ฮวาเหยียนเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง ดวงตาของนางเป็ประกายภายใต้หมวกนั่น
พนักงานผงะกับคำถามของนาง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเปิดปากพูดทันทีว่า "เื่นี้พวกข้าไม่รู้แล้วขอรับ ราคาของหญ้าิญญาลึกลับนี้เป็หลงจู้ที่คิดคำนวณเอาไว้"
“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกหลงจู้ของเ้าออกมา...”
ฮวาเหยียนกล่าว
ทุกคนล้วนต้องยอมแพ้ให้กับท่าทีที่ดูไม่ธรรมดายิ่งของฮวาเหยียน ในทีแรกนางดูใและมองว่าหญ้าิญญาลึกลับนั้นราคาสูงลิ่ว สักพักก็ถามถึงราคาซื้อขายหญ้าิญญาลึกลับ และตอนนี้นางก็ขอให้เรียกหลงจู้ของพวกเขาออกมา
หลงจู้ของหออู๋ิเป็คนที่อยากเจอเมื่อไหร่ก็ได้เจอั้แ่เมื่อไหร่กัน?
แท้จริงแล้วสตรีคนนี้โผล่มาจากที่ไหนกันแน่?
ในวินาทีต่อมาพนักงานพลันเอ่ยว่า "แม่นาง ในวันธรรมดาหลงจู้ของพวกเราไม่ค่อยมาที่นี่เท่าไรนัก อย่าว่าแต่ท่านเลย เราที่เป็ลูกจ้างของเขา หนึ่งปีก็ยากที่จะได้พบหน้า"
พนักงานกล่าว
เขาถูกข่มขู่ด้วยความดุดันโหดร้ายของฮวาเหยียนจนไม่กล้าโกรธแต่ในแววตาของเขากลับกระวนกระวายอย่างไม่อาจอธิบายได้
ในฐานะลูกจ้างแห่งหออู๋ิ สามารถเห็นตระกูลสูงศักดิ์ผู้มั่งคั่งได้มากมาย แต่สิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุดคือพวกที่มาอยู่ที่โต๊ะคิดเงินแต่กลับไม่มีเงินแม้แต่น้อย
ฮวาเหยียนใยจะไม่รู้ว่าเ้าหนุ่มนี่ขายผ้าเอาหน้ารอดเพื่อให้ผ่านๆ ไป? หลังจากคิดดูอีกรอบแล้วก็เข้าใจเหตุผล นางหัวเราะเย้ยหยัน คิดแล้วจึงรู้ว่าเดิมทีตัวเองถูกเ้าหมอนี่ดูถูกดูแคลนอยู่ แต่นางไม่ได้วางแผนคิดบัญชีเ้าหนุ่มนี้ เสียศักดิ์ศรีเอาเปล่าๆ
เฉิงอินที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกฮวาเหยียนทำให้สับสนไม่น้อยเช่นกัน แต่นางเพียงรู้สึกว่าฮวาเหยียนอาจจะสนใจหญ้าิญญาลึกลับนี้ แต่คงไม่มีเงินมากขนาดนั้น...
แววตาของนางดูมิอาจหักใจ ทั้งยังดูสับสนยิ่งนัก ถ้าจะให้พูดก็คือหญ้าิญญาลึกลับนี้มีความสำคัญต่อนางมากเพราะนางปรารถนาจะส่งมันให้กับผู้อื่น แต่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านางนี้ก็เป็ผู้มีพระคุณต่อนาง หากไม่ใช่เพราะฮวาเหยียนยื่นมือเข้ามาช่วย นางก็คงยากที่จะรักษาหญ้าิญญาลึกลับนี้เอาไว้ได้...
หลังจากที่ต่อสู้ดิ้นรนภายในจิตใจอยู่นาน แม่นางเฉิงอินก็เดินเข้ามาหาฮวาเหยียน "แม่นาง หากท่าน้าหญ้าิญญาลึกลับนี้..."
