เมื่อเหล่าลิ่วเห็นหลินฟู่อินกลับมาแล้วก็ยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงหู “คุณหนูกลับมาแล้ว โจ๊กกับเครื่องเคียงของท่านอร่อยเกินไป ทั้งนายท่านทั้งพวกข้าต่างก็ชอบยิ่งนัก นายท่านยังสั่งข้าเอาไว้เป็พิเศษ ขอให้แม่นางช่วยทำอาหารเช่นนี้อีก”
หลินฟู่อินนึกว่าตัวเองหูฝาดไปเสียแล้ว ท่านขุนนางผู้ยิ่งใหญ่เอาแต่ใจเช่นนั้นทนไม่ไหวจนต้องสั่งให้ลูกน้องมาบอกให้นางเตรียมอาหารเนี่ยนะ?
นี่ไม่เหมือนเขาเลยสักนิด!
ต้องมีเหตุผลอื่นแน่ๆ นางคิดในใจ
ดวงตาใสกะพริบปริบ มองเหล่าลิ่วไม่ตอบคำ
“คุณหนู ท่านคิดยังไงกับนายท่านของข้าหรือ?” เหล่าลิ่วเห็นดวงตาใสบริสุทธิ์ดุจธารน้ำใสในเทือกเขาเช่นนี้ก็ไม่กล้าถามหยาบคาย เขาเกาหัว หลบสายตานาง
หลินฟู่อินตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าเหล่าลิ่วผู้นี้พูดเื่อะไรกันแน่ ดวงตาของนางโค้งน้อยๆ ย้อนถามกลับไป “เ้านายของท่านเป็ยังไงบ้างแล้วเ้าคะ?”
“เื่นี้… นายท่านย่อมต้องสบายดีใช่หรือไม่?” เหล่าลิ่วเกาหัวอีกครั้ง ขยับเข้าใกล้หลินฟู่อินแล้วกระซิบกระซาบ “พี่น้องบางคนคิดว่าคุณหนูไม่ได้ไปเยี่ยมนายท่านหลายวัน เช่นนี้นายท่านย่อมต้องสบายดีแล้ว คุณหนูจึงไม่ต้องไปดูแลอีกใช่หรือไม่ขอรับ?”
ที่เหล่าลิ่วพูดอยู่นี้ไม่ใช่คำตอบ แต่เป็คำถามที่ตวนมู่เฉิงสั่งการมาอีกทีหนึ่ง
ตวนมู่เฉิงคล้ายรู้สึกว่านายท่านที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ หลายวันมานี้กลับมีท่าทีหม่นหมองไปบ้างเพราะหลินฟู่อินไม่ได้มาเยี่ยม
ส่วนจะเป็เพราะกลัวไม่หายดี หรืออาจจะเพราะอย่างอื่น อันนี้ก็ไม่แน่…
เหล่าลิ่วเป็คนซื่อๆ พอคุยกันแบบไม่ได้ลงรายละเอียดไม่กี่คำก็คิดว่านายท่านคงกังวลเื่สุขภาพ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูหลิน จึงรับปากตวนมู่เฉิงไปว่าจะมาถามหลินฟู่อินให้เอง
แต่พอถามออกมาเช่นนี้กลับกลายเป็ตรงข้ามกับแผนการของตวนมู่เฉิงโดยไม่รู้ตัว
หลินฟู่อินได้ยินคำถามก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“พิษในร่างกายล้วนขับออกจนหมดไปนานแล้ว ร่างกายของท่านผู้นั้นก็ฟื้นตัวเป็อย่างดีเ้าค่ะ”
เหล่าลิ่วได้ยินเช่นนี้ก็ดีอกดีใจจนอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “เช่นนั้นก็น่าแปลกใจจริงๆ คราแรกเห็นนายท่านบอกว่าหากหายดีแล้วก็จะไป…”
หลินฟู่อินก้มหน้าลง แสร้งทำเป็ไม่ได้ยินทันที
เมื่อหายดีแล้วก็จะไป ตอนนี้ก็หายดีมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่ไปอีก เกรงว่าคงมีเื่สำคัญต้องทำกระมัง? แต่จะเป็เื่อะไรนั้นนางไม่คิดอยากรู้ นางเป็แค่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดา ไม่คิดอยากมีปัญหาใหญ่เกินตัว
อย่างน้อย่นี้นางก็คิดเช่นนี้อยู่
ทันใดนั้นเหล่าลิ่วก็รู้สึกตัวว่าตัวเองหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกมาเสียแล้ว จึงหุบปากฉับทันที
“อาหารเย็นวันนี้ก็เป็โจ๊กกับเครื่องเคียงเช่นเดิมนะเ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะทำเอาไว้ ท่านมารับไปด้วย”
เหล่าลิ่วพยักหน้า เดิมทีคิดจะกลับทันที ทว่าทันใดนั้นก็หันมาถาม “คุณหนู ไม่อยากไปพบนายท่านสักหน่อยหรือขอรับ?”
