ได้ยินวาจาเช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ถึงกับยืนไม่อยู่ ร่างกายซวนเซเล็กน้อย ฝีเท้าที่เตรียมจะก้าวออกมา ชักกลับไปโดยพลัน ใบหน้าหล่อเหลาซีดลงอย่างฉับพลัน “ฮ่าๆ พี่สะใภ้สาม ข้าเห็นสีของท้องฟ้ามืดแล้ว ท่านรีบไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็ควรกลับได้แล้วเช่นกัน วันหน้าค่อยมาหาท่านอีก”
ฮือๆ พี่สะใภ้สามอย่ารังแกเขาเช่นนี้ได้หรือไม่ ยังจะเพิ่มอานุภาพให้น้ำยามี่ลู่อีกหรือ เวลานี้เขานั้นเปรียบเสมือนคนที่โดนงูกัดหนึ่งครั้ง กลัวเชือกฟางไปสิบปี [1]
หลงเซี่ยวเจ๋อนั้นไม้อ่อนมิชอบ ชอบไม้แข็ง อยากจัดการเขานั้นมิยากเลย มู่จื่อหลิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในจวนอ๋องไม่เหลียวหลังมามองอีก
-
มู่จื่อหลิงใช้ชีวิตอย่างนับคืนนับวันอยู่ในจวนอ๋อง หลังจากงานในวังหลวงเมื่อวันนั้น นางก็มิได้พบหลงเซี่ยวอวี่อีก แม้คนที่ส่งเสียงจ้อกแจ้กเช่นหลงเซี่ยวเจ๋อก็มิได้มาด้วยเช่นกัน ่หลายวันมานี้นางล้วนอยู่แต่ในจวนอ๋อง มิได้ออกจากจวนไปไหนเลย
ในวังหลวงเองก็มิได้มีการเคลื่อนไหวอันใด มู่จื่อหลิงรู้ว่าไทเฮาคงไม่ยอมรามือแต่โดยดีแน่ เพียงแต่ได้ยินว่า่สองสามวันมานี้ไทเฮาเหมือนจะประชวรหนัก อารมณ์แปรปรวนบันดาลโทสะได้ง่าย ทำเอาคนทั้งตำหนักโซ่วอันแตกตื่นไปหมด แต่ละคนทำงานอย่างอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่าหากไม่ระวังแม้เพียงเล็กน้อยอาจจะไปล่วงเกินไทเฮาเข้า
มู่จื่อหลิงคิดว่าไทเฮาคงมีโทสะสุมอกมาั้แ่ในงานเลี้ยง และความโมโหเช่นนั้นคงยากระบายออก จึงทนข่มกลั้นไว้จนแย่
ชีวิตของไทเฮาผ่านไปอย่างยากลำบากนัก ทว่าชีวิตเล็กๆ ของนางกลับผ่านไปอย่างสบายอกสบายใจ
ครั้งที่แล้วนางพูดกับไทเฮาว่าต้องจัดการเื่เล็กๆ น้อยๆ ในจวนอ๋อง จึงไม่มีเวลาเข้าวัง แต่แท้จริงแล้วมู่จื่อหลิงนั้นมิเคยเข้าไปจัดการเลยแม้แต่น้อย แต่งเข้ามาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว นางยังไม่รู้เลยว่าใครเป็ผู้ดูแลบัญชีการเงินของจวนฉีอ๋องแห่งนี้
ว่ากันตามเหตุผลแล้วเวลานี้นางคือฉีหวางเฟย นายหญิงแห่งจวนฉีอ๋อง ควรจะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในจวน ทว่าในระหว่างนี้ไม่มีคนมาพูดกับนางเลยแม้แต่คนเดียว ไม่เคยมีใครมาพบนาง ราวกับนางหวางเฟยผู้นี้มิเคยปรากฏตัวขึ้น
แต่นางไม่สนใจ ไม่ต้องกังวลเื่อาหารเครื่องนุ่งห่ม แล้วยังไม่มีคนมารบกวนนางอีกด้วย นางจึงว่างงานอย่างยินดี นางน่าจะเป็หวางเฟยที่ว่างงานที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว แต่ละวันล้วนไม่มีธุระอันใดที่ต้องจัดการ
ชีวิตน้อยๆ ล้วนผ่านแต่ละวันไปอย่างเอ้อระเหยลอยชาย บางครั้งบางคราก็ไปดีดฉินกับเสี่ยวหานที่ศาลากลางน้ำ นางพบว่าไม่ว่าจะไปศาลากลางน้ำกี่ครั้งก็มิเคยเห็นคนปรากฏตัวขึ้นที่นั่น แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ปัดกวาดก็ไม่มี ทว่าบริเวณโดยรอบศาลากลางน้ำนั้นกลับสะอาดเป็ระเบียบอย่างผิดปกติ จึงอดสงสัยไม่ได้
