“บางทีผมอาจจะมีทาง … ”
เวลานี้เจียงไป๋ไม่อาจจะปิดบังได้แล้ว เดิมทีเขาเตรียมที่จะรอไปอีกสักพัก และค่อยหาเหตุผลที่เหมาะสม เพื่อเอา “ยาต่อชีวิต” ที่ซื้อมาแล้วมอบให้กับจ้าวอู๋จี๋ เพื่อเพิ่มเวลาชีวิต ทำให้อย่างน้อยก็คงจะสามารถประคับประคองไปได้อีกหนึ่งปี
แต่ตอนนี้คงจะรอให้ถึง่เวลานั้นไม่ได้แล้ว หากยังรอต่อไปอีก ไม่แน่ว่าจ้าวอู๋จี๋ก็อาจจะตายได้
“อะไรนะ? นายพูดว่าอะไร?”
จ้าวอู๋จี๋มองเจียงไป๋ที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยอาการแปลกใจ
ส่วนหวางเป้าก็ตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว มือทั้งคู่จับแขนของเจียงไป๋ไว้ทันที และส่ายไปมาอย่างไม่หยุด
“ผมว่า … บางทีผมอาจจะมีทาง” เจียงไป๋คิดดูสักพัก จึงพูดไปอย่างนี้
“จริงหรือ ไม่ได้หลอกฉันนะ?” หวางเป้าพูดเสียงสั่นว่า “เสี่ยวไป๋นายพูดมาเถอะ แค่ช่วยเ้าพ่อจ้าวได้ นาย้าอะไร ก็ให้บอกมา นายจะให้ฉันไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ถึงให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ฉันก็ยอม! แค่ฉันหวางเป้าทำได้ ก็ขอให้นายบอกมา ถึงฉันจะทำไม่ได้ นายก็บอกมาเถอะ ฉันจะทำอย่างเต็มที่”
“เสี่ยวไป๋ อาการป่วยของฉันไม่ใช่อาการป่วยธรรมดาทั่วไป” ในเวลานี้จ้าวอู๋จี๋ก็ปริปากพูดแล้ว
ถึงแม้เขาฟังคำพูดของเจียงไป๋แล้วตาจะลุกวาว แต่ไม่นานก็หดหู่ลง
ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ สำหรับสถานการณ์ของตนเองนั้น จ้าวอู๋จี๋รู้ดี จริงๆ แล้ววิธีการธรรมดาก็ไม่มีผล ถึงเจียงไป๋จะมีเจตนาดีก็ตาม แต่จ้าวอู๋จี๋ก็ไม่คิดว่าเจียงไป๋จะมีวิธีการอะไรได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไปสอบถามตามสถานที่ที่มีชื่อจากหลายแห่งมานานขนาดนี้หรือ และยังสิ้นเปลืองความพยายามไปนับไม่ถ้วน ทำไมถึงไม่ได้อะไรเลย
“แน่นอนผมเองก็รู้ว่าไม่ใช่อาการป่วยธรรมดาๆ ไม่อย่างนั้นครั้งก่อนผมก็คงปริปากแล้ว พูดจริงๆ ครั้งก่อนหลังจากที่ผมเห็น ผมก็ตั้งใจไปถามอาจารย์ ท่านบอกว่าอาการป่วยของพี่ ท่านก็ไร้ความสามารถ”
หลังจากที่เจียงไป๋ฟังจ้าวอู๋จี๋พูดคำนี้แล้ว ก็รีบหาเหตุผลทันที และอุปโลกน์อาจารย์ให้ตัวเองหนึ่งท่าน
แน่นอนว่าอาจารย์ท่านนี้ไม่มีตัวตน
แต่ด้วยอายุของเจียงไป๋และกำลังในตอนนี้ เขาพูดอย่างนี้กลับน่าเชื่อถือมาก
จริงๆ แล้วหลายคนล้วนเคยสงสัยว่าเจียงไป๋มีคนอยู่เื้ั อาจจะเป็ยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัวตนคนหนึ่ง ตอนนี้เจียงไป๋พูดถึงอาจารย์ของตนเองแล้ว กลับสอดคล้องกับความคิดของจ้าวอู๋จี๋และหวางเป้า
“หา … ”
เดิมทีฟังเจียงไป๋พูดถึงอาจารย์ หวางเป้าก็มีความหวังแล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยการรอคอยอย่างมีความหวัง และสายตาของจ้าวอู๋จี๋ก็ลุกวาว
