั้งยังเป็เด็ก นางเคยสาบานกับตนเองไว้ว่าจะไม่ยอมเสียน้ำตาให้กับเื่ใดง่ายๆ เพราะมันเป็การแสดงถึงตัวตนที่ไร้ความสามารถ ทว่าในยามนี้นางกำลังแสดงความเ็ป ความเกลียดชัง ความคับข้องใจแทนสตรีที่ชื่อมู่อันเหยียน...
“ท่านแม่ ท่านเป็อะไรไปขอรับ?”
เมื่อเห็นความผิดปกติของฮวาเหยียน หยวนเป่าก็รีบร้อนเอ่ยขึ้น
ในยามนั้นเ้าตัวเล็กเองก็หน้าซีดเช่นเดียวกัน ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล
หัวใจของฮวาเหยียนเต้นแรงอย่างเ็ปขึ้นมาอีกครั้ง นางเอื้อมมือไปััใบหน้าเล็กๆ ของหยวนเป่า ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า "แม่ไม่เป็อันใด”
เมื่อมองไปที่ดวงตาที่ตื่นตระหนก ทว่าพยายามสะกดกลั้นไว้ของหยวนเป่า ฮวาเหยียนพลันรู้สึกเ็ปในใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง หยวนเป่าเองก็ได้ยินคำพูดเ่าั้เช่นกัน เด็กน้อยคนนี้จะคิดอย่างไรกับนาง?
“หยวนเป่า มารดาของเ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”
ฮวาเหยียนเอ่ยด้วยเสียงต่ำ คำพูดของนางกำกวมยิ่งนัก
หยวนเป่ามองไปที่ฮวาเหยียน สองมือน้อยกำมือของนางแน่น “ท่านแม่ ข้ารู้ ท่านเป็สตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้าสำหรับข้า”
ทั้งทีที่สิ้นเสียง ดวงตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนเป็เ็าในทันที เด็กน้อยเบิกตาโตจ้องมองไปที่ชายคนนั้นพร้อมกับฉู่หลิวซวง ก่อนจะะโเสียงดังว่า "พวกเขากำลังพูดเื่ไร้สาระ ใส่ความท่านแม่ หยวนเป่าไม่เชื่อพวกเขา"
เมื่อได้ยินคำพูดของหยวนเป่า หัวใจของฮวาเหยียนก็สงบลงราวกับได้รับการปลอบโยน นางลูบหัวเขาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “หยวนเป่า หากตระกูลมู่ไม่ยอมรับเ้า แม่จะพาเ้าออกท่องยุทธภพดีหรือไม่?”
คำพูดของฉู่หลิวซวงและเสียงกระซิบของคนรอบตัวดังขึ้นข้างหูของนาง ในยามนี้นางไม่รู้ว่าท่าทีของตระกูลมู่จะเป็เช่นไร ทว่าหากมู่อันเหยียนมีชื่อเสียงถึงระดับนั้นจริงๆ เกรงว่าตระกูลมู่คงจะยอมละทิ้งบุตรสาวคนนี้ไปแล้วก็เป็ได้
หัวใจของฮวาเหยียนสูญสิ้นความหวัง
“ได้ ท่านแม่อยู่ที่ใด หยวนเป่าก็อยู่ที่นั่น”
น้ำเสียงหนักแน่นของหยวนเป่าดังขึ้นข้างหู
ฮวาเหยียนพยักหน้า
ฉู่หลิวซวงได้ยินหยวนเป่าเรียกขานฮวาเหยียนว่า 'ท่านแม่' ดวงตาของนางพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที นางเหลือบสายตามองไปยังบุรุษที่อยู่ด้านข้าง และชายผู้นั้นก็เข้าใจความหมายของนางในทันที เขารีบโพล่งออกมาว่า “อะไรกัน? เด็กคนนี้เรียกขานเ้าว่าท่านแม่ นี่คือบุตรชายของเ้าหรือ? หา? มู่อันเหยียน เ้าไม่เพียงแต่มั่วโลกีย์เท่านั้น ทว่ายังให้กำเนิดก้อนเืที่ชั่วร้ายออกมาอีกด้วยหรือ?”