นางเปิดปากเอ่ย
ฮวาเหยียนที่กำลังครุ่นคิดเื่ต่างๆ อยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของแม่นางเฉิงอินก็กลับมารู้สึกตัว พลันมองเห็นดวงตาของเฉิงอินที่ต่อสู้ดิ้นรนและมิอาจหักใจ เมื่อนึกถึงคำพูดของนางก็เข้าใจถึงความหมายของสตรีผู้นี้ทันที นาง้าจะมอบหญ้าให้กับตน?
หากจำไม่ผิด นางอยากส่งมอบมันให้กับสหายของนาง ซึ่งในตอนนี้เป็ความเข้าใจผิดว่าฮวาเหยียนอยากได้หญ้านี้ ดังนั้นนางจึงยอมสละของรักชิ้นนี้อย่างมิอาจหักใจได้ลง
ช่างเป็สตรีที่ดียิ่งนัก
ฮวาเหยียนหรี่สายตามอง นางขยับตัวไปข้างหน้าแม่นางเฉิงอินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยินว่า “ข้าไม่้ามัน กลับกันแล้ว ข้าไม่ปรารถนาให้ท่าน้ามันเช่นกัน ข้ามีหญ้าิญญาลึกลับอยู่และจะขายให้ท่านต้นหนึ่ง ราคาเอาเพียงครึ่งเดียว ดีหรือไม่?"
“หา? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวาเหยียน เฉิงอินไม่ได้ตอบสนองกลับไปสักพัก นางเหม่อลอยด้วยแววตาว่างเปล่าพร้อมกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าบอกว่า ข้ายังมี...”
ฮวาเหยียนเห็นเฉิงอินเหม่อลอยอยู่ พลันรู้สึกว่าดวงตาที่เหม่อลอยไร้ิญญาของนางช่างน่าขันนัก นางจึงกระแอมไอและกำลังจะอธิบายอีกรอบ ทันใดนั้นที่หน้าประตูกลับเกิดเสียงแหลมดังขึ้น
"ผียากจนตนนี้มาจากที่ใดกัน เสียสายตาจริงๆ “
ทุกคนรีบมองตามเสียงไปทางประตูทันที
ที่ประตูใหญ่ มีสตรีคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้คนหนึ่ง
สตรีผู้นั้นมีหน้าตาไม่นับว่างดงามนัก ผิวคล้ำกระดำกระด่างเล็กน้อย ใบหน้ากลม แม้ว่าองคาพยพทั้งห้าของนางจะปกติดี แต่การเอามาประกอบรวมกันแบบนี้ ก็เกรงว่าจะต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้งกันเลยทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางสวมชุดสีเขียวอ่อนที่ทำให้ผิวของนางเข้มขึ้นสามส่วน
ฮวาเหยียนมอง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น สตรีคนนี้โผล่มาจากที่ไหนกัน?
ผียากจน? พูดถึงนางหรือ?
นี่มันเื่อะไรกัน นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ยังจะเป็เป้าหมายอีกหรือ?
"เ้าเป็ใคร? ข้ารู้จักเ้าหรือไม่? "
ฮวาเหยียนใช้นิ้วเคาะโต๊ะคิดเงิน ใบหน้าของนางภายใต้หมวกเต็มไปด้วยความรำคาญใจ
แต่สตรีคนนั้นกลับหัวเราะเยาะเย้ย "ข้าเป็ใคร? ผียาจกเช่นเ้ายังไม่คู่ควรจะทราบ”
น้ำเสียงนั้นช่างอวดดีเสียจริง
ฮวาเหยียนในยามนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา พูดจาเสียดสีซ้ำแล้วซ้ำเล่าใส่ ก็คงจะต้องรู้สึกอึดอัดใจกันทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วไม่รอให้นางได้เอ่ยอันใด สตรีคนนั้นก็ะโขึ้นมาอีกครั้ง
“มู่เฉิงอิน บัดนี้เ้าไม่เลือกคบสหายหน่อยหรือ กระทั่งผียาจกเช่นนี้เ้าก็ยังจะคบหาเป็สหายอีก เกรงว่าเ้าคงจะมิได้ตาบอดมองคนผิดไปแล้วกระมัง?”
