ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินได้ฟังคำนั้น มือที่ถือช้อนชะงักค้าง มองจางกงกงอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่หูตัวเองได้ยิน “เ้าพูดใหม่อีกทีสิ ในน้ำแกงถ้วยนี้ใส่สิ่งใดลงไปบ้างนะ”
จางกงกงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินไม่เสวยหนังหมู รีบลงไปคุกเข่ากับพื้นอย่างใ ขณะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทูลฝ่าา บ่าวลืมไปเสียสนิทเลยว่าพระองค์ไม่เสวยหนังหมู ขอฝ่าาทรงประทานอภัยให้บ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ทว่าที่คิดไม่ถึงคือ ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ยังคงตักน้ำแกงเข้าปากด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่เพียงแค่นั้น ยังยิ้มบางๆ พร้อมกับกล่าวว่า “เรายังไม่ได้ว่าเ้าเสียหน่อย หนังหมูที่นางหนูหนิงทำดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็หนังหมู กลับกัน รสชาติกลับดียิ่ง หากไม่เชื่อเ้าลองมาชิมดูสิ”
จางกงกงเงยหน้ามองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขานึกถึงคราวก่อนนู้นที่มีพ่อครัวคนหนึ่งใจกล้านำหนังหมูมาทำเป็อาหารให้ฝ่าาเสวย ครานั้นฝ่าาถึงกับสั่งปะาพ่อครัวผู้นั้นประจานต่อหน้าทุกคน!
เดิมทีเขาคิดจะพูดขอร้องแทนหนิงมู่ฉือ ที่คิดไม่ถึงคือเขาจะไม่ต้องช่วยขอร้องแทน คิดแล้วก็ลอบถอนหายใจแทนอีกฝ่ายอย่างโล่งอก
เวลานี้เองที่มีขันทีน้อยผู้หนึ่งยกของหวานเข้ามาให้ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินในตำหนัก ท้องของเขาพลันส่งเสียงร้องอย่างไม่รักดีออกมาเมื่อเห็น เขาหันไปมองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินอย่างอับอายยิ่งนัก
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยกยิ้มมุมปาก “ในเมื่อหิวก็ไปทานเถิด ไม่ต้องห่วงเรา”
“ฝีมือการปรุงอาหารของแม่นางหนิงทำให้บ่าวนับถือจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ฝ่าายังทรงเสวยจนหมด” จางกงกงยิ้มขณะเอ่ย ก่อนจะพยักหน้าอย่างเขินอายแล้วหมุนตัวเดินออกจากตำหนักไป พอนึกถึงว่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเสวยน้ำแกงจนหมดถ้วย ทั้งๆ ที่เป็คนเสวยยากก็ให้รู้สึกเลื่อมใสในฝีมือการทำอาหารของแม่นางหนิงยิ่งนัก
จางกงกงมองหิมะหนาเตอะที่ปกคลุมพื้นก็สูดปากด้วยความหนาวเหน็บ เพิ่งเดินออกมาจากตำหนัก ขณะกำลังจะเดินไปยังห้องเครื่อง สายตาเหลือบไปเห็นพระสนมซูเฟยในชุดอาภรณ์หรูหราคลุมทับด้วยเสื้อคุมตัวนอกสีทองซึ่งทำจากขนสัตว์เสียก่อน พระนางกำลังเดินตรงมาทางเขา
ซูเฟยส่งยิ้มให้จางกงกง ริมฝีปากซึ่งทาชาดสีแดงสดเอ่ยถาม “กงกง ฝ่าาทรงทำราชกิจใดอยู่หรือ”
จางกงกงรู้สึกหวาดกลัวพระสนมผู้นี้ไม่น้อย ก้มหน้าเอ่ยตอบอย่างนบน้อม “ทูลพระสนม ฝ่าาทรงกำลังพักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ซูเฟยได้ยินเยี่ยงนั้นก็เดินเข้าไปในตำหนักเจินหลง จางกงกงลอบถอนหายใจออกมา ขณะคำนับส่งพระสนมซูเฟย “บ่าวน้อมส่งพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมองขันทีน้อยที่ยกจานใส่ขนมเปี๊ยะร้อยบุปผาเข้ามาในตำหนัก ขนมเปี๊ยะร้อยบุปผาส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งตำหนัก เขามองขนมเปี๊ยะร้อยบุปผาที่วางอยู่ตรงหน้า แม้จะเพิ่งเสวยน้ำแกงมาจนอิ่ม แต่พอได้เห็นขนมเปี๊ยะไส้บุปผาร้อยชนิด ท้องก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา
เขาหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาหนึ่งชิ้น เมื่อกัดเข้าไปหนึ่งคำก็รู้สึกตะลึงพรึงเพริด เป็ดังที่ท่านอ๋องบอกกับเขา ไส้บุปผาที่อยู่ด้านในส่งกลิ่นหอมอวลไปทั่วทั้งปาก
ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับขนมเปี๊ยะอยู่นั้น ได้ยินเสียงขันทีน้อยที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูเข้ามารายงานว่า “พระสนมซูเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาขมวดคิ้วขณะพยักหน้าอนุญาต เมื่อเขาอนุญาต ซูเฟยก็ก้าวเดินเข้ามาในตำหนัก ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์สีทองตัวนอกออก ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้
