ลู่สือคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเวินซี เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงเขาก็ถอนหายใจโล่งอก แต่ยังคงคิดแค้นในใจ มือที่ตีเวินเยียนก็ยิ่งหนักขึ้นอีก
“อ๊า...คุณชายซูช่วยข้าด้วย คุณชายซู...” เวินเยียนกรีดร้องขอความช่วยเหลือ
คนรับใช้พากันคว้ามือของลู่สือไว้ แต่เท้าของเขายังขยับได้ จึงเตะไปที่ร่างของเวินเยียน
“ข้าจะไม่ปล่อยเ้าไปแน่” เวินเยียนะโ
“ข้าก็จะไม่ปล่อยเ้าไปเช่นกัน” ลู่สือมองด้วยสายตาดุร้าย เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีซ้ำลงไปที่ร่างของนางอีกครา
เวินซีแกล้งทำเป็เข้าไปขวาง แต่จริงๆ คอยกันคนรับใช้ออกไปไม่น้อย นางแสยะยิ้มมองดูเวินเยียนที่ล้มลงกับพื้นอย่างน่าสมเพช
เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เวินเยียนคงจะโกรธจนทานอันใดไม่ลงไปอีกหลายวันแน่
“คุณชายซู” ฮูหยินใหญ่เวินมองดูกลุ่มคนรับใช้ที่อยู่ท่ามกลางความโกลาหลก็รีบไปขอความช่วยเหลือจากหลานเยว่เฉิง
หลานเยว่เฉิงวางถ้วยชาในมือลง ลุกขึ้นเดินไปช้าๆ
“ออกไปให้พ้น” ฮูหยินใหญ่เวินแผดเสียง
คนรับใช้ทุกคนพลันหยุดการเคลื่อนไหว แล้วรีบยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่สองฝั่ง
“คุณชายซู คุณชายซู ช่วยข้าด้วยเ้าค่ะ เขาบ้าไปแล้ว ท่านช่วยข้าด้วย”
เวินเยียนมองเห็นความหวังจึงเอ่ยปากออกมา
ลู่สือเห็นหลานเยว่เฉิงเดินมาก็กัดฟัน แรงของเขาหนักขึ้นอีก ในตอนที่เขายกมือขึ้นสูงและเตรียมที่จะตีนาง หลานเยว่เฉิงก็จับข้อมือของเขาไว้
หลานเยว่เฉิงมองมาอย่างเ็า พลันใช้กริชแทงเข้าไปในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว
ลู่สือล้มลงไปกับพื้นและสิ้นใจทันที
เวินเยียนลุกขึ้นจากพื้นด้วยความใ ก่อนจะรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังหลานเยว่เฉิง
“คุณชายซู” นางเอ่ยอย่างแ่เบา
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถิด” หลานเยว่เฉิงอุ้มนางขึ้นมา ทิ้งกริชลงบนพื้น
ทั้งสองเดินผ่านเวินซี ในขณะที่เวินซีเบนหน้าออกเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา “ในเมื่อท่านพี่มาถึงแล้ว ข้าก็ขอตัว”
“ไปเถิด” เวินอวิ๋นโปมองร่างของลู่สือก็กลืนน้ำลาย พลันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึม จากนั้นก็รีบโบกมือให้พากันออกไป
ไม่มีผู้ใดสงสัยอีกเลยว่าศพที่อยู่บนพื้นเป็โจวอวี่ชางหรือไม่
เวินซีหันหลังเดินออกไป เมื่อก้าวผ่านประตูจวนตระกูลเวินไปแล้ว นางถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
โชคดีที่ไม่มีอันตรายใดๆ
ตอนที่นางกลับมาถึงร้านเครื่องหอม โจวอวี่ชางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาถูกจ้าวต้านมัดไว้บนเตียง
เวินซีดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง คิดจะไปแก้มัดให้เขา แต่ก็ถูกจ้าวต้านห้ามไว้
“เขาจะไปที่ตระกูลเวินเพื่อช่วยลู่สือ” จ้าวต้านเหลือบมองโจวอวี่ชาง
หากโจวอวี่ชางมิได้รับมือยากจริงๆ จ้าวต้านก็คงไม่มัดเขาไว้
“น้อง แล้วลู่สือล่ะ? เขามิได้ออกไปกับเ้าหรือ เหตุใดเ้าถึงกลับมาผู้เดียว” เมื่อเห็นเวินซีกลับมาคนเดียว โจวอวี่ชางก็กระวนกระวายใจและอารมณ์พลุ่งพล่าน
“ลู่สือตายแล้ว” เวินซีพูดเสียงนิ่ง
“ตายแล้ว? เกิดอันใดขึ้น?”
