น้ำเสียงของฮวาเหยียนไพเราะราวนกกระจิบสีเหลืองนวลกลางหุบเขา ยามนี้นางกดเสียงลงต่ำ แฝงด้วยเสน่ห์สายหนึ่ง ทว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้ไหลเข้าสู่หูของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
อันใดคือการบอกให้เอ่ยอีกสักครา?
นั่นไม่ใช่คำที่นางเพิ่งด่าผู้อื่นหรือ?
ผู้คนที่เพิ่งปากเสียพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับฮวาเหยียนล้วนหดคอ โค้งงอราวกับนกกระทา พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ด้วยเกรงว่าสายตาของฮวาเหยียนจะตกมาที่ร่างของพวกเขาแทน
กล่าวล้อเล่นได้หรือ นี่คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สองเชียวนะ เพียงฝ่ามือเดียวของนางก็ทำให้ทั้งโรงน้ำชากระเด็นได้แล้ว
เวลานี้ทุกสายตาที่จ้องมองฮวาเหยียนล้วนเปี่ยมด้วยความเร่าร้อน
สมกับที่เป็คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ แม้ชื่อเสียงจะเน่าเหม็น ทว่านางก็ยังน่าจับตามองมิเสื่อมคลาย
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สอง...
ตอนนี้นางอายุเพียงเท่าใดกัน
ถึงยี่สิบปีหรือไม่?
ในแวดวงขุนนางชั้นสูงของต้าโจว ไม่มีใครเคยได้ยินว่ามีคนที่อายุเพียงเท่านี้แล้วสามารถยืนอยู่บนเส้นทางระดับปรมาจารย์ขั้นที่สองได้
เป็การคงอยู่ของอัจฉริยะอันใดกันนี่!
ถูกถอนหมั้น? ชื่อเสียงเน่าเหม็น? มีบุตรแล้ว? เหอๆ...นี่ล้วนไม่เรียกว่าเื่ใหญ่ หากแข็งแกร่งได้เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนมิกล้าล้ำเส้น มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่กล้าเข้าไปหาเื่
ยามฉู่หลิวซวงทะลวงผ่านระดับผู้บำเพ็ญขั้นที่สิบเอ็ดได้ นางก็มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นต้าโจว จนถึงกระทั่งวันนี้ ฮ่องเต้ยังพระราชทานรางวัลและทรงชมเชยนางมากมาย แต่เวลานี้เมื่อเทียบกับมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่แล้ว กลับไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงเสียด้วยซ้ำ มิอาจเทียบได้แม้สักนิด
มู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ใช้แค่นิ้วเดียวก็สามารถบีบจวิ้นจู่ฉู่หลิวซวงให้ตายได้แล้ว
“มู่อันเหยียน จะ เ้าทะลวงระดับปรมาจารย์ขั้นที่สองได้ั้แ่เมื่อใด?”
ที่สุดฉู่หลิวซวงก็ฟื้นคืนสติ ร่างกายของนางราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่ขยับแม้แต่น้อย ั์ตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและไม่ยินยอม เพราะอันใดกัน เพราะอันใด ทั้งที่นางพยายามถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยังมิอาจเก่งกาจได้เท่ามู่อันเหยียนอีก?
เป็เวลาถึงสี่ปี ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่นางได้กลายเป็สตรีสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจว เมื่อผู้อื่นพูดถึงนาง นอกจากการสรรเสริญยังมีความอิจฉาด้วย นางมีระดับพลังปราณที่สูงที่สุดในแวดวงสตรีสูงศักดิ์ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญขั้นที่สิบเอ็ด ความสูงระดับนี้เมื่อเทียบกับคุณชายน้อยตระกูลเจียงยังถือว่าสูงกว่ามาก!
ทว่าเหตุใดมู่อันเหยียนกลับกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สองได้เล่า!
เหตุใดต้องเป็มู่อันเหยียนด้วย?
ความไม่ยินยอมของฉู่หลิวซวงปรากฏเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดวงตานางจ้องมองฮวาเหยียน เงยหน้าขึ้นรอคำตอบจากคนตรงหน้า
“ทำไมเล่า มิยินยอมหรือ?”
ฮวาเหยียนหรี่ตาลงพลางถามด้วยน้ำเสียงเ็า ท่าทีของนางเฉยชาไม่แยแส ใช้แววตาที่ราวกับมองมดปลวกตัวหนึ่งจับจ้องอีกฝ่าย
ทว่าคำเพียงเท่านี้ กลับทำให้ฉู่หลิวซวงรู้สึกเหมือนเหยียบน้ำโคลน!
ความอับอายและความโกรธเข้าครอบงำนางทันที
ฉู่หลิวซวงรู้สึกเพียงสมองของนางสั่นไหว เชือกที่เรียกว่าความเกลียดชังพลันขาดสะบั้นลงโดยพลัน ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ ความเกลียดชังในแววตาทะลักไหลออกมาทีละชั้นๆ “เป็ไปได้อย่างไร? เป็ไปได้อย่างไร!”
