บิดาลู่ยกถ้วยสุราขึ้น กล่าวสุนทรพจน์ขอบคุณชาวบ้านที่ให้ความช่วยเหลือสกุลลู่ ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ปกติบุรุษที่ดำรงชีวิตอยู่กับปลายดาบคมศรมักไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ให้ความสำคัญกับหน้าตาเป็ที่สุด
ก็แค่ช่วยเหลือกันเล็กน้อยตามปกติ แต่สกุลลู่กลับจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ให้เช่นนี้ ทั้งกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับความสำคัญ ความเคารพ จึงพออกพอใจเป็อย่างมาก
บิดาลู่วางถ้วยสุราลง เฝิงเจี่ยนที่เงียบมาตลอดก็ยกถ้วยสุราขึ้น เขาคารวะลุงสามปี้ก่อน ตลอด่ระยะเวลาที่ผ่านมาเขาเข้าออกสกุลลู่เพื่อรักษาาแให้เฝิงเจี่ยนหลายต่อหลายครั้ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่มีครอบครัว เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเขาหมีนี้เมื่อประมาณสิบปีก่อน ยามปกติก็ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร บางครั้งก็ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับชาวบ้านในระยะแปดถึงสิบลี้ ได้ค่าตอบแทนเป็เงินค่าตรวจ ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไม่เคยได้ยินว่าเขามีเื้ัความเป็มาอย่างไร
แต่ในฐานะหมอ เขาได้รับความเคารพจากคนในหมู่บ้านเป็อย่างมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่มีงานอดิเรกอะไรนอกจากชอบของอร่อย แค่สุรารสเลิศสองไหก็ทำให้เขาอารมณ์ดีฮัมเพลงไปได้หลายวันทีเดียว
ก่อนหน้านี้เสี่ยวหมี่ป่วยหนัก ก็ได้เขานี่แหละเป็หมอรักษาให้ ตอนหลังเฝิงเจี่ยนยังมาพักรักษาตัวอยู่ที่สกุลลู่อีก ดังนั้น ไม่ว่าเสี่ยวหมี่จะทำของอร่อยอะไรก็มักจะส่งไปให้ลุงสามปี้ด้วยเสมอ
ลุงสามปี้พอใจเป็อย่างมาก
เขาดื่มสุรารวดเดียวหมดถ้วย บอกเฝิงเจี่ยนว่าหากไม่สบายตรงไหนก็มาหาเขาได้ รับประกันว่ารักษาได้ทุกโรค
ทุกคนได้ยินก็รู้สึกว่าน่าขำยิ่งนัก พูดเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสาปแช่งให้เฝิงเจี่ยนเจ็บป่วยหรอกหรือ?
แต่เมื่อเห็นว่าเฝิงเจี่ยนไม่แสดงสีหน้าผิดปกติแต่อย่างใด ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกสนิทใจกับแขกคนนอกผู้นี้ขึ้นอีกสามส่วน
สุราบนโต๊ะ แต่ไหนแต่ไรก็เป็เครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์อันยอดเยี่ยม
เมื่อสุราสามถ้วยลงท้องไป ต่อให้เป็คนพูดน้อย ยามปกติสงบเงียบแค่ไหนก็ยังเปลี่ยนนิสัย
เฝิงเจี่ยนที่ยามปกติพูดน้อย ก่อนหน้านี้ต้องงดสุราอาหารบางอย่าง ยามนี้กลับดื่มสุราถ้วยแล้วถ้วยเล่า ไม่ว่าใครมาคารวะก็ไม่ปฏิเสธ เพียงพริบตาเขาก็ดื่มสุราฤทธิ์แรงไปถึงครึ่งไห ทำให้บรรดานายพรานพากันโห่ร้องออกมา ยิ่งยกถ้วยสุราคารวะไม่หยุด
ผู้เฒ่าหยางเห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงหาข้ออ้างออกไปหาเสี่ยวหมี่ที่เรือนหลัง
พวกผู้หญิงไม่ดื่มสุรา เมื่อกินอิ่มแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งสนทนาสัพเพเหระกัน
เสี่ยวหมี่เห็นผู้เฒ่าหยางกวักมืออยู่ด้านนอก ก็ยิ้มน้อยๆ “ท่านป้า พี่สะใภ้ ข้ามีเื่จะแจ้งกับทุกคนพอดี พวกเราไปร่วมสนุกที่โถงรับรองกันดีหรือไม่เ้าคะ”
“เื่ใดหรือ? หากที่บ้านมีเื่อะไร้าให้พวกเราช่วยเหลือ ก็รีบบอกมาเถอะ”
ทุกคนพากันถามออกมาด้วยความสงสัย แต่เสี่ยวหมี่เพียงยิ้มแย้ม จะอย่างไรก็ไม่ยอมพูด
ผู้เฒ่าหยางเห็นนางเดินเข้ามา ก็ก้มหน้ากล่าวว่า “แม่นางลู่ วันนี้คุณชายดื่มสุราไปเยอะมาก ยามนี้เมาเสียแล้ว ท่านช่วยไป...หยุดเขาหน่อยได้หรือไม่?”