สตรีคนนั้นเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่ฮวาเหยียน ก่อนจะจ้องไปที่แม่นางเฉิงอินพร้อมกับเปิดปากพูดด้วยถ้อยคำที่ประชดประชัน
นางยังมีท่าทีสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่น ใช้ชีวิตราวกับมีใครติดหนี้นางก็ไม่ปาน
ฮวาเหยียนกะพริบตาแล้วจึงได้รู้ว่าที่แท้จริงแล้วนั้นหญิงสาวที่อยู่ข้างนางมีแซ่มู่เช่นเดียวกัน นับว่าเป็แซ่ที่พ้องเสียงกับแซ่ของนาง และนับว่าเป็โชคชะตาเช่นกัน และนางก็เข้าใจแล้วว่าสตรีที่แสนกล้าหาญคนนี้กำลังโจมตีมู่เฉิงอินอยู่
หลังจากที่สตรีคนนี้เอ่ยเรียกนามของมู่เฉิงอิน เสียงกระซิบฮือก็ดังขึ้นในหออู๋ิทันที "มู่เฉิงอิน? ตระกูลมู่ผู้รู้จักกันในนามตระกูลปัญญาชนผู้รู้หนังสือหรือ? "
"ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้น คุณหนูแห่งตระกูลมู่มีนามว่ามู่เฉิงอิน นางเป็กุลสตรีในห้องหอที่แท้จริง เป็สตรีผู้มีความรู้ จิตใจดี ประพฤติดีงาม และมาจากตระกูลที่ดี"
ประสาทััการได้ยินของฮวาเหยียนนั้นยอดเยี่ยม เมื่อนางได้ยินเสียงกระซิบของคนเ่าั้ นางก็ได้รู้ภูมิหลังของมู่เฉิงอิน หญิงสาวถอนหายใจ มิน่าเล่าสตรีคนนี้ถึงได้มีกลิ่นอายของหนอนหนังสือ ที่แท้ก็เติบโตมาในตระกูลที่สูงศักดิ์และถูกครอบครัวหล่อหลอมกล่อมเกลาเป็อย่างดีนี่เอง
เฮ้อ ไม่แปลกใจเลยที่สตรีคนนี้ทำให้นางรู้สึกสบายตายิ่งนัก
ฮวาเหยียนพยักหน้าด้วยความชื่นชม
แต่คราวนี้ เสียงกระซิบพลันดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า เมื่อไม่นานมานี้แม่นางตระกูลมู่ผู้นี้กำลังคุยเื่การแต่งงานกับบุตรชายคนโตแห่งจวนท่านอ๋องมู่ อยู่ในขั้นของการพูดคุยเื่การตบแต่งแล้ว ทั้งสองตระกูล ตระกูลหนึ่งรอบรู้หนังสือ ส่วนอีกตระกูลเก่งกาจด้านการต่อสู้ ช่างเป็คู่แท้์สร้างเสียจริง”
ฮวาเหยียนกำลังตั้งใจฟัง แต่เมื่อได้ยินคนพูดถึงตระกูลมู่ นางก็รู้สึกตกตะลึงทันที
จวนท่านอ๋องมู่
จวนท่านอ๋องมู่ไหนกัน?
นั่นไม่ใช่ตระกูลของนางหรือ?
ฮวาเหยียนเกือบคิดว่าตัวเองได้ยินผิดแล้ว หรือว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้มีนามว่ามู่เฉิงอินจะเป็พี่สะใภ้ที่ยังไม่ได้แต่งเข้าจวนของนาง?
ไอ๊หยา ไอ้บ้าเอ้ย!