แปลกใจก็ส่วนแปลกใจ แต่เพราะเหตุที่ไม่มีผู้อื่นผ่านไปผ่านมา นางจึงกล้าไปดีดฉินที่นั่นตามอำเภอใจ
เวลาส่วนใหญ่นางล้วนนอนอยู่บนเตียง แม้บอกว่าเป็การนอน แต่จิติญญาของนางกลับอยู่ในระบบซิงเฉิน สกัดตัวยา คิดค้นยาพิษใหม่ๆ อยู่ทุกวัน มีอยู่ครั้งหนึ่งทำเพลินจนลืมเวลา จึงนอนหลับไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เสี่ยวหานเรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น เกือบทำให้นางใจนเป็ลมพับไป
“นายน้อย ร่างกายท่านไม่สบายหรือ เหตุใดหลายวันมานี้จึงได้เอาแต่นอนเล่าเ้าคะ บ่าวจะไปตามหมอมาดูอาการท่าน” เสี่ยวหานถามอย่างกังวลใจ
่นี้นายน้อยเป็อะไรกันแน่ กลางวันก็นอนกลางคืนก็นอน เรียกอย่างไรก็มิตื่น พอตื่นขึ้นมาก็ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ท่าทางดูอ่อนเพลียยิ่งนัก
“เ้าลืมหรือว่าข้าเองก็มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ไม่เป็ไร มิต้องกังวล” มู่จื่อหลิงรู้ว่าหลายวันมานี้ที่เอาแต่งีบหลับบนเตียงนั้น เสี่ยวหานคงเป็ห่วงนางมิน้อยเลย
ใจของเสี่ยวหานจึงผ่อนคลายลง “นายน้อยไม่เป็อะไรก็ดีแล้วเ้าค่ะ หากมีเื่อะไรท่านต้องบอกบ่าวนะเ้าคะ”
“เอาล่ะ เสี่ยวหานเ้าไปเตรียมรถม้ามาเถิด เดี๋ยวพวกเราจะไปเยี่ยมท่านแม่ของข้าที่สวนจิ้งซินกัน” มู่จื่อหลิงสั่งเสี่ยวหาน ครั้งที่แล้วนางก็คิดจะไปเยี่ยมมารดาที่ยังมิได้พบหน้าผู้นั้น แค่ผลัดวันมาโดยตลอด
เวลานี้เองก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
“เข้ามา” มู่จื่อหลิงเอ่ย เวลานี้ยังจะมีผู้ใดมาพบนางกัน
พ่อบ้านผลักประตูเข้ามา “คารวะหวางเฟย”
“ท่านลุงฝู มีเื่ใดหรือ” มู่จื่อหลิงหยิบจอกน้ำชาขึ้นมาจิบ ถามอย่างช้าๆ
“ทูลหวางเฟย มีสตรีผู้หนึ่งอยู่นอกจวน กล่าวว่าเป็น้องสาวของหวางเฟย้าพบหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ” ลุงฝูกล่าวอย่างนอบน้อม
น้องสาว? หรือจะเป็มู่อี๋เสวี่ย
“บอกนางว่าเปิ่นหวางเฟยมิว่าง ให้นางกลับไปเถิด” มู่จื่อหลิงเอ่ยย่างไม่ลังเล
ครั้งที่แล้วมู่อี๋เสวี่ยยังเจ็บมิพออีกหรือ ถึงได้วิ่งแจ้นมาถึงจวนอ๋อง ช่างเป็ผู้ที่แผลเป็หายแล้วลืมความเจ็บ [2] เสียจริง แต่มู่อี๋เสวี่ยจะขอพบนางก็ต้องดูก่อนว่านางอนุญาตหรือไม่
“เอ่อ...เหนียงเหนียง แม่นางผู้นั้นกล่าวว่าหากท่านไม่ยอมพบนาง นางจะไม่ไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” ท่านลุงฝูกล่าวด้วยท่าทางลำบากใจ
หลายวันนี้เขาล้วนไปมาหาสู่กับหวางเฟยผู้นี้ แม้กล่าวว่าเป็หวางเฟย ทว่ากลับมิได้วางท่าอันใด ยามปกติแม้แต่สาวใช้ของนางก็นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับนางได้ เื่เล็กๆ น้อยๆ ล้วนลงมือทำด้วยตนเอง ในจวนจัดสรรสาวใช้มาให้นางสี่คนก็ถูกนางไล่กลับไปจนหมด นางให้เหตุผลว่านางนั้นรักความสงบ ไม่ชินกับการมีคนปรนนิบัติจำนวนมากถึงเพียงนั้น