เขามองริมฝีปากซึ่งทาชาดสีแดงสดพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาหา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็รอยยิ้มส่งไปให้นาง “สนมรักมาแล้วหรือ”
ซูเฟยยอบกายคำนับด้วยท่าทางนุ่มนวล เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานนุ่ม “เหตุใดฝ่าาถึงไม่เสด็จไปหาหม่อมฉันบ้างเลยเพคะ หม่อมฉันเสียใจยิ่งนัก”
เขายิ้มแห้งขณะเอ่ยตอบ “สนมรัก ่นี้เรายุ่งมากจริงๆ”
“ฮึ แต่หม่อมฉันได้ยินมาว่า พระองค์ทรงเสด็จไปหาน้องเต๋อเฟยบ่อยๆ พระองค์ทรงไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ” ซูเฟยรู้ว่าฮ่องเต้กำลังโกหก จึงแกล้งทำเป็กล่าวต่อว่าอย่างไม่พอใจ
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยิ้มมองขนมเปี๊ยะร้อยบุปผาพร้อมกับใช้มือหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ซูเฟยเห็นขนมเปี๊ยะก็รู้สึกอยากลองชิมสักคำ คิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยออกไปว่า “ฝ่าา แต่ไหนแต่ไรมาหม่อมฉันยังไม่เคยเห็นขนมเปี๊ยะจากที่ใดที่จะส่งกลิ่นหอมเช่นนี้เลยเพคะ ขนมเปี๊ยะนี้…”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมองซูเฟยที่สายตากำลังจ้องมาที่ขนมเปี๊ยะร้อยบุปผาไม่วางตา เขายิ้มก่อนจะวางขนมเปี๊ยะชิ้นที่อยู่ในมือไว้บนมือนาง “สนมรักลองชิมสักชิ้นดูสิ นี่เป็ขนมเปี๊ยะร้อยบุปผาที่นางหนูหนิงทำ เป็ขนมหวานที่ท่านอ๋องแนะนำให้แก่เรา”
ซูเฟยรีบยื่นมือไปรับไว้ กัดเข้าไปหนึ่งคำเล็ก นางพลันตาโตด้วยความตะลึง “แม่นางหนิงช่างเป็สตรีที่น่ามหัศจรรย์เหลือเกิน หม่อมฉันยังไม่เคยทานขนมเปี๊ยะใดที่จะมีรสชาติอร่อยเท่านี้เลยเพคะ!”
หลังจากได้ลองชิมขนมเปี๊ยะร้อยบุปผา ซูเฟยก็ยื่นมือไปรับน้ำแกงจากชุนเถามาถือเอาไว้ ใช้ช้อนตักน้ำแกงแล้วยื่นไปตรงหน้าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “หม่อมฉันคิดว่าฝ่าาน่าจะทรงเหน็ดเหนื่อยกับงานราชกิจ จึงนำน้ำแกงมาถวายให้พระองค์เพื่อคลายความเหนื่อยเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่า น้ำแกงนี้มีสรรพคุณช่วยคลายความหนาวได้ดีนัก”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินที่กำลังจะอ่านฎีกาต่อเหลือบมองน้ำแกงผาดหนึ่ง “เราทานแล้ว ่นี้อากาศหนาว สนมรักเก็บไว้ทานเองเถิด ไม่ต้องห่วงเรา”
ได้ยินเช่นนั้นซูเฟยมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที ก่อนจะวางช้อนคืนในถ้วยน้ำแกงเช่นเดิม
ทันใดนั้นเอง เสียงขันทีน้อยรายงานว่า “พระสนมเต๋อเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินพยักหน้า เต๋อเฟยที่ในมือถือถ้วยน้ำแกง ใบหน้าประทินโฉมอย่างงดงามก้าวเดินเข้ามาด้านในอย่างเชื่องช้า
เต๋อเฟยถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวนอกออก เผยให้เห็นอาภรณ์ที่ดูเรียบง่ายสีเขียวอ่อน เกิดเป็ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดกับซูเฟย
ซูเฟยมองเต๋อเฟยพร้อมกับกำหมัดแน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่าย
ทันทีที่เต๋อเฟยเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินยื่นมือไปจับมือเต๋อเฟยเอาไว้ “ระหว่างทางที่สนมรักมาที่ตำหนักเราคงจะลำบากมาก ดูสิ มือเย็นไปหมดแล้ว รีบเข้ามาในนี้เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นเถิด”
ซูเฟยยังคงจ้องเต๋อเฟยเขม็ง เต๋อเฟยเองก็ไม่น้อยหน้า เหลือบมองซูเฟยผาดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินด้วยน้ำเสียงหวานละมุน “ฝ่าา หม่อมฉันไม่หนาวเพคะ”
จากนั้นตาโตอย่างใ แกล้งทำเป็เพิ่งเห็นว่าซูเฟยก็อยู่ที่นี่ด้วย “ไอโยว พี่สาวก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ น้องคาราวะพี่สาวเพคะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้