“ตอนที่เขารับผิดแทนท่านว่าตนเองเป็คนที่แอบฟัง เช่นนี้ก็ไม่มีทางอยู่รอดได้แล้วล่ะเ้าค่ะ”
“เช่นนั้น...ร่างของเขาอยู่ที่ใด?”
“น่าจะถูกตระกูลเวินจัดการร่วมกับศพนั้นไปแล้วเ้าค่ะ”
“มิได้ ข้าต้องคิดหาวิธีนำลู่สือออกมา ตอนที่มารดาของเขาฝากเขาไว้กับข้า ข้าได้รับปากนางแล้วว่าจะดูแลเขาให้ดี”
โจวอวี่ชางพยายามลุกขึ้นนั่ง “เวินซี ช่วยพี่อีกสักคราเถิด ข้าขอร้อง”
การตายของลู่สือะเืใจเขาเป็อย่างยิ่ง เขาเสียใจจนเสียสติไปแล้ว
“หากท่านออกไป ลู่สือก็จะตายเปล่า เขาทำเพื่อไม่ให้มีผู้ใดรู้เื่การตายของท่าน เขาถูกหลานเยว่เฉิงแทงตาย หากคิดจะแก้แค้น ก็ต้องใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดีก่อน”
เวินซีเห็นว่าเขาเงียบลงจึงเดินไปแก้มัดให้ “ยามนี้ท่านควรจะบอกข้าได้แล้วว่าเหตุใดเวินอี๋เหนียงถึงได้ขอร้องให้ท่านเข้าเมืองหลวงไป”
“ตอนนั้นเวินอี๋เหนียงถูกฮูหยินผู้เฒ่าเวินเล่นงานอย่างหนัก นางบอกข้าว่าหากนางไป ฮูหยินผู้เฒ่าเวินกับฮูหยินใหญ่จะต้องหาวิธีฆ่านางให้ตายระหว่างทางแน่ นางออกจากตระกูลเวินมิได้”
“ข้าพูดโน้มน้าวให้เวินอี๋เหนียงส่งเ้าไป แต่ตอนนั้นเวินอี๋เหนียงเห็นว่าเ้ายังเด็กนัก ปกป้องตนเองมิได้ จึงฝากความหวังไว้ที่ข้า”
“ข้าเป็คนตระกูลเวิน ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า หากส่งข้าไป คนในตระกูลเวินจะไม่ต่อต้าน อีกอย่างตอนนั้นฮูหยินใหญ่เวินก็ไม่สนคำคนอื่น นางคิดจะให้เวินเยียนไป มีเพียงข้าเท่านั้นที่หยุดนางได้”
“นางคุกเข่าขอร้องข้า ข้าทำอันใดมิได้นอกจากต้องตกลง เดิมทีข้าอยากจะพาเ้าออกไปด้วย แต่ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าห้ามไว้”
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ในร่างของเวินซีก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นของเ้าของร่างเดิม จ้าวต้านเห็นว่านางดูผิดปกติไป จึงดึงมือของนางมากุมไว้
“ไม่เป็ไรนะ เื่มันผ่านไปแล้ว”
เสียงปลอบโยนที่แสนไพเราะดังขึ้น เวินซีเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าลงแล้วพยักหน้า
“่นี้ท่านพี่ต้องลำบาก พักผ่อนเถิดเ้าค่ะ รักษาสุขภาพให้ดี น้องขอตัวก่อน”
เวินซีช่วยพยุงโจวอวี่ชางให้กลับลงไปนอน จากนั้นก็ออกไปกับจ้าวต้าน ในขณะเดียวกันก็มีจดหมายเชิญไปงานศพของตระกูลเวินส่งมา
เวินซีรับมันมาจากคนรับใช้พลางยิ้มเยาะ หลังจากที่คนรับใช้ออกไป นางก็โยนมันลงบนโต๊ะ
ตระกูลเวินช่างทำได้สมจริงเหลือเกิน ไม่เพียงแต่จัดงานศพ แต่ยังเชิญนางอีกด้วย
“ตระกูลเวินนี่กับคนตายก็ยังไม่เว้น” จ้าวต้านยิ้มอย่างดูแคลน พลางพลิกดูจดหมายเชิญ
ผู้คนที่ถูกเชิญไปงาน คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็เพื่อนๆ ของโจวอวี่ชางที่มาจากเมืองหลวง การเชิญไปงานศพนั้นเป็เื่หลอก แท้จริงแล้วคิดจะหาเส้นสายต่างหาก
“ไม่ไปล่ะ”
หากนางไปก็ต้องไปดูการแสดงของคนตระกูลเวิน สู้ให้นางเตรียมตัวเื่การแข่งขันทำเครื่องหอมเสียจะดีกว่า