คนที่สามารถบ่มเพาะคนหนุ่มอย่างเจียงไป๋ให้เหนือกว่าขั้นปรมาจารย์ใหญ่ได้ โดยเฉพาะเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ยอดฝีมืออย่างนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีการที่มีมนตร์ขลังอะไร
แต่พอเจียงไป๋พูดจบ ก็ทำให้ความหวังที่เดิมทีทั้งสองคนมีอยู่ หายไปในพริบตา แม้แต่ยอดฝีมืออย่างนั้นก็รู้สึกว่าช่วยไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่มีหวังแล้วแน่นอน
แค่ฉับพลันจ้าวอู๋จี๋กลับแสดงออกอย่างเมินเฉย ส่วนหวางเป้าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความหดหู่ หลังจากนั้นก็มองเจียงไป๋อย่างโมโหอยู่บ้าง และเตรียมที่จะปริปากต่อว่าเจียงไป๋ “ในเมื่อนายรักษาไม่ได้ แบบนั้นจะพูดมากทำไม”
แต่ไม่นานเจียงไป๋ก็พูดต่อ ทำให้หวางเป้าเงียบลงไปทันที “ถึงแม้ว่าอาจารย์ของผมจะรักษาโรคนี้ไม่ได้ จริงๆ แล้ว การแพทย์ท่านก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร แต่สำนักของพวกเรามียาวิเศษที่สืบทอดกันมาอยู่เม็ดหนึ่ง ตอนนี้วิธีการทำยาก็สูญหายไปแล้ว เดิมทีมีอยู่สามเม็ด สืบทอดกันมาหลายร้อยปี เพราะมีอันตรายอยู่สองครั้งจึงใช้ไปแล้วสองเม็ด ยังมีอีกหนึ่งเม็ดตอนนี้อยู่ในมืออาจารย์ของผม มีชื่อว่า “ยาต่อชีวิต” ไม่ว่าคุณจะาเ็สาหัสแค่ไหน ไม่ว่าอาการาเ็ของคุณจะเป็อย่างไร ถึงจะมีแค่ลมหายใจแ่ๆ ใกล้ตาย เพียงแค่มียาเม็ดนี้อยู่ ก็จะฟื้นฟูได้ทันที และอยู่ได้อีกหนึ่งปี โดยรับประกันได้ว่าภายในหนึ่งปีนี้จะแข็งแรงเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่ก็มีผลกระทบเหมือนกัน พอกินเข้าไปแล้ว หนึ่งปีหลังจากนี้เกรงว่า … ”
คำพูดต่อไปเจียงไป๋ไม่ได้พูด แต่ความหมายก็ชัดเจนแล้ว
ก่อนหน้านี้ระบบก็เคยพูดอย่างนี้ พอกินยาเม็ดนี้เข้าไปแล้ว นั่นก็คือยาที่เห็นผลเร็ว หลังจากที่กินไปแล้วภายในหนึ่งปีก็จะฮึกเหิมดุจัและเสือผาดโผน แต่หลังจากหนึ่งปีพอถึงเวลาก็จะเสียชีวิตลงทันที
“แค่หนึ่งปีเอง … ” หวางเป้าก็หมดหวัง
แต่เวลานี้ั์ตาของจ้าวอู๋จี๋กลับเป็ประกาย
เขาในตอนนี้สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดมีอยู่สองสิ่ง หนึ่งคือเวลา สองคือร่างกายที่แข็งแรง
สำหรับเวลาแล้ว เขายิ่ง้าร่างกายที่แข็งแรงมากกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดของเจียงไป๋ได้ดึงดูดเขาแล้ว
“หนึ่งปีก็ไม่เลวแล้ว มีร่างกายที่แข็งแรง หนึ่งปีก็พอให้ฉันได้จัดการอะไรได้มากมาย ถึงเวลานั้นฉันก็สามารถจากไปได้อย่างวางใจแล้ว” จ้าวอู๋จี๋พูดอย่างยิ้มแย้ม
“แบบนั้นก็รีบไปจัดการเถอะ ไปเอายามาให้ได้ก่อน”
จ้าวอู๋จี๋พูดอย่างนี้ หวางเป้ารีบรับคำทันที และเร่งให้เจียงไป๋ไปจัดการ แม้แต่เื่ที่ต้องไปหลิงเฉวียนก็ตัดสินใจยกเลิกไปชั่วคราว
“นี่ … ได้”
เจียงไป๋คิดสักครู่แล้วก็ตอบตกลง เื่นี้ก็ไม่ได้จัดการยาก
