โต๊ะของหลงเซี่ยวอวี่และหลงเซี่ยวเจ๋อตั้งอยู่ติดกัน แต่เว้นระยะห่างไว้่หนึ่ง นางนั่งลงข้างกายหลงเซี่ยวอวี่โดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด เนื่องจากเป็โต๊ะเดียวกัน เก้าอี้จึงอยู่ใกล้กันเป็อย่างยิ่ง นางััถูกอาภรณ์ของเขาโดยมิได้ตั้งใจ
หลงเซี่ยวอวี่รู้สึกว่ามู่จื่อหลิงััโดนเสื้อผ้าของเขา มือที่เตรียมจะยกจอกเหล้าจึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยกจอกเหล้าขึ้นมาละเลียดชิมอย่างช้าๆ
มู่จื่อหลิงไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำนี้ของหลงเซี่ยวอวี่เลยแม้แต่น้อย และไม่รู้สึกว่าการััโดนเสื้อเขาจะมีอะไรไม่ถูกตรงไหน ที่นั่งใกล้เยี่ยงนี้ อาภรณ์ยุคโบราณก็อลังการถึงเพียงนั้น มิปรารถนาให้โดนคงยากแล้ว เมื่อนั่งข้างกายเขาได้กลิ่นดอกเหมยเย็นสะอาดของตัวเขา มู่จื่อหลิงรู้สึกสงบอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงนั่งลงข้างหลงเซี่ยวอวี่ทั้งยังใกล้เสียขนาดนั้น ก็ใจนแทบสิ้นชีวิต เกรงว่าหลงเซี่ยวอวี่จะผลักนางกระเด็นในหนึ่งฝ่ามือ ต้องรู้เสียก่อนว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นมาด้วยตาของตนเอง สตรีไม่สนความเป็ความตายพุ่งเข้ามาใกล้พี่สาม ทั้งไม่ทันโดนตัวก็ถูกผลักกระเด็นในหนึ่งฝ่ามือจนกระอักเืออกมา
เหล่าหญิงสาวในงานเลี้ยงพวกนั้นล้วนตั้งตารอฉีอ๋องผลักมู่จื่อหลิงกระเด็นในฝ่ามือเดียวอย่างยินดีกับโชคร้ายของผู้อื่น ทว่ารออยู่นานก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด เห็นเพียงฉีอ๋องนั่งละเลียดสุราด้วยท่าทางถือดี ราวกับว่าที่ด้านข้างเขาไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ และการเคลื่อนไหวนั้นก็สง่างามจนเหมือนกับจะดึงดูดผู้อื่นเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
มู่จื่อหลิงรู้สึกว่ามีสิ่งที่ไม่ใคร่จะถูกต้องนัก และเมื่อกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่อยู่ในงาน... เดี๋ยวก่อนนะ เหตุใดคนในงานถึงพากันจ้องมาที่นางเล่า ทั้งยังมีสตรีกลุ่มนั้นที่เปลี่ยนสีหน้าเร็วเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ เมื่อมองนางก็มีท่าทางยินดีในโชคร้ายของผู้อื่น เมื่อมองหลงเซี่ยวอวี่กลับเป็ท่าทางชม้อยชายตา
นางยังมิทันทำสิ่งใด มาถึงก็ทำให้คนเกลียดชังเข้าเสียแล้ว สตรีเหล่านี้ที่เห็นตนเป็ศัตรู มู่จื่อหลิงคิดว่าต้องมีสาเหตุมาจากบุรุษด้านข้างอย่างแน่นอน
นางคิดพลางเหลือบสายตาขึ้นมองอย่างเงียบเชียบว่าหลงเซี่ยวอวี่ที่ถูกสตรีเหล่านี้จ้องมองนั้นมีสีหน้าเช่นใด เมื่อมองก็เกือบตื่นตะลึง เขาละเลียดสุราอย่างสง่างามราวกับข้างกายไม่มีผู้คน ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย สุดยอดจริงๆ
เวลานี้เองหลงเซี่ยวอวี่ก็หันหน้ามองมายังนาง มู่จื่อหลิงจึงรีบดึงสายตากลับมา ใจนางเต้นตึกตัก ใจนหัวใจจะวาย
ฉากนี้เมื่อมองจากสายตาของคนภายนอกก็เหมือนกำลังแสดงความรักต่อกัน ไทเฮาที่อยู่ด้านข้างทนมองต่อไปไม่ไหว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงแววตำหนิ “เซี่ยวอวี่ หลิงเอ๋อร์ เหตุใดวันนี้จึงมาช้านักเล่า ดูสิงานเลี้ยงจะเลิกอยู่แล้ว”
สายหรือ? มู่จื่อหลิงจำได้ว่าพวกเขาออกจากจวนเร็วนัก แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด บุรุษผู้นี้จึงให้รถม้าจอดที่ด้านนอกวังหลวง ก่อนที่พวกเขาจึงเดินเท้าเข้ามาแทน อาจจะเสียเวลาจากการเดินกระมัง
