อู๋ซื่อยกสองแขนขึ้นโบกไปมา อ้าปากกว้าง ใบหน้าอัปลักษณ์ปูดโปน กล่าวว่า “ไปไปไป ไปให้หมด พวกขี้เสือกนี่ไม่มีอะไรให้ทำกันหรือไง ถ้าไม่มีอะไรให้ทำก็กลับไปนอนตายบนเตียงที่บ้านให้หมดโน่นไป!”
คำพูดนั้นสร้างความไม่พอใจให้ชาวบ้านที่มุงดูอยู่รอบๆ ทุกคนจึงส่งเสียงสบถก่อนจะเตรียมแยกย้ายกลับ
เฮอะ! เื่ของบ้านปู่หลิน คนนอกไม่ควรเข้ามายุ่ง!
ภรรยาวัยเยาว์ผู้หนึ่งเป็คนอารมณ์ร้อน นางยิ้มจ้องอู๋ซื่อเขม็งก่อนกล่าวว่า “ย่าอู๋ซื่อ บ้านของย่าบอกว่าฟู่อินเป็ตัวหายนะก็จริง แต่ข้าว่านางน่าจะเป็ตัวนำลาภเสียมากกว่า ดูสิ ในขณะที่พวกบ้านใหญ่ของท่านกำลังกดขี่บ้านสอง แต่นางกลับพยายามช่วยเหลือพวกเขาอยู่ไม่ใช่หรือ”
เหล่าชาวบ้านที่ยังไม่ได้กลับพร้อมใจกันหยุดขาแล้วหันกลับมาทันที เสียงเซ็งแซ่เริ่มดังขึ้น “จริงด้วย จะมองยังไงฟู่อินก็ดูเหมือนจะพยายามช่วยพวกเขาอยู่นะ นางช่างเป็เด็กดีจริงๆ”
อู๋ซื่อดูตึงเครียดขึ้นมาทันที
หลินฟู่อินเป็ผู้มีจิตใจดีที่คอยช่วยเหลือบ้านสอง นี่เป็การตอกย้ำว่าพวกบ้านหลักเช่นนางกำลังเอาเปรียบคนบ้านสองอยู่
น่าขัดใจนัก!
“เห็นแค่นี้ก็กล่าวเช่นนั้นเลยหรือ? นางแค่จงใจทำให้เห็นเพื่อให้พวกเ้าคิดแบบนั้นเท่านั้น!” จ้าวซื่อโต้เถียงกลับใส่คนที่เข้าข้างหลินฟู่อินเมื่อครู่ทันทีด้วยอารมณ์เดือดดาล
ภรรยาวัยเยาว์ผู้นั้นยิ่งหัวเราะดังขึ้นอีก ชี้นิ้วใส่เหล่าผู้คนที่ยังไม่กลับ “เช่นนั้นแล้วจงถามพวกเขาดูสิ เหล่าบุรุษในหมู่บ้านเราต่างก็ถูกหลี่เจิ้งเรียกตัวให้ไปช่วยตามหาหลินสาม ข้าได้ยินว่านางให้ระยะเวลาหาถึงแปดวัน เข้าไปกลุ่มละห้าคน วันละสิบกลุ่ม ทุกคนได้วันละห้าอีแปะ โดยฟู่อินเป็คนจ่ายเองทั้งหมด ขนาดนี้แล้วนางยังเป็ตัวหายนะอีกหรือ?”
“เอ๊ะ นางจ่ายค่าตามหาน้องสามหรือ?” จ้าวซื่อเมื่อได้ยินจำนวนคน และได้ยินว่าได้คนละห้าอีแปะต่อวัน นางถึงกับแทบเป็ลม
“ท่านแม่ ข้าบอกแล้ว หลินฟู่อินมันเป็ตัวหายนะจริงๆ ด้วย! ดูสิว่านางทำเราสูญเงินไปมากแค่ไหน?” ในใจของจ้าวซื่อเ็ปขึ้นมา
อู๋ซื่อเองก็นิ่งอึ้งไป แล้วจึงถามจ้าวซื่ออย่างเหม่อลอย “สะใภ้ใหญ่ ทั้งหมดนั่นมันเป็เท่าไรกันหรือ?”
อู๋ซื่อคำนวนตัวเลขซับซ้อนเช่นนั้นไม่ได้
ดังนั้นภรรยาวัยเยาว์ผู้นั้นจึงพูดขึ้นมา “ทั้งหมดยี่สิบตำลึงเงิน” พร้อมเสียงหัวเราะ
“นั่นมันบ้าอะไรกัน!” อู๋ซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ล้มลงก้นกระแทกพื้น “นั่นหลานสาวข้าหรือ? ขนาดตาแก่ยังให้ข้าได้ไม่ถึงเดือนละสองตำลึงเงิน แต่นังนี่กลับละลายยี่สิบตำลึงเงินทิ้งไปโดยไม่สะดุ้งะเืเลยเนี่ยนะ!”