จริงๆ ของก็แลกเรียบร้อยแล้ว และก็อยู่ที่บ้านของเจียงไป๋ แค่เจียงไป๋้าข้ออ้างที่มีเหตุผลเพื่อจะเอามันออกมาเท่านั้น
ตอนนี้มีข้ออ้างแล้ว ก็แค่ต้องกลับไปเอาของ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในป่าลึกสักหน่อย ผ่านไปสักสองสามวันค่อยเอาออกมาก็ได้แล้ว ก็ถือเสียว่าไปท่องเที่ยว และก็ไม่ได้เปลืองแรงแม้แต่น้อย
“ของมีค่าขนาดนี้ … สำนักของนาย”
สำหรับความรีบร้อนของหวางเป้า จ้าวอู๋จี๋ก็สงบจิตสงบใจมาก
เจียงไป๋เพิ่งจะพูดอย่างนั้นไป เขาก็รู้สึกว่าของชิ้นนี้มีค่ามากยิ่ง หากรู้ว่าสามารถได้รับชีวิตหนึ่งปีมาได้ฟรีๆ โดยเฉพาะได้รับชีวิตอย่างคนปกติ สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่สำหรับคนที่ชีวิตเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ก็มีค่าอย่างที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ โดยเฉพาะบางคนก็ยอมที่จะแลกได้ทุกอย่าง
ให้เจียงไป๋ไปเอา จ้าวอู๋จี๋ก็กลัวว่าจะลำบาก
“ไม่เป็ไร อาจารย์ของผมก็มีผมเป็ศิษย์แค่คนเดียว ยานี้จะช้าหรือเร็วก็ต้องให้ผม ผมเคยคุยกับท่านแล้ว ท่านยอมมอบให้ผมแล้ว”
เจียงไป๋โบกมืออย่างยิ้มแย้ม แน่นอนว่าอาจารย์ของเขาต้องยอมมอบให้เขา ก็แค่เอาแต้มบารมีของเขาไปสามพันกว่าแต้มเท่านั้น
“ว่าแล้วผมก็จะไปจัดการก่อน”
เมื่อพูดจบ เจียงไป๋ก็อำลาแล้ว
เขาดูออกว่าจ้าวอู๋จี๋กระหายสิ่งนี้มาก และเขาไม่คิดที่จะรอให้ตนเองหายใจแ่ๆ ก่อนแล้วค่อยใช้ แต่จะรีบใช้เสียตอนนี้ เมื่อเทียบกับร่างกายที่อ่อนแออีกสองสามเดือนแล้ว สิ่งที่จ้าวอู๋จี๋ยิ่งกระหายคือการกลับมาเป็เหมือนอย่างคนปกติ
หวางเป้ากับจ้าวอู๋จี๋ไม่ได้หยุดยั้ง แต่พูดขอบคุณอย่างไม่หยุดปาก และส่งเจียงไป๋ไปแล้ว
เจียงไป๋ก็ไม่รอช้ากลับบ้านไปจัดเก็บของสักหน่อย และมุ่งหน้าไปที่กลุ่มูเาที่อยู่ทางตอนกลาง
จริงๆ แล้วเขาก็แค่ไปเดินเล่น และหาข้ออ้างเท่านั้น
สองวันต่อมา เจียงไป๋ก็กลับมาที่เทียนตู และมาปรากฏตัวตรงหน้าจ้าวอู๋จี๋แล้ว เขาหยิบกล่องสีแดงออกมาหนึ่งกล่อง ด้านในมียาเม็ดสีทองที่เป็ประกายแวววับและมีกลิ่นฉุนหนึ่งเม็ด
“นี่ก็เป็ยาวิเศษจากสำนักของผม ยาต่อชีวิต แค่ทานก็จะเห็นผลทันที” เจียงไป๋หยิบยาออกมา แล้วส่งให้จ้าวอู๋จี๋
เขาเห็นได้ว่า เวลานี้จ้าวอู๋จี๋ใช้มือที่สั่นเทาทั้งคู่รับยาไปแล้ว ในสายตาที่เป็ห่วงของหวางเป้า เขาจับยาแล้วกลืนลงไป
วินาทีต่อมา ตัวเขาก็ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ใบหน้าที่เดิมทีไม่มีเืฝาดแม้แต่น้อย และดับมอดอย่างเห็นได้ชัด ก็เปลี่ยนมาแดงระเรื่อ เบ้าตาที่ลึกก็ดีขึ้น มีความสว่างสดใส เห็นได้ชัดว่ากล้ามเนื้อที่หดหายไปก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้ง
“ฮู้!”
จ้าวอู๋จี๋ถอนหายใจยาว คิดไม่ถึงว่าจะยืนขึ้นได้แล้ว เขากางมือทั้งคู่ออก สีหน้าท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้