“อื้ม” จ้าวต้านโยนจดหมายเชิญออกไปที่อื่น
เมื่อเห็นว่าเวินซีกำลังจะทดสอบเครื่องหอม เขาจึงช่วยนำส่วนประกอบทุกอย่างมาวางบนโต๊ะ แล้วนั่งเป็เพื่อนอยู่ข้างๆ
“หากไม่มีเื่อันใดก็ไปเล่นกับพวกยียีเถิด”
เวินซีเอ่ยขึ้น เพราะสายตาของเขาเอาแต่จับจ้องมา ทำให้นางรู้สึกอึดอัด
“ได้” จ้าวต้านตอบเช่นนั้น แต่ตนเองก็ถอยออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
เมื่อััได้ว่าสายตาของเขามิได้เร่าร้อนเท่าเมื่อครู่ เวินซีจึงปล่อยเขาไป
ไม่นานนักกลิ่นของเครื่องหอมก็อบอวลไปทั่วทั้งห้อง เวินซีใจจดใจจ่อ ลองใช้เครื่องหอมต่างๆ ทาลงบนหลังมือ
บางคราก็ขมวดคิ้ว บางทีก็ยิ้มมีความสุข หรือไม่ก็นิ่งเงียบ
การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของนางทำให้ในใจของจ้าวต้านมีความสุขมาก
เวินซีทำเครื่องหอมจนถึงค่ำ เขาก็นั่งมองจนค่ำ
เมื่อได้เครื่องหอมที่พึงพอใจแล้ว เวินซีก็บิดี้เีด้วยความเหนื่อยล้า จ้าวต้านจึงนำชาร้อนถ้วยหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า
“พักผ่อนได้แล้ว เื่การแข่งขันน่ะ หากเ้าอยากจะชนะ ข้าทำให้เ้าชนะได้”
“เพราะเหตุใดกัน?” เวินซีถือถ้วยน้ำชา
“พวกเขารับคำสั่งข้า”
“มิต้องหรอก ข้าจะทำให้เวินเยียนแพ้ด้วยตนเอง”
นางอยากจะรู้จริงๆ ว่าเวินเยียนจะใช้สูตรเครื่องหอมของเวินอี๋เหนียงไปอีกสักเท่าไร ของบางอย่างแม้จะขโมยไปนานเท่าใด แต่ก็มิอาจทำให้เป็ของตนเองได้
“ได้ เช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งค่อยทำใหม่”
หลายวันมานี้เวินซีมัวแต่ยุ่งอยู่ตลอด จ้าวต้านกลัวว่านางจะเหนื่อยเกินไปจึงเป่าเทียนจนดับเสียแล้ว นางยังไม่ทันจะตอบอะไรเลย
ภายในความมืดมิด เวินซีกลอกตาใส่เขาพลันเดินกลับห้องไปด้วยกัน
“คุณหนูเวินซี นายท่านขอรับ!”
ภายในห้อง จ้าวซานที่รออยู่นานแล้วรีบเข้าไปหาพวกเขาอย่างกระตือรือร้น เขาประสานมือพลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“มีอันใด?” เมื่อจ้าวต้านได้เห็น ลมหายใจของเขาก็พลันเยือกเย็น
“นายท่าน เราได้รับการติดต่อจากองค์ชายใหญ่มาแล้วขอรับ สถานการณ์ในเมืองหลวงยามนี้ยังทรงตัวอยู่ องค์ชายใหญ่ส่งหนังสือมาว่าจะให้คนแอบมารับนายท่านกลับเมืองหลวง ได้ส่งเหมินเค่อ [1] มาช่วยนายท่านอีกแรงแล้วขอรับ”
“เหมินเค่อผู้ใดกัน?”
“ต้วนจิงเย่ขอรับ ยามนี้เขาอยู่ระหว่างทางแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น แววตาของจ้าวต้านก็เผยความครุ่นคิดมากขึ้น “ออกไปได้แล้ว”
“ขอรับ” จ้าวซานม้วนตัวออกไปทางหน้าต่าง
ความเหนื่อยล้าของเวินซีหายไปในทันใด นางขมวดคิ้วมองจ้าวต้าน “ต้วนจิงเย่คือผู้ใด?”
ลำพังหลานเยว่เฉิงผู้เดียวก็ยากที่จะรับมือแล้ว เวลานี้ยังมีคนที่ไม่รู้ว่าจะเป็มิตรหรือศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีก...
เชิงอรรถ
[1] เหมินเค่อ 门客 หมายถึง ปัญญาชนผู้ที่ถูกขุนนางเลี้ยงไว้เป็ที่ปรึกษา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้