“บุตรชายของน้องหญิงเหยียนหรือ?”
ดวงตาของมู่เฉิงอินเป็ประกาย
นางได้ยินข่าวลือว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่กลับมาพร้อมเด็กคนหนึ่ง แต่นางยังไม่เคยพบหน้า เมื่อครู่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ หัวใจของนางพลันเต้นระรัว รีบพยักหน้าทันที “ตกลง เช่นนั้นต้องรบกวนน้องหญิงแล้ว”
หลังจากรู้ว่าฮวาเหยียนคือคนเดียวกันกับน้องหญิงที่ตนไว้ใจ นางจึงเรียกขานฮวาเหยียนว่าน้องหญิงเหยียน สตรีทั้งสองเพียงเจอกันครั้งแรกก็สนิทสนมเหมือนรู้จักกันมาเนิ่นนาน ความสนใจคล้ายคลึงกัน เื่เมื่อสักครู่ยิ่งทำให้สนิทสนมกันมากกว่าเดิม
“ไม่รบกวนเ้าค่ะ ข้าต้อนรับเป็อย่างยิ่ง”
ฮวาเหยียนตอบ
เมื่อเอ่ยจบนางก็เหลือบมองไปทางมู่เสวียนเย่ ก่อนพบว่าใบหน้าตึงเครียดของเขาคล้ายอ่อนโยนลงไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเขาโล่งใจ ฮวาเหยียนลอบถอนใจอยู่ในใจ ยามนี้พี่ใหญ่ต้องพอใจอย่างยิ่งแน่
ฮวาเหยียนกลอกดวงตาหงส์ของตนน้อยๆ ได้ยินนางกล่าวเสียงเบาว่า “มิใช่ว่าพี่ใหญ่ต้องไปเข้างานหรือเ้าคะ? ท่านจะกลับวังตอนนี้เลยหรือไม่?”
“ไม่กลับ วันนี้ข้าลา!”
มู่เสวียนเย่พูดโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ ก็เข้าทางน้องสาวคนเล็กแสนเ้าเล่ห์ของเขาพอดี
“โอ้~ ลาพักนี่เอง...!”
น้ำเสียงของฮวาเหยียนเปี่ยมด้วยความล้อเลียน ดวงตาหงส์งดงามคู่หนึ่งเสมองจากใบหน้าของมู่เสวียนเย่ไปที่ใบหน้าของมู่เฉิงอิน ส่งผลให้ใบหน้าของมู่เฉิงอินแดงก่ำ
มู่เสวียนเย่ถลึงตามองฮวาเหยียน ทว่าก็ไร้อำนาจยับยั้งอันใด ทำได้แค่ตามใจอย่างไม่อาจปิดบัง
นางคือน้องสาวของเขา ตีไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ เช่นนั้นยังทำอันใดได้อีก? ได้เพียงตามใจเท่านั้น
“ไปกันเถิด กลับจวนเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนคว้ามือของมู่เฉิงอินมากุมไว้
นางเห็นความไร้ทางสู้และตามใจในสายตาของพี่ใหญ่ เขามิอาจพร่ำบ่นนางได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ
ฮวาเหยียนรู้สึกว่าคืนวันเหล่านี้น่าพึงพอใจนัก จนนางอยากโอบกอดความอบอุ่นที่ััได้ทุกชั่วขณะนี้เอาไว้ให้แน่น
ทั้งสามคน อ้อ...ยังมีสาวใช้หลิงหลงอีกคน พากันเดินกลับจวนตระกูลมู่ด้วยกัน ระหว่างทางมู่เฉิงอินแวะซื้อของกำนัลติดมือไปด้วย นางบอกว่านี่เป็คราแรกที่นางมาเยือนจวนตระกูลมู่ มิอาจมามือเปล่าได้ นางย่อมเป็สตรีที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี มู่เสวียนเย่กับฮวาเหยียนมิอาจห้ามปรามจึงได้แต่ตามใจนาง
มู่เฉิงอินซื้อของมาไม่น้อย จนหลิงหลงแทบจะไม่มีมือให้ถือแล้ว
ทั้งสี่พากันไปรับประทานมื้อสายก่อนกลับจวน
เมื่อคนเฝ้าเปิดประตู เขาก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ภายหลังเมื่อได้สติจึงก้มหัวลงคำนับ
ทันทีที่ทั้งสี่ก้าวผ่านประตูจวน ลุงหวังผู้เป็พ่อบ้านก็รีบพุ่งตัวมาหา คล้ายว่าเขาจะนั่งยองๆ รอการกลับมาของพวกนางอยู่ตรงนี้นานแล้ว
“คุณชายใหญ่ คุณหนูใหญ่ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว...!”