“พี่ใหญ่เฝิงหรือ?” ลู่เสี่ยวหมี่ใ ยามปกติเฝิงเจี่ยนกินแต่อาหารอ่อน ทำอะไรก็รู้จักควบคุมตัวเองเป็อย่างดี เหตุใดวันนี้ถึงปล่อยตัวเช่นนี้ หรือว่ามีเื่อะไรวุ่นวายใจจึงอาศัยสุราดับทุกข์?
คิดได้เช่นนี้ นางก็รีบก้าวยาวๆ ไปที่โถงด้านหน้า เป็จริงดังคาด เฝิงเจี่ยนสีหน้าเปลี่ยนแล้ว สายตาเลื่อนลอย แต่มือยังจับไหสุราไม่ปล่อย
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็รู้สึกเป็ห่วง แต่เมื่อเอ่ยปากกลับกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านลุงทั้งหลายดื่มกันจนพอใจหรือยังเ้าคะ? หากพอใจกันแล้วก็ช่วยหยุดดื่มก่อนเถอะเ้าค่ะ ข้ามีเื่จะพูดกับทุกคน”
ผู้เฒ่าหยางอาศัยโอกาสนี้เข้าไปประคองเฝิงเจี่ยน ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายของเราก็เมาแล้ว ข้าจะพาเขากลับห้องไปดูแลก่อน ไม่ขอรบกวนเวลาสนทนาระหว่างแม่นางลู่และทุกท่านแล้ว”
พูดจบพวกเขาสองนายบ่าวก็เดินจากไป
ทุกคนมีใจคิดจะรั้งไว้ แต่ก็สงสัยว่าเสี่ยวหมี่จะพูดอะไร สุดท้ายจึงยอมปล่อยเฝิงเจี่ยนไปอย่างง่ายดาย
เมื่อเสี่ยวหมี่เห็นว่าเฝิงเจี่ยนเดินหายเข้าไปในเรือนพักฝั่งตะวันออกแล้ว นางจึงไปยืนอยู่ข้างหลังบิดาลู่ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าทำสวนผักขึ้นมา สร้างความลำบากให้ทุกท่านไม่น้อย ตอนนี้ผลลัพธ์ออกมาเป็ที่น่าพอใจอย่างมาก เมื่อคืนข้าปรึกษากับบิดาแล้ว วันหน้าหากว่าทุกท่านไม่กลัวลำบาก อยากจะลองปลูกผักดูบ้างก็ให้มาถามข้าได้ ข้าจะถ่ายทอดทุกเื่ที่ท่านอยากรู้ให้ทราบ”
“นี่...” ทุกคนฟังแล้วก็พูดไม่ออกหันไปสบตากัน เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้ดื่มสุรามากไปจนเกิดภาพหลอน
“เสี่ยวหมี่เ้าบอกว่าจะสอนทุกคนปลูกผักหรือ?”