ทว่าสตรีที่แต่งกายจนสวยเพริศพริ้งนอกจวนนั้นเป็น้องสาวของหวางเฟยจริงๆ หรือ เหตุใดจึงแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้เล่า ทั้งท่าทางยโสไร้เหตุผล ต่อให้บีบบังคับเช่นใดก็มิยอมไป
“นางมิอยากไปก็ตามใจนาง นางอยากจะรอก็รอไป ดูสิว่านางจะรอไปได้กี่ชั่วยาม”
“เหนียงเหนียง...” ท่านลุงฝูอยากกล่าวสิ่งใดสักอย่างแต่ถูกมู่จื่อหลิงตัดบท
“เอาเถิด หากเกิดเื่เปิ่นหวางเฟยจะรับผิดชอบเอง ออกไปได้แล้ว” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างหมดความอดทน หากยังยืดเวลาต่อไปนางก็มิต้องคิดจะไปสวนจิ้งซินแล้ว
เห็นมู่จื่อหลิงเหมือนจะสิ้นความอดทน ท่านลุงฝูจึงมิกล้ากล่าวสิ่งใดให้มากความอีก ได้แต่ส่งเสียงทูลลา “บ่าวทูลลา”
“เสี่ยวหาน สั่งให้คนรถนำรถม้าไปจอดที่ประตูหลัง พวกเราจะไปทางประตูหลังกัน” มู่จื่อหลิงสั่งเสี่ยวหาน มู่อี๋เสวี่ยยังคงอยู่ที่ประตูใหญ่ ให้นางเห็นเข้ายิ่งไม่ยืดเวลาออกไปอีกหรือ นางจึงยอมลดเกียรติออกทางประตูหลังอย่างไรเล่า
“เ้าค่ะ นายน้อย” เสี่ยวหานตอบรับขอตัวออกไป
ไม่นาน มู่จื่อหลิงและเสี่ยวหานก็มาขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่สวนจิ้งซินตั้งอยู่
“เสี่ยวหาน เ้ารู้หรือไม่ว่าปีนั้นท่านแม่ข้าป่วยได้อย่างไร” มู่จื่อหลิงคิดว่าแปลกนัก
มารดานางป่วย แล้วบิดานางก็ส่งมู่จื่อเย่ออกไปอย่างลับๆ ทั้งยังมีเหล่าไท่จวินที่ไปวัดชิงอันในเวลานั้น ส่วนนางอยู่ที่จวนสกุลมู่เพียงลำพัง เื่เหล่านี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร
“เื่นี้บ่าวก็มิใคร่กระจ่างนัก ปีนั้นบ่าวเองก็ยังเล็ก แต่มีครั้งหนึ่ง บ่าวแอบได้ยินมารดาของบ่าวและท่านแม่ทัพกำลังคุยกันว่านายหญิงหลี่เหมือนจะโดนลอบทำร้ายเ้าค่ะ” เสี่ยวหานกล่าวอย่างคลุมเครือ
มู่จื่อหลิงทราบว่า ป้าเยวี่ย มารดาของเสี่ยวหานเป็สาวใช้ประจำตัวของหลี่เอิน หลังจากหลี่เอินล้มป่วยก็ตามไปดูแลนางที่สวนจิ้งซิน ก่อนจากไปจึงมอบหมายให้เสี่ยวหานดูแลนาง
ตอนนั้นเสี่ยวหานเรียกนางว่านายน้อยนางยังรู้สึกว่าแปลก ทุกคนต่างก็เรียกขานนางว่าคุณหนูมิใช่หรือ เสี่ยวหานกลับบอกว่าป้าเยวี่ยให้ตนเรียกขานนางว่านายน้อย ให้เสี่ยวหานปกป้องนางไปชั่วชีวิต ไม่ทอดทิ้งและไม่ทรยศ ส่วนเหตุผลในเวลานั้นป้าเยวี่ยมิได้เอ่ยสิ่งใด
หลังจากมารดานางป่วยหนักสกุลมู่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ข้างในต้องมีความลับอันใดอยู่แน่
รถม้าเดินทางราวสองชั่วยาม ในที่สุดพวกนางก็มาถึงสวนจิ้งซิน ที่แห่งนี้เป็ดินแดนในอุดมคติจริงดังคาด ูเางดงามสายน้ำใสกระจ่าง ทิวทัศน์ทั้งหมดราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด เงียบสงบงดงามยิ่ง