หลินฟู่อินครุ่นคิดชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า นางหยิบไม้กวาดจากข้างประตูขึ้นมาแล้วลงมือกวาดบ้าน พลางกล่าวว่า “ท่านผู้นั้นหายดีแล้ว ข้าย่อมไม่จำเป็ต้องไปเ้าค่ะ เ้านายของท่านมาหลบซ่อนตัวที่นี่เพื่อรักษาร่างกาย หากข้าไปบ่อยๆ อาจดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นเอาได้ เช่นนั้นจะไม่ดี”
เหล่าลิ่วผิดหวังเล็กน้อย แต่พอลองคิดดูแล้วก็เห็นว่าสิ่งที่หลินฟู่อินพูดล้วนถูกต้องอีกแล้ว
ด้วยเป็คนตรงไปตรงมาไม่คิดเล็กคิดน้อยจึงไม่ได้คิดเป็อื่น ออกปากอ้อนวอนต่อทันที “เช่นนั้นรบกวนทำไข่อร่อยๆ อีกนะขอรับ”
“ไข่ดอกสนเ้าค่ะ” หลินฟู่อินหัวเราะ “ไข่ดอกสนอันนั้นท่านชอบหรือไม่เ้าคะ?”
เหล่าลิ่วเลิกคิ้วตอบทันที “อร่อย อร่อยขอรับ! หัวหน้าก็ยังพูดว่าอร่อย แม้นายท่านไม่พูดอะไรแต่ก็ยังคีบกินหลายชิ้น ข้าเหล่าลิ่วกล้าพูดว่านายท่านคิดว่าอร่อยขอรับ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้หลินฟู่อินก็ยิ้มกว้าง บุรุษที่มีตัวตนไม่ธรรมดายังชอบ ส่วนคนที่ติดตามเขาก็ต้องเป็คนมีเงินหรือไม่ก็ขุนนาง ทั้งหมดล้วนคิดว่าไข่ดอกสนที่นางทำรสชาติอร่อย เช่นนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ทำไข่ขายเช่นนี้น่าจะดีมาก
แต่ตอนนี้ยังอยู่ใน่ทดลอง ชาวเป่ยหรงทางเหนือชอบไข่ดอกสนแน่แล้ว ก็เหลือแต่ทางฝั่งของหลี่อี้ คงต้องดูว่าชาวต้าเว่ยทางใต้จะชอบหรือไม่
เหล่าลิ่วกลับไปด้วยสองมือเปล่าเพียงลำพัง
ตวนมู่เฉิงเห็นเ้าคนซื่อเดินมาแต่ไกลไม่มีใครตามมาด้วย ในใจก็มีโทสะลุกโชน
พอเหล่าลิ่วกลับมาถึงกระท่อมไม้ก็เล่าว่ามื้อเย็นวันนี้ตนขอให้หลินฟู่อินเพิ่มไข่ดอกสนให้มากอีกหน่อย ตวนมู่เฉิงฟังแล้วก็อดด่าออกไปไม่ได้ “กิน กิน กิน ในหัวโง่งมเ้ารู้จักแต่เื่กิน! แล้วคุณหนูล่ะอยู่ที่ไหน?”
