ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็ไปได้ โดยเฉพาะหลังจากที่มู่เอ้าเทียนโมโห ยามที่กล่าวถ้อยคำนั้น สีหน้าของหลิวซินเหยาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซีดขาว พร้อมกับจิติญญาที่สลายหายไป ราวกับหัวใจของนางถูกเผาไหม้จนกลายเป็เถ้าถ่าน
ไอ๊หยา ช่างเป็รูปแบบการอกหักที่คลาสสิกเหลือเกิน
เฮือก
ฮวาเหยียนสูดหายใจเย็นเข้าปอด นางรู้สึกเจ็บที่ฟันกรามด้านหลังเหลือเกิน เฮอะๆๆ เื่นี้ทำให้นางค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่เสียจริง ดวงตาของฮวาเหยียนหันกลอกไปมาราวกับจิ้งจอกตัวน้อย นางรู้สึกว่าท่านพ่อแห่งตระกูลมู่รู้ว่าท่านอาสะใภ้รองกำลังจะทำอะไร ไม่อย่างนั้นท่านพ่อที่ให้ความสำคัญกับความสามัคคีของครอบครัวคงไม่หักหน้าท่านอาสะใภ้รองเช่นนี้ คิดว่าเป็เพราะนางกลับมาด้วย เขาจึงโจมตีท่านอาสะใภ้รองอย่างโหดร้าย
อาจเป็เพราะดวงตาของฮวาเหยียนนั้นชัดเจนเกินไป มู่เอ้าเทียนจึงสังเกตเห็นในทันที เขาเห็นบุตรสาวสุดที่รักของเขากลอกดวงตาใสแป๋วราวกับไข่มุก เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดวงตาที่เปื้อนน้ำตานั้นกวาดมองมาเขา พาให้หัวใจของเขาเริ่มประหม่า สายตาของสาวน้อยผู้นี้หมายความว่าอย่างไร?
วินาทีต่อมา ดวงตาของฮวาเหยียนพลันเปล่งประกาย นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เอาล่ะ ท่านพ่อ รีบนั่งกินข้าวกันเถิดเ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว น้องหญิงของข้าอวิ้นเออร์กับท่านอาสะใภ้รองล้วนทำเพื่อข้า ตอนนี้ร่างกายของข้าเพียงแค่แพ้กุ้ง หลังจากที่ข้ากินกุ้งเข้าไป ทั้งตัวจะเกิดผื่นเล็กๆ ทั่วร่างกาย ข้าจึงไม่สามารถกินมันได้จริงๆ เ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนตบมือของมู่เอ้าเทียนพร้อมกับพูดเบาๆ
เมื่อมู่เอ้าเทียนได้ยินคำพูดของฮวาเหยียน สีหน้าของเขาพลันอ่อนลงมาทันที ที่จริงเขาควรจะเป็คนที่ภายในใจทุกข์ตรมมากที่สุด บุตรสาวสุดที่รักของเขากินกุ้งไม่ได้ มันต้องเกี่ยวข้องกับสารพิษในร่างกายเป็แน่ การเปลี่ยนแปลงของสารพิษรุนแรงจนทำให้ร่างกายของนางต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะเหตุนั้นนางจึงแพ้กุ้ง เมื่อคิดถึงเื่นี้ เขาก็รู้สึกเ็ปกับบุตรสาวสุดที่รักของเขาทันที
“อีกทั้งน้องหญิงอวิ้นเออร์และท่านอาสะใภ้รอง ที่ท่านดีต่อข้านั้น ข้ารับรู้ แต่ข้าเองก็ผ่านประสบการณ์มามากมายใน่สี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็บุคลิกอุปนิสัย หรือรสชาติของอาหารล้วนเปลี่ยนไปทั้งสิ้น ดังนั้นโปรดเข้าใจข้าด้วยเ้าค่ะ”
คำพูดของ ฮวาเหยียนนั้นงดงามยิ่งนัก น้ำเสียงของนางสงบ ไม่ก้าวร้าวกดดัน
“พี่หญิง ข้ารู้ดีว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานมาแสนสาหัส”