ขณะที่พวกนางลงจากรถม้าเตรียมเข้าไป ก็เห็นมู่เจิ้นกั๋วยกอ่างไม้ออกมาจากด้านใน แม้กล่าวว่าร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามถืออ่างไม้นั้นช่างไม่เข้ากันเลย ทว่าก็มิได้น่าขบขันแม้แต่น้อย
เนื่องจากเกรงว่าจะมีคนมารบกวน เขาจึงมิได้นำบ่าวรับใช้มามากเกินความจำเป็ ในสวนจิ้งซินมีเพียงเขา หลี่เอิน ป้าเยวี่ยเพียงสามคน ยามปกติการดูแลหลี่เอินนั้นล้วนเป็เขาลงมือทำเป็ส่วนใหญ่ ป้าเยวี่ยรับผิดชอบเพียงการปัดกวาด หุงหาข้าวปลาอาหาร
“ท่านพ่อ หลิงเอ๋อร์มาเยี่ยมท่านแม่” มู่จื่อหลิงชิงเดินเข้าไปก่อนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา
มู่เจิ้นกั๋วได้ยินเสียงก็ชะงักฝีเท้า หันไปมองผู้มาใหม่ตามเสียงพูด ใบหน้าที่ปรากฏแววอ่อนแรงไม่ได้มีความรู้สึกอันใดมาก ยังคงเรียบเฉย เขามองอยู่ครู่หนึ่ง ถึงส่งสัญญาณให้นางเดินไปทางห้องที่อยู่ด้านหลังเขา พลางพูดดอย่างช้าๆ “เข้าไปเสียสิ”
ไม่มีความรู้สึกมากเกินจำเป็ ไม่มีวาจาอื่นใด กล่าวจบก็ยกอ่างไปยังอีกห้องที่อยู่ด้านนอก
บทสนทนาที่เรียบง่ายกระชับ เหมือนกับแค่ตอบผู้ที่ถามทางผู้หนึ่งเท่านั้น
มู่จื่อหลิงเห็นมู่เจิ้นกั๋วมิได้เอ่ยสิ่งใด นางก็มิได้ถามให้มากความ พูดกำชับกับเสี่ยวหาน จากนั้นตนจึงยกเท้าเข้าห้องไป
เพียงเข้าห้องไป มู่จื่อหลิงก็มองเห็นผู้ที่นอนอยู่บนเตียงได้ั้แ่แวบแรก เมื่อเดินเข้าไปดู ดวงหน้านั้นมีความคล้ายคลึงกับนางถึงหกส่วน บนใบหน้าซีดขาวนั้นไม่เห็นร่องรอยตามวัยเลยแม้แต่น้อย ทั้งกายั้แ่บนลงล่างไร้ซึ่งสีเื ราวกับเ้าหญิงนิทราที่หลับลึกมานานแล้ว
มู่จื่อหลิงเห็นภาพนี้เข้า ดวงตาก็พลันแสบขึ้นมาน้อยๆ อาจเป็จิตใจที่เชื่อมถึงกันของมารดาและบุตรสาว เมื่อเห็นมารดาที่นอนไร้ชีวิตชีวาบนเตียง ใจนางก็บีบรัดจนเ็ป
ผ่านไปครู่หนึ่งมู่จื่อหลิงจึงปรับอารมณ์ได้ เริ่มต้นใช้งานระบบซิงเฉินตรวจร่ายกายของหลี่เอินั้แ่บนลงล่างหนึ่งรอบ หลังตรวจเสร็จมู่จื่อหลิงก็ต้องใ อวัยวะภายในทั้งห้า [3] อวัยวะกลวงทั้งหก [4] นอกจากหัวใจที่มีสภาพสมบูรณ์แล้วนั้น ส่วนอื่นๆ ใกล้จะล้มเหลวทั้งหมดแล้ว เป็เพราะหัวใจที่เต้นอย่างช้าๆ ถึงรับรู้ได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่
ต้านมาได้นานหลายปีเยี่ยงนี้ หากปล่อยต่อไปคงเป็ตะเกียงที่น้ำมันใกล้หมด [5] แล้ว
ปีนั้นเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่ จึงทำให้สกุลมู่ผู้หนึ่งไม่รู้ว่าเป็ตายร้ายดี ผู้หนึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่กับตะเกียงน้ำมันชิงอิ๋งและพระพุทธรูปโบราณมาอย่างยาวนาน แล้วอีกผู้หนึ่งก็กลายเป็คนตายทั้งเป็
“ท่านแม่ท่านวางใจเถิด หลิงเอ๋อร์จะต้องรักษาท่านให้หายให้ได้เ้าค่ะ” มู่จื่อหลิงนั่งลงริมเตียง มือน้อยกอบกุมมือผอมบางของหลี่เอินแน่น นางกล่าวอย่างมุ่งมั่น