ลุงหวังะโออกมา
เมื่อเห็นมู่เฉิงอินและสาวใช้หลิงหลง ลุงหวังก็ค้อมตัวลงแสดงความเคารพ เขารู้จักมู่เฉิงอิน ก่อนนี้เขายังไปที่จวนตระกูลมู่ของมู่เฉิงอินเพื่อไปทำธุระให้มู่เสวียนเย่อยู่เลย
“ลุงหวัง”
มู่เฉิงอินพยักหน้าตอบรับ
ลุงหวังประหลาดใจที่ได้พบเจอเื่ราวดีๆ โดยไม่คาดฝัน เขาแย้มยิ้มยินดีเป็อย่างยิ่ง
แม่นางมู่เฉิงอินมาเยี่ยมเยือนจวนตระกูลมู่ นี่หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? ย่อมหมายถึงว่าเื่ราวระหว่างนางกับคุณชายใหญ่สำเร็จแล้วอย่างไรเล่า
เขาอยากรีบนำข่าวไปบอกนายท่านเสียจริง
แต่เมื่อคิดว่าในจวนยังมีแขกอยู่อีกคน ลุงหวังก็รีบร้อนกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ คุณหนูใหญ่ พวกท่านรีบไปดูเถิด ในจวนของเรามีแขกอยู่อีกท่าน ยามนี้ยังคงรออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมไปไหนเลยขอรับ”
ลุงหวังกล่าว ท่าทางอึดอัดใจและสับสนของอีกฝ่ายทำให้ฮวาเหยียนกับมู่เสวียนเย่รู้สึกสงสัย เหตุใดลุงหวังจึงมีท่าทีเช่นนี้? เป็แขกจากจวนตระกูลใดกัน? ไยลุงหวังถึงบอกว่าคนผู้นั้นไม่ยอมไปไหน นั่นหมายความว่าอย่างไร?
“เป็ผู้ใดกัน? เกิดเื่อันใดขึ้น?”
มู่เสวียนเย่ถาม
“ไอ้หยา เป็นายน้อยตระกูลเจียงขอรับ เขามีนามว่าเจียงจื่อเฮ่า มาที่จวนของเราและยืนกรานจะไม่ไปไหน กล่าวอันใดไม่รู้เื่ บอกว่าบิดาของเขาให้เขาพาลูกกลับไป หากทำไม่สำเร็จก็จะไม่ยอมให้เขาเข้าจวน...”
ลุงหวังกล่าวยาวๆ รวดเดียวจบ
ทันทีที่ฮวาเหยียนได้ยิน คิ้วใบหลิวของนางก็เลิกขึ้น เจียงจื่อเฮ่ามาที่นี่? มารับลูกหรือ? เป็ลูกของจวนใดกัน?
“ตัวคนอยู่ที่ใด?”
“ในห้องโถงขอรับ”
ลุงหวังกล่าว
“ไปเถิด ไปดูกัน ช่างกล้าหาญเสียจริง ยังกล้าเข้ามาในจวนของพวกเรา ดูซิว่าข้าจะไม่โยนเขาออกไปได้หรือไม่”
ฮวาเหยียนเอ่ยปากด้วยสีหน้าเ็า
เมื่อพูดถึงเจียงจื่อเฮ่า ท้องของนางก็เปี่ยมด้วยไฟแห่งโทสะ หากไม่ใช่เพราะเ้าโง่งมนี่ นางจะไปยั่วโมโหองค์รัชทายาทสารเลวได้หรือ? จะโดนเขาปรับเงินสามล้านตำลึงได้หรือ? เจียงจื่อเฮ่าผู้นี้ ต่อให้ทุบตีเขาร้อยครั้งก็ยังไม่อาจบรรเทาความเกลียดชังในใจของนางได้!
ฮวาเหยียนสาวเท้าเดินไปที่ห้องโถง รังสีเย็นเฉียบแผ่กระจายทั่วร่างของนาง
ลุงหวังรีบตามไปและกล่าวด้วยความกังวลว่า “ไอ้หยา คุณหนูใหญ่ อย่าลงมือเลยขอรับ เจียงจื่อเฮ่าโดนนายท่านตีจนขาหัก ดังนั้นจึงเกาะจวนของเรามิยอมไปไหน คุณหนูมิอาจลงมือรุนแรงไปมากกว่านี้นะขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ? หักขาเขาหรือ?”
ฮวาเหยียนใเป็อย่างยิ่ง
“มิใช่ขอรับ ตอนที่เจียงจื่อเฮ่าผู้นั้นมาขอตัวลูกของเขา บังเอิญได้พบกับนายท่านที่กลับจวนมาพอดี นายท่านโมโหจึงเตะนายน้อยเจียงไป ผู้ใดจะรู้ว่าขาของเขาจะหัก ท้ายที่สุดจึงต้องพึ่งพาจวนของเราขอรับ”
ลุงหวังอธิบาย
เมื่อฮวาเหยียนได้ยินลุงหวังเล่าว่าบิดาของนางเตะเจียงจื่อเฮ่าจนปลิว นางพลันหัวเราะอย่างไร้ความปราณี อันที่จริง...นางก็อยากทำแบบเดียวกัน
พวกนางเดินไปที่ห้องโถง ตอนที่เพิ่งจะเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงโง่เง่าของเจียงจื่อเฮ่ากล่าวว่า “ท่านอ๋องมู่ ข้าเองก็ลำบากใจที่จะกล่าว เหตุเพราะท่านยืนกรานที่จะไปก่อเื่ที่จวนของข้า ทำให้บิดาของข้าเข้าใจผิดว่าเด็กคนนี้คือลูกของข้ากับบุตรสาวท่าน! ทั้งยังไล่ข้าออกจากจวน บอกว่าถ้าข้ามิอาจพาลูกกลับได้ ข้าก็ไม่ต้องกลับไป เหตุใดชีวิตของข้าถึงขมขื่นเยี่ยงนี้...”