นางยังคงเอ่ยถามไม่หยุด ทว่าข้อเท็จจริงที่อยู่ตรงหน้านางกลับแจ่มชัดยิ่ง
นางมิอาจเอาตัวรอดจากสามกระบวนท่าของมู่อันเหยียนได้...
ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สิบเอ็ดคืออันใด? เมื่อเทียบกับระดับปรมาจารย์ นั่นคือความแตกต่างระหว่าง์และใต้หล้า!
“มู่อันเหยียน เ้ากลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สองได้อย่างไร เ้ากินยาต้องห้ามใช่หรือไม่ เ้าจะเป็ปรมาจารย์ขั้นที่สองได้อย่างไร! เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้...”
ฉู่หลิวซวงพึมพำกับตนเอง ทั่วทั้งร่างดูสับสนขวัญหนีดีฝ่อ
ฮวาเหยียนมองอีกฝ่ายอย่างเ็า ขนาดนี้เชียวหรือ? เกลียดนางถึงเพียงนี้เชียว?
ที่แท้แล้วเป็ความคั่งแค้นเกลียดชังเช่นใดกัน?
แค่รู้ว่านางอยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สอง ทั้งร่างก็สิ้นหวังราวกับศพคนตายก็มิปาน
นางขมวดคิ้ว รู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้าง
ครู่ต่อมา ฉู่หลิวซวงพลันเงยหน้าขึ้น ความเกลียดชังในดวงตาของนางมิคิดปิดบัง เส้นเืสีแดงฉายให้เห็นเด่นชัด “มู่อันเหยียน แม้เ้าจะเป็ปรมาจารย์ขั้นที่สอง แล้วมีอันใดน่าชื่นชมเล่า? มิใช่ว่าเ้ายังคงถูกถอนหมั้น ถูกทำให้อับอายขายหน้า และมีบุตรที่มิรู้ว่าผู้ใดเป็บิดาอยู่หรือ? ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเ้า ถูกเ้าทำลายจนสูญสิ้นไปหมดแล้ว!”
ฉู่หลิวซวงกัดฟันกรีดร้องออกมา นางเสียสติเป็อย่างยิ่ง ทั้งอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนัก จึงทำให้นางะโคำเหล่านี้อย่างเป็บ้าเป็หลัง
ฝูงชนในโรงน้ำชาล้วนถูกทำให้ตื่นตระหนกแล้ว พวกเขาหาได้เคยเห็นฉู่หลิวซวงเป็เช่นนี้ไม่? ในแวดวงสตรีชั้นสูง ฉู่หลิวซวงเป็สตรีผู้เย่อหยิ่งและสูงส่งอยู่เสมอ ฐานะสูงส่ง พลังปราณสูงล้ำ ไม่รู้มีคนมากมายเท่าใดที่มองนางเป็ดั่งสตรีที่สูงส่งมิอาจเอื้อม
ทว่าเวลานี้ นางกลับเป็ดั่งสตรีวิปลาส ใบหน้าบวมเป่ง นอนพังพาบอยู่บนพื้น กรีดร้องเสียงดัง
ราวกับว่านางกำลังจะกินคน มารยาทสูญสิ้น ความอัปลักษณ์น่ารังเกียจถูกเปิดเผยออกมา
เสียงโหยหวนนี้เองที่ทำให้ฮวาเหยียนหมดความอดทน เห็นเพียงนางขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน นางฉีกยิ้มเย็นะเื จากนั้นจึงเงื้อมือขึ้นอย่างโหดร้าย พลังปราณสีส้มพลันล้อมรอบฝ่ามือนาง พุ่งตรงไปยังฉู่หลิวซวง
เพียะ!