ฮวาเหยียนถูกข้อมูลที่เพิ่งได้ยินมา กระทบกระเทือนสมองอย่างแรงจนทำให้สมองว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง
ในวันที่นางกลับมา นางได้ยินคนคุยกันบนการเดินทางที่ยาวนาน ว่ากันว่าพี่ชายคนโตของตระกูลมู่กำลังพูดคุยเื่งานแต่งงานอยู่ แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า วันนี้จะได้พบกับหญิงสาวคนนั้น
ทันใดนั้นดวงตาของฮวาเหยียนปรากฏเพลิงลุกไหม้
เดิมทีก็มองว่าแม่นางเฉิงอินคนนี้สบายตาแล้ว แต่ตอนนี้ยิ่งมองยิ่งพอใจมากขึ้นไปอีก
โชคดีที่ฮวาเหยียนสวมหมวกเอาไว้จึงสามารถปกปิดดวงตาที่เร่าร้อนได้ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบนั้นหวาดกลัวก็เป็ได้
...
ในยามนั้นใบหน้าเล็กๆของมู่เฉิงอินพลันแดงขึ้น ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอ นางเม้มริมฝีปากบางและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
นางได้ยินเสียงกระซิบกระซาบรอบๆ ตัวนาง ทั้งสตรีที่สร้างปัญหาให้นางก็ยืนอยู่ตรงหน้าของนางและเปิดเผยตัวตนของนาง ซึ่งคำพูดเ่าั้ก็ไม่น่าฟังเลยสักนิด ทว่านางกลับไม่สามารถตอบโต้ได้
ฮวาเหยียนมองออกในคราเดียว
พี่สะใภ้ที่ยังไม่ตบแต่งเข้ามาของนางถูกคุกคามโดยตัวตนของอีกฝ่าย ท่าทีราวกับโกรธแค้นแต่ไม่กล้าพูด
ดวงตาของฮวาเหยียนเป็ประกาย ตระกูลมู่ของมู่เฉิงอินนั้นสูงส่ง บรรพบุรุษของพวกเขาเป็ถึงราชครูของฮ่องเต้ แม้ว่าคนในตระกูลรุ่นหลังจะค่อยๆ เกษียณจากราชสำนัก แต่ลูกหลานของตระกูลมู่ก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากบรรพบุรุษและยังคงอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงอยู่ดี
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีที่น่าเกลียดและใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ มู่เฉิงอินกลับไม่กล้าตอบโต้ นั่นก็หมายความว่าฐานะของอีกฝ่ายนั้นสูงกว่านัก
นางคือใครกันเล่า?
...
ฮวาเหยียนขมวดคิ้ว
ในยามนั้น แม่นางเฉิงอินเข้ามาใกล้ฮวาเหยียน นางลดเสียงลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
“แม่นาง ข้าขอโทษ เป็ข้าที่ดึงเ้ามาพัวพันกับปัญหานี้ คนคนนี้นาง... มาเพื่อหาเื่ข้า”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ดวงตาของหญิงสาวผู้งดงามเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งการขออภัย ฮวาเหยียนได้เห็นเช่นนั้นก็ทำให้ทั้งใจอ่อนยวบไปหมด
หากพูดว่าก่อนหน้านี้คือวีรบุรุษผู้ช่วยสาวงาม นั่นเป็ความดีความชอบของเสี่ยวไป๋ แต่ตอนนี้หลังจากที่ฮวาเหยียนรู้แล้วว่ามู่เฉิงอินอาจจะกลายเป็กลายเป็พี่สะใภ้ของตนเอง นางก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะเป็เพียงผู้ชมอีกต่อไป?