“ใช่แล้ว” เสี่ยหมี่ยิ้มอย่างจริงใจ ไม่มีท่าทีหลอกลวงหรือฝืนใจแม้แต่น้อย “พวกเราสิบแปดครอบครัวในหมู่บ้านเขาหมี ข้าจะร่ำรวยอยู่คนเดียวได้อย่างไร หากว่าท่านลุงท่านป้าอยากเรียน ข้าจะสอนอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
จบแล้วก็เอ่ยต่อว่า “แต่ทุกท่านเองก็คงรู้อยู่แล้วว่า การปลูกผักนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือภัยธรรมชาติ อีกทั้งต้นทุนก็ยังสูง ไม่แน่อาจไม่เพียงไม่ได้กำไรอาจจะถึงขั้นขาดทุนก็เป็ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาจริงๆ หวังว่าทุกท่านจะไม่โทษข้านะเ้าคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว จะโทษเ้าได้อย่างไร”
“นั่นน่ะสิ แค่เ้ายินดีสอนทุกคนก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว หากใครกล้าว่าเ้า ข้าจะยิงธนูสังหารเสียเลย”
พวกผู้ชายพากันทุบอกยืนยันหนักแน่น
พวกผู้หญิงยินดีจนน้ำตาแทบไหล ในฐานะภรรยาและมารดา ไม่มีใครชอบให้สามีและบุตรชายขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ไปสู้เอาชีวิตกับพวกสัตว์ร้าย ก่อนหน้านี้บุตรของพวกนางได้เรียนหนังสือกับสกุลลู่ พวกเขาก็ยิ่งออกห่างจากเส้นทางนายพรานมากขึ้น
ยามนี้เสี่ยวหมี่ยังสัญญาว่าจะช่วยสอนทุกคนปลูกผักอีก เท่ากับมอบสมบัติล้ำค่าของนางให้พวกเขาก็ไม่ปาน
สิ่งนี้จะเป็ประโยชน์ต่อลูกหลานในอนาคตของพวกเขาต่อไป
บุญคุณเช่นนี้ต่อให้พวกเขาจะต้องเป็วัวเป็ม้าก็ตอบแทนไม่หมด
“เสี่ยวหมี่ เ้าเป็คนดีเหลือเกิน พวกเรา...”
บรรดาสะใภ้ทั้งหลายจับมือลู่เสี่ยวหมี่ กลั้นก้อนสะอื้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เสี่ยวหมี่ทนเห็นคนอื่นเป็เช่นนี้ไม่ได้ อีกอย่างที่นางทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเอาเสียเลย มิตินี้ไม่เหมือนโลกในชาติก่อนของนาง หากไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือรักใคร่ ยิ่งร่ำรวยมากขึ้นเท่าไรก็จะถูกเร่งให้ตายเร็วขึ้นเท่านั้น
หากว่าทั้งสิบแปดครอบครัวในหมู่บ้านเขาหมีร่ำรวยไปด้วยกัน ยามที่ถูกโลกภายนอกจับตามอง อย่างน้อยก็จะมีคันศรสิบกว่าคันตั้งขึ้นต่อกรกับสายตาพวกนั้น เพียงพอจะปกป้องตัวเองได้แล้ว
“พี่สะใภ้ทั้งหลายอย่าเห็นข้าเป็คนอื่นไกล หากว่าพวกท่านอยากขอบคุณข้าจริงๆ วันหน้าช่วยข้าทำงานเย็บปักก็พอแล้ว พวกท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีฝีมือทางด้านนี้จริงๆ อีกอย่าง รออีกสองสามวันเมื่ออากาศดีขึ้น ต้นกล้าข้าวโพดที่ข้าย้ายออกไปอยู่ในเพิงผักก่อนหน้านี้ ถึงตอนนั้นพวกท่านก็เอาไปปลูกคนละหมู่เถอะ พอถึงฤดูใบไม้ร่วงคงจะเก็บเกี่ยวเสบียงได้เพียงพอสำหรับครึ่งปีแล้ว”
“อะไรนะ มีต้นอ่อนข้าวโพดด้วย?”
ทุกคนตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม พากันยืนขึ้น
วิธีการปลูกผักแม้จะนับว่าเป็สมบัติล้ำค่า แต่ปีนี้ก็คงไม่ทันการแล้ว แต่การปลูกข้าวโพดต่างหากที่กำลังจะทำได้เร็วๆ นี้
ปีก่อน อากาศอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิมาถึงช้า หิมะก็ยังมาถึงเร็วอีก ข้าวโพดจึงขาดแคลน ที่นาสองสามหมู่ของชาวบ้านส่วนใหญ่เพาะปลูกเฉียวม่ายกัน จู่ๆ ได้ยินเสี่ยวหมี่พูดถึงต้นอ่อนข้าวโพด จะไม่ยินดีได้อย่างไร
ตอนนี้ต้นอ่อนข้าวโพดในเพิงผักสูงห้าชุ่นแล้ว อย่างน้อยๆ ก็คงได้ผลผลิตก่อนคนอื่นเป็เดือน ต่อให้หิมะจะมาถึงเร็วอีกในปีนี้ ก็เพียงพอจะขายได้เงินเป็กอบเป็กำอยู่ดี
“เสี่ยวหมี่ ถ้าเ้าแบ่งต้นอ่อนข้าวโพดให้เรา แล้วที่นาบ้านเ้าจะปลูกอะไรเล่า?”
มีคนถามออกมาเสียงดัง
เสี่ยวหมี่โบกๆ มือ “ข้ารบกวนเถ้าแก่เฉินให้หาเมล็ดพันธุ์ไข่ดินมาให้ข้า ข้ากำลังคิดหาวิธีเพาะปลูกของใหม่ๆ บางทีเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ท่านลุงทั้งหลายอาจไม่อยากปลูกข้าวโพดแล้วอยากเปลี่ยนมาปลูกไข่ดินเหมือนข้าก็เป็ได้”
“เช่นนั้นก็ดีเลย อย่าให้พวกเราเป็ตัวถ่วงบ้านเ้าก็แล้วกัน”
“นั่นน่ะสิ ไม่ว่าไข่ดินที่เ้าปลูกจะทำกำไรได้แค่ไหน พวกเราก็จะไม่ริษยา เ้ายกต้นอ่อนข้าวโพดให้ทุกคน ก็เท่ากับว่ายกเสบียงครึ่งปีให้พวกเราแล้ว ทุกคนล้วนจดจำความดีของเ้าไว้ วันหน้าหากมีงานอะไรก็รีบบอกพวกเรามา ที่นาสามสิบหมู่ที่ตีนเขาของพวกเ้า เราจะช่วยเอง”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ปีนี้พวกเ้าไม่ต้องจ้างคนงานแล้ว คนพวกนั้นเ้าเล่ห์เกินไป ไม่ดีๆ”
ทุกคนจัดการตกลงกันเสร็จสรรพ ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นจนพากันชนถ้วยสุราอีกรอบ
เพียงไม่นานพวกผู้ชายก็เมามายทรงตัวไม่อยู่ ถูกภรรยาที่ดุร้ายของตนประคองกลับบ้านไปพลางบ่นไม่หยุด
เสี่ยวหมี่รีบนำของขวัญขอบคุณมาให้นายท่านเฝิงและลุงสามปี้ ถึงแม้ยาสูบและใบชาพวกนี้จะเป็แค่ของธรรมดาทั่วไป แต่ก็เพียงพอจะทำให้คนทั้งสองยิ้มแย้มไปถึงดวงตา
พวกท่านป้าหลิวและลูกสะใภ้รั้งอยู่จนถึงตอนสุดท้าย ช่วยเสี่ยวหมี่เก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัว ล้างถ้วยล้างชาม
ท้ายที่สุดเสี่ยวหมี่ก็ยัดผ้าไหมเนื้อดีสีแดงใส่มือพวกนาง