มู่ชิงอวิ้นรีบร้อนเอ่ยขึ้นมา นางตอบสนองอย่างรวดเร็ว มือบางรีบคีบกุ้งตรงหน้าฮวาเหยียนกลับมาไว้ในจานของตนเอง จากนั้นก็คีบเอามะเขือยาวตุ๋นหนึ่งชิ้นวางไว้ตรงหน้าฮวาเหยียนแทน คราวนี้ฮวาเหยียนไว้หน้านาง หญิงสาวคีบมะเขือม่วงเข้าปาก พาให้มู่ชิงอวิ้นหัวเราะทันที
ฮวาเหยียนหรี่สายตามองนาง น้องหญิงผู้นี้ช่างพอใจได้ง่ายดายยิ่ง แค่เพียงกินอาหารที่นางคีบให้เท่านั้นเอง
ยามนี้ใบหน้าของหลิวซื่อดูดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของฮวาเหยียน นางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดคอของนางกลับแห้งผาก ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมาได้ว่า 'อืม'
“เอาล่ะ ทุกคนกินข้าวกันเถิด ลูกเหยียนหายไปถึงสี่ปี ในที่สุดวันนี้นางก็หวนคืนกลับมา ข้ามีความสุขเหลือเกิน ในที่สุดข้าก็สามารถหลับได้อย่างเต็มอิ่มเสียที พ่อบ้านลุงหวัง ไปขุดเหล้านารีแดงที่ถูกฝังไว้ที่ลานเรือนออกมาที วันนี้เปิ่นหวางไม่เมาไม่เลิกรา”
ความสุขบนใบหน้าของมู่เอ้าเทียนในยามนี้ไม่อาจปกปิดได้เลย
“ขอรับนายท่าน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พ่อบ้านลุงหวังะโเรียกคนมาช่วยขุดเอาเหล้าทันที
...
เหล้านารีแดงชั้นยอด เมื่อเปิดฝาแล้วจะได้กลิ่นเหล้าที่หอมหวนและกลมกล่อม ไม่ว่าผู้ใดที่ได้กลิ่นล้วนเมาทั้งสิ้น
มู่เอ้าเทียนมีความสุขเหลือเกิน เขาค่อยๆ บรรจงรินเหล้าใส่จอกใบใหญ่สำหรับตัวเอง มู่เสวียนเย่รวมถึงมู่จี้หงอย่างช้าๆ มู่เอ้าเทียนยกแก้วขึ้นดื่มเหล้า หยาดน้ำใสค่อยๆ รินไหลผ่านลำคอของเขา บางส่วนก็หกเลอะเทอะบริเวณปกเสื้อ เผยความเป็ลูกผู้ชายให้ฉายแสงเจิดจ้า
ฮวาเหยียนมองไปทางหลิวซินเหยาด้วยหางตาและพบว่านางกำลังจ้องมองท่านพ่ออยู่...
ถุ้ยๆๆ ท่านอาสะใภ้รองคนนี้จ้องท่านพ่อตาเป็มัน เื่นี้ไม่จำเป็ต้องเดา
ฮวาเหยียนหันไปหาท่านอารองอีกครั้ง เขานั่งยิ้มและดูท่านพ่อของนางดื่มเหล้า ท่าทางดูมีความสุขยิ่งนัก มู่ชิงอวิ้นก็นั่งขวยเขินเช่นกัน ท่าทางเรียบร้อยเชื่อฟังเหลือเกิน
“วันนี้ข้ามีความสุข ปีติเป็พิเศษ สี่ปีแล้วที่ข้าไม่ได้มีความสุขเช่นนี้ พ่อบ้านหวัง จงรับคำสั่ง นำเงินสองตำลึงแจกเป็รางวัลแก่ข้ารับใช้ทุกคนในจวน”
มู่เอ้าเทียนโบกมือสั่ง
"ทาสชราขอเป็ตัวแทนทุกคนในจวนขอบคุณนายท่าน"
พ่อบ้านลุงหวังขอบคุณมู่เอ้าเทียนและหันไปคารวะฮวาเหยียนด้วย นี่เป็ความเฉลียวฉลาดและไหวพริบของพ่อบ้าน เนื่องจากเขารู้ว่ารางวัลของมู่เอ้าเทียนนี้เกิดจากการหวนคืนกลับมาของคุณหนูใหญ่
พอเสร็จพิธีขอบคุณ ก็มีความสุขกันต่อไป
ฮวาเหยียนมองไปทางมู่เอ้าเทียน เขาดื่มหนักยิ่งนักและนั่นทำให้เริ่มเมาขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแดงก่ำอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อความหล่อเหลาของเขาเลย จะเห็นได้ว่ามู่เอ้าเทียนมีความสุขจริงๆ เพราะการหวนคืนกลับมาของนาง...