ขอแค่หัวใจไม่ล้มเหลว นางก็มั่นใจว่าจะต้องรักษาหลี่เอินจนฟื้นได้แน่ เพียงแต่โรคเช่นนี้เมื่อรักษาจนดีขึ้นแล้วก็จะยุ่งยากเล็กน้อย มิอาจหายเป็ปกติได้ แม้จะใช้เวลานาน
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะรักษาหลี่เอิน นางก็จำเป็ต้องผ่านการเห็นชอบจากมู่เจิ้นกั๋วเสียก่อน สิ่งนี้ก็เป็ความยุ่งยากอย่างหนึ่ง
นางสามารถใช้เื่ที่นางบอกพวกเล่อเทียนในตอนแรกว่า ได้กราบไหว้หมอเทวดาผู้ลึกลับคนหนึ่งเป็อาจารย์มาอธิบายทักษะทางการแพทย์ของตนได้ แต่ต่อให้มู่เจิ้นกั๋วเชื่อว่านางมีทักษะทางการแพทย์ จากความใส่ใจที่เขามีต่อหลี่เอินแล้ว เขาจะให้นางลงมือรักษาง่ายๆ ได้อย่างไร
ไม่สนแล้ว ลองไปคุยดูก่อน นางต้องคิดหาวิธีโน้มน้าวมู่เจิ้นกั๋วในเวลาที่อวัยวะยังไม่ล้มเหลวทั้งหมด แต่หากปล่อยเวลาต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ หลี่เอินคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นาน
มู่จื่อหลิงอยู่ในห้องอีกครู่หนึ่งจึงออกมา
ในลานเรือนเล็กๆ มู่เจิ้นกั๋วกำลังนั่งจิบชาบนม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไทร สีหน้ามีความเ็ปสายหนึ่ง ดูโดดเดี่ยวนัก
มู่จื่อหลิงเดินเข้าไปอย่างเป็ธรรมชาติ นั่งลงตรงหน้าเขาก่อนจะเอ่ยไปเรื่อยว่า “ท่านพ่อ เหตุใดจึงไม่เห็นป้าเยวี่ยเล่าเ้าคะ”
“ลงจากเขาไปซื้อสิ่งของ” มู่เจิ้นกั๋วมองมู่จื่อหลิงพลางกล่าว เขารู้สึกแปลกใจนักสำหรับการมาเยี่ยมเยือนของบุตรสาวในวันนี้
มู่จื่อหลิงมิได้พบมารดามาเป็สิบกว่าปีแล้ว เมื่อก่อนเขากลับไป มู่จื่อหลิงก็ปิดปากเงียบไม่ถามไถ่
ั้แ่มู่จื่อหลิงฟื้นขึ้นมาในวันนั้น แม้เขาและนางจะได้พูดคุยกันเพียงสั้นๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกอยู่เล็กน้อยว่า บรรยากาศสีหน้าท่าทางของมู่จื่อหลิงในเวลานี้เหมือนกับหลี่เอินในปีนั้นราวพิมพ์เดียวกัน แม้เมื่อก่อนนางจะมีรูปโฉมเหมือนหลี่เอิน ทว่าแววตากลับมิได้ใสกระจ่างเท่าในยามนี้
มู่จื่อหลิงเงียบไปครู่หนึ่งจึงเปิดปากเอ่ยว่า “อาการป่วยของท่านแม่...”
“เย็นมากแล้ว เ้ากลับไปก่อนเถิด” มู่จื่อหลิงยังมิทันพูดจบก็ถูกมู่เจิ้นกั๋วตัดบทเสีย เหมือนกับเกรงว่านางจะถามสิ่งใดออกมา
--------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โดนงูกัดหนึ่งครั้ง กลัวเชือกฟางไปสิบปี หมายถึงในอดีตเคยประสบกับสิ่งเลวร้าย ต่อมาเมื่อพบเจอเหตุการณ์คล้ายคลึงกันก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
[2] แผลเป็หายแล้วลืมความเจ็บ มีความหมายว่าเจ็บแล้วไม่จำ
[3] อวัยวะภายในทั้งห้า ประกอบไปด้วย ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต
[4] อวัยวะกลวงทั้งหก ประกอบไปด้วย สมอง ไขสันหลัง กระดูก เส้นเื ถุงน้ำดี มดลูก
[5] ตะเกียงที่น้ำมันใกล้หมด แปลว่า ชีวิตที่ใกล้มอดดับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้