ท่านป้าหลิวยังคิดจะปฏิเสธ แต่ผ้านี้ลู่เสี่ยวหมี่ตั้งใจให้พี่ใหญ่ลู่ซื้อกลับมาเป็พิเศษ คุณภาพดีสีสวย เหมาะจะทำเสื้อผ้าให้พวกเด็กๆ เป็ที่สุด นางอยากได้จริงๆ สุดท้ายจึงรับไว้อย่างรู้สึกผิด
เมื่อสกุลลู่ส่งแขกคนสุดท้ายออกจากลานบ้านไปแล้วในที่สุดความสงบสุขก็กลับคืนมา
เสี่ยวหมี่ยืนมองเงาหลังของพวกชาวบ้านที่ค่อยๆ เดินหายไปในความมืด ฟังเสียงหัวเราะที่ลอยมาตามลม มุกปากก็อดโค้งขึ้นไม่ได้
เท่านี้คนทั้งหมู่บ้านเขาหมีก็ยินยอมพร้อมใจจะช่วยปกป้องสกุลลู่แล้ว
หากมีใครกล้ามาทำลายผลประโยชน์ของสกุลลู่ ปรารถนาอยากได้ของของสกุลลู่ ก็เท่ากับเป็การตัดเส้นทางดำเนินชีวิตของชาวบ้านคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเขาหมีด้วย
ในที่สุดนางก็ถอนใจโล่งอก...
“แม่นางลู่ คุณชายข้าเมาหนัก รบกวนท่านต้มน้ำแกงสร่างเมาให้สักถ้วยได้หรือไม่”
ลู่เสี่ยวหมี่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเลื่อนลอย จู่ๆ ก็ถูกเสียงคนทำเอาใไม่น้อย เมื่อดึงสติกลับมาถึงเห็นว่าเป็ผู้เฒ่าหยางก็รีบตอบรับทันที “อา ท่านลุงหยาง น้ำแกงสร่างเมารสชาติแย่เกินไป บ้านข้ามียาเม็ดสร่างเมาที่ลุงสามปี้เคยทำไว้ให้ ข้าเอาให้พี่ใหญ่เฝิงกินสักเม็ดดีไหมเ้าคะ”
ผู้เฒ่าหยางกลับทำสีหน้าลำบากใจ ลูบๆ ท้องมองนางอย่างขอร้อง “แม่นางลู่ ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง ต้องขอตัวไปสุขาสักครู่ เกาเหรินก็ไม่รู้วิ่งไปไหน รบกวนแม่นางเอายาไปส่งให้คุณชายหน่อยเถิด”
พูดจบเขาก็ไม่รอให้เสี่ยวหมี่ตอบตกลงรีบวิ่งหายไปทันที
เสี่ยวหมี่กระพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าผู้เฒ่าคนนี้คิดจะหาช่องทางี้เีอยู่หรือไม่ แต่คิดๆ ดูแล้วก็แค่ยาเม็ดเดียว อย่างไรเสียพี่ใหญ่เฝิงก็เดินเหินไม่สะดวก อีกทั้งนางยังเคยประคองเขาฝึกเดินมาแล้ว
จึงไม่สนใจเื่ชายหญิงแตกต่างต้องรักษาระยะห่างอะไรนั่นอีก
ครั้นคิดได้เช่นนี้ นางจึงกลับไปเรือนหลังเพื่อเอายา แล้วจึงหมุนกายมุ่งหน้าไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออกของเฝิงเจี่ยน
ในเรือนพักฝั่งตะวันออก เฝิงเจี่ยนถอดเสื้อตัวนอกออกแล้ว ผมเผ้าปล่อยสยาย ใบหน้าแดงก่ำ หน้าผากมีเหงื่อผุดพราย ดูก็รู้ว่าเมามายอย่างมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้