นางมองดูความปีติยินดีในแววตาของผู้เป็บิดา รู้สึกเพียงว่าหัวใจของนางค่อยๆ ฟูขึ้น หัวใจที่เงียบงันมานานหลายปี ดูเหมือนจะพบที่อยู่ของมันในที่สุด จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็ความสงบนิ่ง
ถ้ามีคนถามนางในเวลานี้ว่านางอยากจะเก็บอะไรเอาไว้มากที่สุด
ฮวาเหยียนคิดว่านางจะตอบโดยไม่ลังเลว่านางจะเลือกเก็บความอบอุ่นในยามนี้ไว้ รักษาเสียงและรอยยิ้มที่ครอบครัวตระกูลมู่มีเอาไว้ให้นาง
...
ยามที่มู่เอ้าเทียนกำลังดื่มอย่างสนุกสนาน ยามนั้นมู่เสวียนเย่ขมวดคิ้วแน่นอยู่ข้างเขา
“เสวียนเย่ เ้าขมวดคิ้วไปทำไม? ดื่มเป็เพื่อนพ่อของเ้าเถิด หลานเหยียนกลับมาแล้ว อารองเองก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่อารองสุขภาพไม่ค่อยดี ดื่มหนักมากไม่ได้และดื่มได้แต่น้อย อย่าทำให้ความสนุกของพ่อเ้าหมดลงเลย มาดื่มด้วยกันสักหน่อยเถิด”
เมื่อมุ่จี้หงเห็นว่ามู่เสวียนเย่ขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนกำลังคิดอยู่อะไรอยู่ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
"เย่เออร์ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้... ขอบใจเ้ามากนะ"
มู่เอ้าเทียนหยิบจอกเหล้าขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงหน้ามู่เสวียนเย่ คำพูดติดอยู่ที่ลำคอของเขา
ในฐานะบุตรคนโตของตระกูลมู่ ความรับผิดชอบและภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เขาคนเดียว น้องสองและน้องสามล้วนไม่ได้อยู่จวน เพราะการหายตัวไปของน้องสาวของเขา ทำให้บิดาไม่มีกะจิตกะใจจะดูแลปกครองครอบครัว เขาเสียสติไปอยู่นานทีเดียว หากครอบครัวนี้ไม่มีบุตรชายคนโต ในวันที่ยากลำบากเช่นนี้ เกรงว่ามู่เอ้าเทียนอาจจะล้มลงไปแล้วก็เป็ได้
บุตรชายคนโตคนนี้มีตำแหน่งเป็ถึงหน่วยราชองครักษ์ประจำวังหลวง ทำหน้าที่ปกป้องฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรวมทั้งปกป้องเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าโจว และนี่ก็เป็ความภาคภูมิใจของตระกูลมู่เช่นกัน
ระหว่างชายชาตรี ระหว่างพ่อกับบุตร คำบางคำสามารถเข้าใจได้ภายในใจโดยไม่ต้องพูดอันใด
“ท่านพ่อ ท่านไม่จำเป็ต้องพูดอันใดแล้ว ลูกเข้าใจขอรับ”
มู่เสวียนเย่ยืนขึ้น พ่อลูกชนแก้วกัน จากนั้นก็ยกจอกขึ้นกระดกดื่ม
ฮวาเหยียนมองดูฉากนี้ ดวงตาของนางร้อนผ่าว นางถือโอกาสในขณะที่ทุกคนไม่สนใจรินแก้วเล็กๆ ให้ตัวเองและจิบไปคำหนึ่ง