เพราะนางเป็คนที่ถือหางพวกตัวเองเป็ที่สุด
แม้ว่าหญิงสาวตระกูลมู่คนนี้จะยังไม่แต่งเข้าจวนตระกูลนาง แต่เมื่อครู่นางได้รับเอาสตรีคนนี้เป็พี่สะใภ้ของตัวเองแล้ว
“พี่หญิงมู่ ท่านเรียกข้าว่าน้องหญิงเหยียนก็ได้ ว่าแต่แม่หญิงคนนี้นางเป็ใครกันหรือเ้าคะ?”
ฮวาเหยียนเอนตัวไปด้านหน้าแล้วถามอย่างอ่อนโยน
มู่เฉิงอินรู้สึกประหลาดใจ หืม? น้องหญิงเหยียน? นางกะพริบตาเพราะจู่ๆ ฮวาเหยียนก็ทำทีสนิทสนมกับนาง จนนางไม่อาจตอบสนองกลับได้ทัน
นางกำลังคิดว่า หญิงสาวผู้มีบุญคุณคนนี้ั้แ่เข้าประตูมาก็มีท่าทีเฉยชาเยือกเย็น แม้ว่าจะช่วยนางเอาไว้ แต่คำพูดของนางกลับแสดงถึงความอ่อนโยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองคนยังไม่ทันได้แนะนำตัวกันเลยด้วยซ้ำ เหตุใดจู่ๆ ถึงสนิทกันเล่า? ให้เรียกว่าพี่หญิงน้องหญิงเลยหรือ?
ดวงตาของนางบังเกิดความสงสัยเล็กน้อยแต่ในใจกลับรู้สึกชื่นชมมากขึ้นไปอีก นางจึงกระซิบตอบกลับว่า “ในเมื่อน้องหญิงเหยียนเรียกข้าว่าพี่หญิง ถ้าอย่างนั้นเฉิงอินก็จะขอทำตัวไร้ยางอายรับมันไว้ วันนี้ออกจากจวน ได้รู้จักกับน้องหญิงนับเป็โชคดีของเฉิงอิน เพียงแต่วันนี้เฉิงอินทำให้น้องหญิงต้องมาพัวพันกับเื่ราวเหล่านี้ หากมีวันหน้า จะขอเชิญน้องหญิงไปที่จวนเพื่อเป็การขออภัย”
เฉิงอินกล่าว
ฮวาเหยียนสามารถรับรู้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของนาง
นี่เป็หญิงสาวที่อ่อนโยนและมีจิตใจที่งดงาม ฮวาเหยียนยังไม่ได้บอกตระกูลหรือครอบครัวของตนให้นางรู้และนางก็ไม่ได้ถาม เพียงพูดว่าจะชวนไปที่จวน นางก็ล้วนคิดเพื่อตนแทนหมดแล้ว
ในขณะนี้มู่เฉิงอินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ "คนผู้นี้คือองค์หญิงฉู่รั่วหลานแห่งต้าโจว นางมีความแค้นเก่ากับข้า ดังนั้นนางจึงทำตัวร้ายกาจกับข้า อีกทั้งนางยังดึงเอาน้องหญิงเข้ามารับการด่าทอด้วย จงอดทนอีกสักหน่อยเถิด ในขณะที่ยังมีความอดทนอยู่นี้ก็ขอให้น้องหญิงอย่าเพิ่งเผชิญหน้ากับนาง เพื่อเลี่ยงการที่นางจะจดจำบัญชีหนี้ที่ต้องสะสางต่อเ้า "
มู่เฉิงอินกระซิบกับฮวาเหยียน
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิงอิน ความใของฮวาเหยียนก็ลอยผุดอยู่บนหน้าของนาง นางไม่คาดคิดเลยว่าสตรีที่ประตูจะเป็ถึงองค์หญิงแห่งต้าโจว
ดังนั้น พี่สะใภ้เฉิงอินเป็เพราะงดงามและเก่งกาจจึงถูกองค์หญิงท่านนั้นเกลียดเข้าหรือ?