เจียงจื่อเฮ่าะโโวยวายเสียงดัง
“เฮอะ! เ้าประสงค์จะไปที่ใดก็ไปที่นั่น มาที่จวนตระกูลมู่ของข้าเพื่ออันใด?”
นี่คือเสียงของมู่เอ้าเทียน
“คราแรกข้าเพียงอยากปรึกษากับพวกท่านสักหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่าท่านจะลงมือทันที ท่านดูขาของข้าสิ มิอาจพาข้ากลับจวนตระกูลเจียงได้แล้ว หักเช่นนี้ไปที่ใดก็ย่อมไม่สะดวก วันคืนเหล่านี้คงต้องพึ่งพาตระกูลมู่ของท่านแล้ว รอให้ขาของข้าหายดีค่อยว่าต่อเถิด”
เจียงจื่อเฮ่ากล่าว
น้ำเสียงของเขาฟังคล้ายหงุดหงิดไม่น้อย
“ฝันไปเถิด”
ฮวาเหยียนเปิดปากกล่าวอย่างเ็า พลางเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
จากนั้นก็เห็นท่านพ่อกับหยวนเป่านั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนเจียงจื่อเฮ่านั่งอยู่คนเดียวอีกด้าน ที่ขามีเฝือก ที่มือถือกระเป๋าสัมภาระใบเล็กเอาไว้ ใบหน้าของเขาดูซีดเซียว มีรอยคล้ำใต้ตา ท่าทางราวกับยังไม่ตื่นดี
เมื่อเห็นฮวาเหยียนเดินเข้ามาพร้อมคนอีกจำนวนหนึ่ง เขาก็ส่งเสียงไม่พอใจ สีหน้าดีๆ สักนิดก็หาได้มีไม่
โอ้ ยังแสร้งวางท่ากับนางอยู่อีกหรือ
“ใครก็ได้ โยนเจียงจื่อเฮ่าออกไปให้ข้าที”
ฮวาเหยียนเหลือบตาไปที่เจียงจื่อเฮ่า ไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงเอ่ยปากอย่างเ็า
เจียงจื่อเฮ่าพลันเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน “มู่อันเหยียน เ้ากล้าหรือ”
“เหตุใดข้าจึงจะไม่กล้าเล่า นี่คือจวนของข้า ข้า้าจะโยนเ้าออกไปย่อมหมายถึงโยนออกไป”
ฮวาเหยียนหันมองเขา ไม่ปิดบังความรังเกียจบนใบหน้าเลยสักนิด
ทันทีที่สิ้นคำ ยามทั้งสองที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็เดินเข้ามา เมื่อเจียงจื่อเฮ่าเห็นว่าฮวาเหยียนพูดจริงก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
เขาช่างน่าสงสารจริงๆ
จวนไท่จื่อขององค์รัชทายาทก็ไปมิได้ จวนของตนเองก็ถูกบิดาไล่ออกมา ให้เงินติดตัวไว้ทั้งหมดสองตำลึง ที่สำคัญคือเขามิอาจพึ่งใบบุญของมารดาได้ อีกทั้งเหล่าสหายของเขาก็โดนบิดากล่าวดักเอาไว้ มิอาจช่วยเหลือเขาได้
คิดไปคิดมา เขาก็เหลือหนทางสุดท้ายคือมาเยือนจวนตระกูลมู่
หากไม่สามารถพาเด็กกลับไปได้ วันคืนในชีวิตของเขาคงยากยิ่งกว่านี้
เจียงจื่อเฮ่ารู้สึกเพียงว่าตนไร้ความผิด เป็ผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง วันคืนที่แสนงดงามและมีความสุขกลับกลายเป็เช่นนี้ได้อย่างไร? หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็ความผิดของมู่อันเหยียนที่อยู่ตรงหน้า! หากนางไม่ขโมยดอกบัวพันปีของเขา จะมีเื่ราวเช่นนี้ตามมาหรือ?
ยังมีบิดาที่ดื้อรั้นของเขาอีก เหตุใดจึงได้ตัดสินว่าลูกชายของฮวาเหยียนเกี่ยวข้องกับเขาเล่า?
เขาเหมือนเด็กคนนี้ที่ใดกัน?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้