ก่อนจะได้ยินมู่เสวียนเย่ลดเสียงลงและพูดกับท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ ท่านเพิ่งให้เงินคนรับใช้คนละสองตำลึง ลูกลองคำนวณคร่าวๆ แล้ว หากท่านมอบเงินทั้งหมดให้กับคนรับใช้ และถ้ารวมกองทัพตระกูลมู่ด้วย มันคงจะเป็ค่าใช้จ่ายที่มหาศาลเลยทีเดียว"
มู่เสวียนเย่ยังคงพูดด้วยเสียงต่ำและกระซิบที่หูของมู่เอ้าเทียน
ด้วยความที่มู่เอ้าเทียนดื่มเหล้าหนักไปนิด เขาจึงยังไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่บุตรชายคนโตของเขาพูด หลังจากที่ผ่านไปสามวินาที สมองเขาพลันแล่นและนึกออกในทันที!
บุตรสาวที่มีค่าของเขาตอนนี้มีหนี้อยู่สามล้านตำลึง!!!
ในยามนั้น พ่อบ้านลุงหวังพลันวิ่งกลับมาอย่างมีความสุข “นายท่าน คำพูดของท่านถูกส่งต่อไปยังเหล่าข้ารับใช้แล้ว และคนรับใช้ล้วนมีความสุขยิ่งนัก ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้ทาสชราผู้นี้มาคารวะขอบคุณท่าน ขอบพระคุณท่านอ๋อง ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่ขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อบ้านลุงหวัง ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที
“เ้าใช้เงินไปทั้งหมดเท่าไหร่?”
“หา? ”
พ่อบ้านลุงหวังตะลึงไปชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะถามเขาด้วยคำถามนี้ เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “จากที่นักบัญชีจดรายได้มา เราให้รางวัลแก่คนรับใช้ในจวนของเรารวมเป็เงินสามร้อยแปดสิบสองตำลึง โดยจะแจกจ่ายให้กับกองทัพของตระกูลมู่ อีกทั้งในปีที่ผ่านมาพวกเราดูแลแม่หม้ายเด็กกำพร้า อีกยังมีหญิงชราที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวและเด็กเล็กที่สูญเสียครอบครัวด้วยรวมเป็เงินทั้งหมดสี่แสนแปดหมื่นตำลึงขอรับ"
เฮือก
มู่เอ้าเทียนสูดลมเย็นเข้าปอด ถึงกับสร่างเมาไปสามส่วน
เขา เขา เขา...
อึก
เขาแค่มีความสุขเล็กน้อยไม่ใช่หรือ? แล้วก็ดื่มเหล้านารีแดงนิดหน่อย เหตุใดถึงลืมเื่นี้ไปได้เล่า?
เงินสามล้านตำลึงนี้ก็ยังไม่ได้จ่ายและอีกสี่แสนแปดหมื่นตำลึงก็เพิ่งถูกใช้ไป...
เมื่อพ่อบ้านลุงหวังเห็นว่าท่าทางของท่านอ๋องดูผิดปกติไป เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้และเงียบเป็เวลานาน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่สบายใจว่า “นายท่าน มีปัญหาอะไรหรือขอรับ? ”
มู่เอ้าเทียนคงไม่สามารถให้พ่อบ้านหวังไปนำรางวัลกลับมาได้ใช่หรือไม่? ช่างน่าขายหน้าเกินไปแล้ว
เขาเป็ท่านอ๋องหลู่หนานผู้สง่างาม เขาไม่สามารถทำเื่แบบนี้ได้จริงๆ
"ไม่เป็ไร..."