อู๋ซื่อเอาแต่กรีดร้องไม่หยุดว่าหลินฟู่อินนั้นช่างไม่รักดี จ้าวซื่อเองก็ทรุดลงนั่งตามนางไปทั้งน้ำตา
เหล่าชาวบ้านที่ยังไม่กลับได้เห็นภาพอู๋ซื่อและจ้าวซื่อนั่งร้องไห้พ่นคำด่าทอแล้ว ก็ยิ่งชิงชังพวกนางขึ้นไปอีก
“ไม่สิ หากฟู่อินมันรวยขนาดนี้ แล้วสองตำลึงเงินต่อเดือนมันจะไปพอได้ยังไงกัน?” สายตาของจ้าวซื่อส่องประกายขึ้นพลางคลานไปหาอู๋ซื่อ “ท่านแม่ ข้าว่านังฟู่อินควรจะให้เงินท่านกับท่านพ่ออย่างน้อยเดือนละยี่สิบตำลึงเงินนะเ้าคะ!”
เหล่าคนที่ยังไม่กลับต่างก็ตะลึงให้กับความหน้าด้านและความละโมภอันไร้ก้นบึ้งของจ้าวซื่อ
หลินฟู่อินรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา
อู๋ซื่อและจ้าวซื่อสนแค่เงินยี่สิบตำลึงเงินที่ถูกใช้ไปเท่านั้น ไม่แม้แต่จะกล่าวถึงพ่อของนาง
ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของนางยังอยู่หรือตาย!
เคยได้ยินมาว่าชาวบ้านในยุคโบราณต่างก็เป็คนอ่อนโยนไม่ใช่หรือ?
แล้วนี่มันยุคโบราณของปลอมหรืออย่างไร?
ดวงตาทรงผลซิ่งของหลินฟู่อินหรี่ลง ย่นคิ้วด้วยท่าทีเข้มงวดพลางจ้องมองไปยังอู๋ซื่อและจ้าวซื่อที่นั่งอยู่บนพื้น “ขอบอกไว้ก่อน บ้านของพวกข้าน่ะแยกตัวออกมานานแล้ว เงินที่ใช้ตามหาพ่อก็เป็เงินของบ้านข้า! นั่นเป็เื่ที่ข้าต้องทำในฐานะลูก! อีกทั้งข้ายังเพิ่มเงินรายเดือนเข้าไปตามที่ปู่ขอแล้ว ทั้งหมดนี้ถูกบันทึกลงบนสัญญาที่ประทับนิ้วกันไปหมดแล้วด้วย แล้วพวกเ้ายัง้าอะไรอีก?”
“โอ ปู่หลินทำได้ดีมาก มีสัญญาไม่พอยังมีประทับนิ้วอีก” ใครบางคนกล่าวขึ้น
“โหวกเหวกอะไรกัน? ทำอะไรกันอยู่?” ปู่หลินที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเดินเข้ามาด้วยสองมือที่ไขว้ไว้ด้านหลังและใบหน้าอันมืดครึ้ม
เขาได้ยินที่หลินฟู่อินกล่าวถึงสัญญาแยกบ้านแล้ว สีหน้าจึงดูย่ำแย่ลงไปอีก
แต่เขาเป็ผู้นำครอบครัว เป็ผู้มีเกียรติ ดังนั้นจึงไม่อาจโต้เถียงกับเด็กและสตรีได้ เขาจึงเลือกที่จะหันไปหาอู๋ซื่อแล้วกล่าว “สภาพนั่นมันอะไรกัน ยังไม่รีบพาสะใภ้ใหญ่กลับบ้านอีก!”
แม้อู๋ซื่อจะชอบโต้เถียงกับปู่หลิน แต่ในเวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ กระทั่งนางเองยังหวาดหวั่น
แต่นางก็กล่าวออกมาเสียงเบา “เ้าให้กำเนิดบุตรคนเล็ก บุตรคนเล็กก็ให้กำเนิดลูกสาวที่ดียิ่ง เป็ลูกสาวที่เผื่อแผ่ความล่ำซำไปให้คนรอบตัว! เพราะเงินของคนในบ้านมันไม่ใช่ของที่ต้องให้คนในบ้าน แต่เป็ของที่ต้องเอาไปให้คนนอกใช้ประโยชน์!”