ไม่น่าแปลกใจเลย ทั้งสองล้วนเป็สตรี องค์หญิงที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่อหน้ามู่เฉิงอินนั้น ด้วยความรู้สึกละอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งคู่สวมชุดสีเขียวเหมือนกัน ใส่ชุดสีเดียวกันไม่น่ากลัว ทว่าใครขี้เหร่กว่า ใครคนนั้นก็ต้องอับอายไป
เกี่ยวกับองค์หญิงแห่งต้าโจวผู้นี้ เมื่อพูดถึง นี่ก็เป็บุคคลในตำนานคนหนึ่ง เื่ราวของนาง ฮวาเหยียนก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน ประชาชนชาวต้าโจวทุกคนล้วนรู้ดีว่าในยุคของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีองค์หญิงเพียงพระองค์เดียว หนำซ้ำประวัติความเป็มาขององค์หญิงองค์นี้... ก็ยังยากที่จะอธิบาย
จะพูดว่าอย่างไรดี?
มารดาขององค์หญิงผู้นี้เดิมทีเป็หญิงสาวในชนบท เมื่อตอนที่พระองค์ออกศึก พระองค์ทรงถูกศัตรูซุ่มโจมตีจนได้รับาเ็สาหัส อย่างไรก็ตามกลับจับพลัดจับผลูระหกระเหินไปจนถึงหมู่บ้านบนูเาเข้าโดยบังเอิญ แม่ขององค์หญิงเป็บุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน ดังนั้นใน่พักฟื้นฮ่องเต้จึงเข้าไปพัวพันกับสตรีคนนี้
ต่อมา เมื่อฮ่องเต้กลับมาที่ต้าโจวแล้ว เดิมที่คิดว่ามันเป็เพียงรักระยะสั้น ไม่คิดว่าในภายหลังสตรีคนนั้นจะพาบุตรสาวมาหาถึงหน้าประตู
เด็กคนนี้ ก็คือตู้รั่วหลาน เกิดในชนบท เติบโตขึ้นมาในตลาด
ในเวลานั้นฮ่องเต้ยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เป็เพียงหนึ่งในองค์ชายอีกหลายพระองค์ สุดท้ายจึงเลยยอมรับเด็กคนนี้เป็บุตรสาว ต่อมาหลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ แม่นางตู้รั่วหลานคนนี้จึงกลายเป็องค์หญิงที่ถูกต้องตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ตอนที่มารดาของนางมาส่งถึงต้าโจว มารดาของนางกลับป่วยหนักยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่นานก็ตายไป
ฮ่องเต้รู้สึกขอบคุณและระลึกถึงความยากลำบากของนาง ดังนั้นเขาจึงไม่เปลี่ยนชื่อของตู้รั่วหลาน แต่ให้ใช้นามสกุลของฮ่องเต้แทน นางจึงกลายเป็ฉู่รั่วหลานไปโดยปริยาย
ฉู่รั่วหลานคนนี้ หนึ่งไม่ได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ สองไม่มีมารดาคอยช่วยเหลือ อีกทั้งพฤติกรรมของนางก็หยาบคายแข็งกระด้าง ท่ามกลางราชวงศ์และขุนนาง ลับหลังนางมักจะถูกหัวเราะเยาะเสมอ
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางก็ยังคงได้รับสมญานามว่าองค์หญิงแห่งต้าโจวอยู่ดี เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางยังมีเืของฮ่องเต้ไหลเวียนอยู่ครึ่งหนี่ง
แต่ฮวาเหยียนคาดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรจะเติบโตมาเป็เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นองค์รัชทายาทเฮงซวยคือน้องชายของนาง บุรุษผู้มีความงามที่ทำให้โลกไร้ซึ่งสีสันนั้น แต่นาง... เกรงว่าตอนที่นางเกิด หน้าของนางคงจะกระแทกพื้นก่อนกระมัง
โตขึ้นมาถึงได้หยาบเกินถึงเพียงนี้
“ข้าเข้าใจแล้วเ้าค่ะ พี่หญิงเฉิงอิน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้