ขณะที่ตวนมู่เฉิงตำหนิเหล่าลิ่ว หวงฝู่จินไม่อ้าปากสักนิด เพียงแค่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เส้นผมดำขลับดุจน้ำหมึก ใบหน้าสงบนิ่ง สายตามองเพียงหนังสือในมือ
แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับเขาล้วนทราบดีว่ายามนี้เขาไม่มีกะใจจะอ่านหนังสือแล้ว เพียงแต่จับจ้องไปเช่นนั้น หูกำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชาสนทนากันต่างหาก
ในใจชายหนุ่มแค่นเสียงเย็น ‘แม่นางหลินฟู่อินคนนี้กล้าหลบหน้าเขาอีกแล้ว?’
เหล่าลิ่วไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดหัวหน้าถึงยังถามหาคุณหนูหลินอยู่อีก จึงร้องโต้แย้ง “หัวหน้า ข้าก็พูดอย่างที่ท่านสั่งให้ข้าพูดต่อหน้าคุณหนูทุกคำแล้วนะ! คุณหนูบอกว่าพิษในร่างนายท่านถูกขับออกหมดแล้ว ร่างกายก็ช่วยรักษาจนหายแล้ว ไม่จำเป็ต้องมาแล้วนี่นา!”
“เ้านี่มัน…” ตวนมู่เฉิงโกรธจนพูดไม่ออก ทั้งชี้ทั้งจ้องหน้าเหล่าลิ่วอยู่นาน ก่อนจะทิ้งมือลงในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าเหล่าลิ่วก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหัวหน้าจะต้องโกรธคุณหนูหลินด้วย จึงอดพูดแทนอีกฝ่ายไม่ได้ “คุณหนูไม่อยากมา กล่าวว่านายท่านมาซ่อนตัวที่นี่เพื่อพักรักษาร่างกาย นางต้องแอบมาทางนี้ตลอด หากใครมีเจตนาไม่ดีมาเห็นแล้วเกิดสงสัยขึ้นมาจะไม่ดีต่อนายท่านขอรับ!”
ตวนมู่เฉิงไม่อยากจะสนทนากับเ้าโง่งมตัวนี้แล้ว เขาหันหลังกลับไปเก็บข้าวของ
หวงฝู่จินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ
เด็กคนนั้นเฉลียวฉลาดปานนั้น แค่หลอกเหล่าลิ่วเหมือนตอนแรกก็พอแล้ว เหตุใดยังต้องพูดอีกว่าเพื่อความปลอดภัยของเขาจึงไม่อยากมา…
แต่สิ่งที่นางกล่าวออกมาล้วนถูกต้อง เขาหายดีแล้ว
ดังนั้นย่อมถึงเวลากลับไปยังที่ที่ควรอยู่แล้ว
เกรงว่าอีกหน่อยคงยากที่จะได้ทานอาหารฝีมือแม่นางน้อยผู้นั้นแล้วกระมัง กลับไปเป่ยหรงแล้วเขาจะคุ้นชินหรือไม่หนอ? เื่นี้เขาเองก็ยังสงสัยอยู่
“นี่ แล้วทำไมหัวหน้าถึงเก็บของแล้วล่ะขอรับ?” เหล่าลิ่วตามตวนมู่เฉิงต้อยๆ เห็นมือเท้าอีกฝ่ายวุ่นวายไม่หยุดก็ได้แต่ถามอย่างสงสัย
“วันนี้เราจะกลับกันแล้ว” ตวนมู่เฉิงะโตอบจนได้ยินกันไปทั่วที่พักแรม
เขารู้ว่าที่จริงนายท่านอยากพบหน้าแม่นางน้อยคนนั้นอีกสักครั้งก่อนจากไป เดิมทีจึงได้สั่งเหล่าลิ่วให้ไปถามเช่นนั้น ทว่าสุดท้ายคนก็ยังทำไม่สำเร็จอีก แค่คิดก็โกรธจนไฟแทบลุกแล้ว
แต่เหล่าลิ่วกลับยังพูดด้วยความยินดี “โอ ในที่สุดเราก็จะได้กลับกันแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปเก็บของเช่นกันขอรับ จะไปกันเมื่อไรดีหัวหน้า?”
ตวนมู่เฉิงมองหน้าโง่ๆ ที่ดูยินดีเหลือเกินนั่นก็รู้สึกคล้ายเพลิงโทสะในใจกำลังแผ่ขยาย อยากตวาดใส่หน้าว่าจะไปกันเดี๋ยวนี้ ทว่าทันใดนั้นเสียงของผู้เป็นายก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้