ปู่หลินไม่เข้าใจเื่ที่จะสื่อ จึงเบนสายตามากอายุไปหาหลินฟู่อิน แล้วถาม “เ้าทำอะไรไป”
หลินฟู่อินถอนหายใจเย็นเยียบภายในใจ แต่ภายนอกยังคงสีหน้านอบน้อม “ข้าเป็ห่วงพ่อของข้า จึงใช้เงินยี่สิบตำลึงเงินไปจ้างให้หลี่เจิ้งรวมคนไปตามหาพ่อ”
ปู่หลินมองนางด้วยสายตาแฝงอารมณ์ลึกล้ำ การกระทำของหลินฟู่อินนับว่าถูกต้องแล้ว เพราะความคิดที่จะใช้เงินตามหาคน แม้แต่คนที่เป็พ่อเช่นเขายังไม่เคยคิดเลย
ทางที่ดีคือปล่อยให้หลานคนนี้ทำตามใจชอบ ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็พ่อที่ไร้หัวใจมากเป็แน่
ทว่าไม่นานจิตใจของเขาเองก็ถูกสั่นคลอนด้วยเงินยี่สิบตำลึงเงิน
ยี่สิบตำลึงเงิน!
ค่าเดินทางไปสอบของโฉ่วเย่อนั้นคำนวณคร่าวๆ ได้หนึ่งร้อยตำลึงเงิน แล้วนังนี่ใช้ไปยี่สิบตำลึงเงินเพื่อตามหาคน ไม่แปลกใจเลยที่อู๋ซื่อกับจ้าวซื่อจะไม่พอใจ
เพราะเขาเองก็ไม่พอใจ!
แต่เขาหยุดนางไม่ได้ ทำได้แค่มอง
นั่นต่างหากที่มันน่าอารมณ์เสีย
ปู่หลินสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวชมหลินฟู่อินแม้จะไม่อยากทำ “เด็กดี เ้าทำถูกแล้ว คนเป็ลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่และปู่ย่าเสมอ!”
ริมฝีปากของหลินฟู่อินยกขึ้นเล็กน้อย ั์ตาทรงผลซิ่งมีประกายเ็าแวบผ่าน
นางได้ยิน และเข้าใจดีว่าตาเฒ่านี่กำลังดุนางอยู่
เป็ตรงนั้นเองที่นางก้มหน้าลง “ฟู่อินน้อมรับคำสอนของท่านปู่เ้าค่ะ”
นี่เป็มารยาทที่มีแต่คุณหนูผู้ดีเท่านั้นที่จะได้เรียน และหลินฟู่อินก็จงใจทำเช่นนั้น
เห็นแบบนี้แล้วปู่หลินก็คิดว่าหลานสาวผู้นี้ต่างกับสาวชาวบ้านทั่วไปจริงๆ ในระดับที่แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าก็ไม่รู้สึกว่าเป็คนอ่อนต่อโลก เื่ที่เขาทำได้จึงเป็เพียงโบกมือเพื่อรีบเรียกให้อู๋ซื่อและจ้าวซื่อกลับบ้านเท่านั้น
หลินต้าเหอเห็นว่าจ้าวซื่อและเฟิงซื่อค่อยๆ ทยอยกลับไปทีละคน จึงเข้าไปทักทายปู่หลินอย่างหวาดๆ
แต่สีหน้าของปู่หลินดูไม่ดีเท่าไรนัก เมื่อได้เข้าใจต้นเหตุของเื่ในครั้งนี้
ที่จริงแล้ว เมื่อคืนเขาได้บอกอู๋ซื่อให้แบ่งข้าวโพดมาให้บ้านสองสักสี่สิบจิน ในตอนนั้นเขาไม่คิดว่าอู๋ซื่อจะผิดคำพูด
แล้วตอนนี้ฟู่อินก็ทนไม่ไหวจนต้องนำก๋วยเตี๋ยวมาให้เพื่อช่วยเหลือ แต่จ้าวซื่อกลับสิ้นคิดมาพยายามแย่งมันไปอีก น่าขายหน้านัก
ปู่หลินอารมณ์ไม่ดีนัก เมื่อได้เห็นฟู่อินยืนคิ้วตกอยู่ข้างๆ เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “ต่อให้บอกว่าเ้าพยายามช่วยเื่อาหารการกินของบ้านสองก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็ต้องใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่ดี แม่ของเ้าเองก็กินเส้นแค่เดือนละไม่กี่ครั้ง ควรจะรู้ไม่ใช่หรือว่ามันไม่ดีน่ะ”
นี่จะดุด่านางอีกแล้วหรือ? ฟู่อินจึงตั้งท่าจะเปิดปาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้