โครม
ฝูงชนที่อยู่ตรงนั้นเห็นเพียงฉู่หลิวซวงถูกตบพุ่งขึ้นไปกระแทกอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นลงพื้นอย่างรุนแรง เสียงพ่นเสียงหนึ่งดังขึ้น หยาดโลหิตไหลทะลักออกมาเต็มปาก
ฮวาเหยียนก้าวไปข้างหน้า ใช้ขาเหยียบหน้าอกของฉู่หลิวซวง
ไม่ผิด นางกำลังเหยียบอยู่บนหน้าอกของฉู่หลิวซวง การกระทำนี้ทั้งเย่อหยิ่งและจองหอง แฝงไปด้วยความดูถูกเย้ยหยัน ทว่าในเวลานี้มิมีผู้ใดอาจหาญพูดขึ้นมา
ดวงตาของฮวาเหยียนค่อยๆ กวาดมองใบหน้าของฝูงชนในโรงน้ำชา และทุกคนที่สบตานางล้วนมิอาจไม่หดตัวได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเ็าของนางดังขึ้นว่า “ลิ้นคนดั่งดาบ ฆ่าคนไร้โลหิต เมื่อสี่ปีก่อนข้าเคยถูกข่าวลือบีบบังคับมาแล้วครั้งหนึ่ง สี่ปีถัดมาที่สุดจึงได้หวนคืน ดังนั้นไม่ว่าเื่ใดข้าล้วนไม่เกรงกลัวทั้งสิ้น และขอประกาศไว้ ณ ตรงนี้ว่า แม้พวกเ้าจะว่าร้ายข้าต่อไปได้ แต่อย่าให้ข้าได้ยินเป็อันขาด มิฉะนั้น นั่นจะกลายเป็จุดจบของเ้า”
น้ำเสียงของฮวาเหยียนหนักแน่น หลังกล่าวจบนางก็ออกแรงที่เท้า ทำฉู่หลิวซวงอาเจียนออกมาเป็เือีกครา
ความโเี้ในดวงตาของนางทำให้ทุกคนสั่นกลัว
ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่ง ข่าวลือทั้งหมดก็ไม่นับว่าเป็อันใด
มวลประชาต่างเงียบกริบ ฮวาเหยียนพอใจกับผลลัพธ์ที่นางได้รับเป็อย่างยิ่ง
แน่นอนว่าผู้แข็งแกร่งย่อมกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ และกำปั้นคือคำตอบสุดท้าย
เหตุใดนางจึงคิดไม่ออกว่าจะสิ้นเปลืองวาจากับฉู่หลิวซวงไปมากมายเพื่อสิ่งใด เพียงเตะกระเด็นสักครั้ง ตีอีกสักครา อีกฝ่ายก็ซื่อตรงแล้วมิใช่หรือ? หากตีครั้งแรกแล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ตีอีกเป็ครั้งที่สอง
“มู่อันเหยียน หากเ้ามีความสามารถก็ฆ่าข้าเสีย เ้าปิดปากของข้าได้ แต่มิอาจปิดปากของทุกคนได้!”
ดวงตาของฉู่หลิวซวงเป็สีแดงเื นางจ้องฮวาเหยียนตาเขม็งและยังคงดิ้นรนเพื่อโน้มน้าวฝูงชน นางปรารถนาจะให้ตนเองจดจำใบหน้านี้ไว้ด้วยความเกลียดชัง ความอัปยศในวันนี้จะต้องได้รับการตอบแทนเป็สิบเท่า
“ทุกคนในใต้หล้าล้วนมีปาก ปรารถนาจะกล่าวสิ่งใดย่อมเป็อิสระของพวกเ้า ทว่าปากเป็ของตน แต่ชีวิตอาจมิใช่ของตน ควรเอ่ยหรือไม่เอ่ยสิ่งใด ข้าคิดว่าจวิ้นจู่ฉู่ได้กลายเป็ ‘ตัวอย่าง’ ที่ดีที่สุดให้ทุกคนแล้ว”
ใช่แล้ว หลังผ่านวันนี้ไป เื่ของฉู่หลิวซวงจะถูกเล่าต่อจนแพร่หลายไปทั่วแคว้นต้าโจว
เื่ที่นางถูกมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำ โดนบดขยี้จมแทบฝ่าเท้า
นี่นับเป็ความอัปยศในชีวิตของฉู่หลิวซวง
ฮวาเหยียนพ่นลมหายใจอย่างเ็า นางใช้เท้าเตะฉู่หลิวซวงออกไป ท่าทางราวกับมิได้เตะคน แต่กำลังเตะขยะชิ้นหนึ่งอยู่เช่นนั้น ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากหรืออาจหาญยื่นมือเข้าช่วยฉู่หลิวซวง
“ในเมื่อน้องสาวของข้าได้ประกาศออกไปแล้ว เช่นนั้นข้าต้องรบกวนทุกท่านที่อยู่ตรงนี้ช่วยบอกต่อ วันหน้าหากมีผู้ใดอาจหาญว่าร้ายน้องสาวของข้า ให้ร้ายตระกูลมู่ของข้า อย่าให้ข้าได้ยินอีกเป็อันขาด มิเช่นนั้นจะเป็ดั่งโต๊ะตัวนี้!”
หลังจากตื่นใอยู่นาน ที่สุดมู่เสวียนเย่ก็ได้สติกลับคืน เขาชักดาบยาวในมือฟันตรงไปที่โต๊ะยาวซึ่งตั้งอยู่ชั้นหนึ่ง เพียงฉับเดียว โต๊ะยาวก็แยกเป็สองส่วน
ฝูงชนต่างพากันกลืนน้ำลาย มิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง หลังจากคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่บันดาลโทสะแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลมู่ก็แสดงความโกรธออกมาเช่นกัน ในวันหน้าต้องควบคุมปากของตนให้ดี มิอาจพูดจาส่งเดชถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ได้อีก มิเช่นนั้นตายไปก็คงไม่รู้ตัว แค่เห็นจุดจบของฉู่หลิวซวงก็ทราบแล้ว ขนาดนางเป็ถึงจวิ้นจู่เชียวนะ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้