มู่เอ้าเทียนกังวลอยู่ในใจแต่ใบหน้าของเขากลับนิ่งสงบ กลิ่นอายของท่านแม่ทัพพลันปรากฏขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น พ่อบ้านหวังไปถามเหล่าอู่หน่อยว่ายามนี้คลังสมบัติของเรามีเงินเหลือเท่าไหร่? ”
มู่เอ้าเทียนถาม
แม้พ่อบ้านลุงหวังจะงุนงงสงสัยเป็อย่างยิ่งว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงให้ไปถาม? หรือว่าอยากจะแจกรางวัลต่อ? การกลับมาของคุณหนูใหญ่ทำให้ท่านอ๋องมีความสุขมากจนเขาให้รางวัลติดต่อกัน นับว่าเป็การบำเหน็จรางวัลอย่างมีความสุข
อีกด้านหนึ่งฮวาเหยียนมองไปทางมู่เอ้าเทียนเพราะสัญญาหนี้ของนาง ท่านพ่อถึงมีท่าทีที่วิตกกังวลเช่นนี้ ทว่านั่นทำให้หัวใจของนางทั้งอบอุ่นทั้งขบขันนัก
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้อง...! ”
“ลูกรัก ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
มู่เอ้าเทียนคาดเดาคำพูดของฮวาเหยียนออก เมื่อเขาเห็นบุตรสาวของเขาเอียงศีรษะมอง ดวงตาของนางหรี่ลงครึ่งหนึ่ง แก้มของนางแดงด้วยจอกเหล้าในมือของนาง ในภวังค์นั้นราวกับเขาเห็นภรรยาของตน
มู่เอ้าเทียนรีบเบือนหน้าหนี เขาไม่กล้าคิดและไม่อยากจะคิด มิเช่นนั้นเขาจะควบคุมไม่อยู่ เขาคิดถึงนางเหลือเกิน
เขาส่ายหัว มู่เอ้าเทียนเพิ่งรู้ตัวในภายหลังว่าบุตรสาวของเขาได้ขโมยกินเหล้า หญิงสาวคนนี้ใจกล้าเกินไป เขาอดไม่ได้ที่จะตำหนินาง มู่เอ้าเทียนพยักหน้าให้นางเบาๆ ก่อนกล่าวว่า "เป็สาวเป็แซ่ ริอาจเรียนการดื่มเหล้าหรือ"
น้ำเสียงที่ถนอมรักเอ็นดูนี้ทำให้ฮวาเหยียนยิ้มจนตาปิด
“ก็แค่จิบคำเดียวเ้าค่ะ...”
ฮวาเหยียนกระซิบ ส่วนหยวนเป่าก็แอบหัวเราะ
พ่อบ้านลุงหวังไปเพียงไม่นานก็กลับมาบอกมู่เอ้าเทียน "นายท่าน เหล่าอู่เพิ่งคำนวณเสร็จ ตอนนี้มีเงินอยู่ในคลังสมบัติทั้งสิ้นสองล้านหกแสนตำลึงขอรับ"
เงินสองล้านหกแสนตำลึง
มู่เอ้าเทียนท่องตัวเลขนี้ พลางคิดในใจว่ามันห่างไกลจากเงินสามล้านตำลึงมากเกินไป
เขาโบกมือและพูดอีกครั้ง “ให้เหล่าอู่คำนวณอีกที เราจะขายที่ดินเป็เงินสดได้เท่าไหร่? ”
พ่อบ้านลุงหวังไม่เข้าใจนายท่านของเขาเลยจริงๆ นี่มันเพื่ออะไรกัน? แต่ก็ยังเดินนำเื่นี้กลับไปถามเหล่าอู่อยู่ดี
ไม่ใช่แค่เพียงพ่อบ้านลุงหวังที่ไม่เข้าใจ คนในครอบครัวรองเองก็เช่นกัน มู่จี้หงเอ่ยขึ้น "พี่ใหญ่ ท่านกำลังตรวจสอบเงินในคลังสมบัติและยังตรวจที่ดินอีก ท่านกำลังคิดจะทำอะไรอยู่หรือขอรับ?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้