สิ้นเสียงะโนั้น ทุกสายตาพลันมองไปที่หยวนเป่าทันที
ใบหน้าเล็กๆ ของหยวนเป่านั้นปราศจากสีเื เขาไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่จ้องไปยังชายผู้อยู่ด้านหลังของฉู่หลิวซวงด้วยดวงตาที่เคลือบไปด้วยความเกลียดชัง กำหมัดเล็กๆ ของเขาถูกกำเอาไว้แน่น
หัวใจของฮวาเหยียนเจ็บเหมือนถูกทุบด้วยค้อน คำเรียกขานที่ว่าก้อนเืที่ชั่วร้ายทำให้ฮวาเหยียนเกิดความรู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมาทันที
“เ้าพูดว่ากระไรนะ?”
ฮวาเหยียนลุกขึ้นยืน แสงแดดตกกระทบใบหน้า สีหน้าของนางเ็าราวกับน้ำแข็ง ความรู้สึกกดดันพุ่งตรงเข้าทิ่มแทงชายคนนั้นทันที
ภายใต้การจ้องมองที่แสนกดดันของฮวาเหยียน ร่างของชายคนนั้นพลันสั่นสะท้านขึ้นมา เขาเผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ยามที่ได้สติกลับคืนมาจึงเริ่มรู้สึกเขินอายก่อนจะกลายเป็ความโกรธ ในยามนั้นจึงเอ่ยปากด่าขึ้น “ทำไมกัน? เ้าทำเื่อื้อฉาวแล้วจะไม่ให้ใครพูดถึงหรือ? ให้ข้าพูดอีกร้อยรอบก็ยังเป็คำเดิม ก้อนเืที่ชั่วร้าย”
มุมปากของฉู่หลิวซวงที่อยู่ข้างๆ หยักยกขึ้นยิ้ม เมื่อเห็นฮวาเหยียนถูกทำให้อับอาย จิตใจของนางก็ปลอดโปร่งโล่งขึ้นกว่าที่เคย นางไม่ได้หยุดเขา อีกทั้งยังส่งสายตาให้กำลังใจเขา ชายคนนั้นได้รับสัญญาณของฉู่หลิวซวงทำให้ขวัญกำลังใจของเขาพุ่งสูงขึ้น จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดัง “คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ ข้าเกรงว่าแม้แต่เ้าเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้เป็ผู้ใดที่หว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้กระมัง หากนั่นไม่ใช่ก้อนเืชั่วร้ายแล้วจะเรียกว่าอันใด? ใช่หรือไม่เล่า ฮ่าๆๆๆ”
“แขนของเ้าถูกคล้องนับพันครา ริมฝีปากถูกฉกชิมนับหมื่นครั้ง สกปรกยิ่งนัก ทว่าจวนของท่านชายผู้นี้ยังขาดตำแหน่งอนุอยู่ตำแหน่งหนึ่งพอดี แม่นางมู่สนใจหรือไม่เล่า? ฮ่าฮ่าฮ่า..."
เขาหัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน ดวงตาทอดมองเรือนร่างของฮวาเหยียนอย่างลามกอนาจาร ชายที่อยู่ข้างหลังเขาพากันขำจนไหล่สั่น ไม่ว่าผู้ใดล้วนคิดเื่สัปดน
“หัวเราะพอหรือยัง?”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ กลับได้ยินเสียงของฮวาเหยียนที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เ็า
“หัวเราะพอแล้ว หัวเราะพอแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดัง ทว่าในวินาทีต่อมาเขาพลันได้ยินฮวาเหยียนที่ค่อยๆ เปิดปากกล่าวว่า "หัวเราะพอแล้ว เช่นนั้นไปตายซะ"
เชิงอรรถ
[1] ดอกกล้วยไม้ในหุบเขาที่ว่างเปล่า ใช้อุปมาถึงของหายากและงดงาม
[2] ดินแดนแห่งดอกไม้ไฟ คนโบราณใช้ "ดอกไม้ไฟ" เพื่ออธิบายฉากฤดูใบไม้ผลิที่มีต้นหลิวเหมือนควันและดอกไม้เหมือนผ้า ใช้เรียกแทนหอนางโลมหรือซ่อง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้