ทว่างานเลี้ยงในวังจะจบแล้วก็เป็เื่ดี ย่อมลดความวุ่นวายลงไปได้ไม่น้อย และไม่ต้องเผชิญหน้ากับเหล่านางสนมและสตรีพวกนี้นานนัก หากนางมาเองละก็คงนั่งรถม้ามาถึงหน้าประตูวังหลวงเป็แน่ หรือหากมาสายคงมิอาจรอดตัวไปอย่างสงบสุขและผ่อนคลายเช่นนี้ด้วย
หลงเซี่ยวอวี่เจตนาถ่วงเวลา มู่จื่อหลิงไตร่ตรองอย่างชาญฉลาด แล้วก็สงสัยว่าหลงเซี่ยวอวี่จะตอบเช่นใด ทว่าคำตอบของหลงเซี่ยวอวี่ก็ต้องทำให้นางตกตะลึงอีกครั้ง
“หวางเฟยของเปิ่นหวางเข้าวังเป็ครั้งแรก เปิ่นหวางจึงพานางไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม วันหน้าเข้าวังจะได้มิหลงทาง” หลงเซี่ยวอวี่พูดอย่างเรียบเฉย น้ำเสียงไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใด ไหนเลยจะรู้ว่าในใจผู้อื่นถูกคลื่นอารมณ์เช่นใดสาดซัดจนพลิกคว่ำ
วาจาของหลงเซี่ยวอวี่นั้นถ้าไม่ทำคนใตาย คงไม่คิดเลิกรา เขากล่าวต่อไป “เห็นนางชมชอบสวนอวี้ฮวา เปิ่นหวางจึงเดินเป็เพื่อนนางครู่หนึ่ง”
แม้หลงเซี่ยวอวี่จะกล่าวเช่นนี้ด้วยสีหน้าดังเดิม แต่ในความคิดของคนนอกนั้นเหมือนกับว่าพวกเขาสองสามีภรรยารักกันเหลือเกิน เพราะเกรงว่าหวางเฟยของเขาจะหลงทางจึงพานางไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เพราะหวางเฟยของเขาชมชอบจึงเดินเล่นที่สวนอวี้ฮวาเป็เพื่อนนาง
ฮ่องเต้ก็ถูกวาจาของหลงเซี่ยวอวี่ทำให้แปลกพระทัย จึงทรงไตร่ตรองวาจาของหลงเซี่ยวอวี่อย่างละเอียด
แต่ไหนแต่ไรเซี่ยวอวี่ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยง ทั้งไม่เคยกล่าวคำอธิบายแก่ผู้อื่น แล้วั้แ่เมื่อใดกันที่เขากล่าววาจาตั้งมากมายถึงเพียงนี้เพื่อสตรีเพียงผู้เดียว วันนี้การกระทำทั้งหมดของเซี่ยวอวี่ล้วนอยู่นอกเหนือไปจากการคาดเดาของเขา
สีหน้าของผู้อื่นก็เกือบจะเหมือนกันทั้งหมด ราวกับเพิ่งได้รับฟังวาจาที่สะท้านฟ้าะเืดิน เมื่อครู่ฉีอ๋องกล่าวกระไรนะ เดินเป็เพื่อนหวางเฟยทำความคุ้นเคยสภาพแวดล้อม? เดินเล่นที่สวนอวี้ฮวา? ช่างทำให้คนฟังขวัญผวานัก หากมิได้ยินด้วยหูตนเอง ต่อให้ตายก็ไม่เชื่อ
ผู้คนในงานก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน “เป็ไปได้อย่างไร ฉีอ๋องจะเดินเป็เพื่อนหวางเฟยได้อย่างไร ข้าต้องฟังผิดไปแน่”
“นั่นน่ะสิ เป็ไปไม่ได้ ฉีอ๋องเป็โรครักสะอาดนี่”
“แต่ว่าฉีอ๋องกล่าวด้วยตนเองเลยนะ”
“ข้าก็ได้ยินเช่นนั้น”
“ฉีหวางเฟยนั่งกับฉีอ๋อง ฉีอ๋องยังมิได้กล่าวอะไรเลย”
......
มู่จื่อหลิงจึงนึกถึงตอนที่มาถึงหน้าประตูวังแล้วพวกเขาก็ลงจากรถม้าเดินเข้ามา แรกเริ่มนั้นนางยังนึกแปลกใจ เป็ไปไม่ได้ที่รถม้าของหลงเซี่ยวอวี่จะมิอาจเข้ามาในวังหลวง ที่แท้หลงเซี่ยวอวี่ตั้งใจถ่วงเวลานี่เอง ทั้งยังพานางเดินวนรอบสวนอวี้ฮวาเสียหนึ่งรอบ
หลังเดินเข้าวังมา นางจึงหาความสำราญใจให้ตนโดยการชื่นชมทัศนียภาพในวังหลวง ซึ่งล้วนเป็สภาพแวดล้อมที่แปลกตาทั้งหมด ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเดินผ่านที่ใดไปบ้าง เวลาที่ใช้ในการเดินก็ลืมจนสิ้น
แต่ไม่ว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้ด้วยเหตุผลใด ในเมื่อเขาหาเหตุผลมาตามอำเภอใจเช่นนี้ แม้ไทเฮาจะทรงคิดเล็กคิดน้อยก็คงมิอาจกล่าวอันใดได้อีก อีกทั้งการกล่าววาจาเช่นนี้ ต่อหน้าคนนอกในยามนี้ก็ย่อมแปลว่าเขายอมรับในตัวนาง หรือหวางเฟยผู้นี้แล้ว และความรักของพวกเขาสองคนก็ดียิ่งนัก
นางเข้าใจได้เลาๆ ว่าที่หลงเซี่ยวอวี่กล่าวเช่นนี้มิใช่เพียงเพื่ออธิบาย หรือสนับสนุนนางเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็การประกาศากับไทเฮา เพื่อแสดงให้นางเห็น รวมถึงเล่นละครแสดงความรักต่อหน้าคนทั้งหมดด้วย
หลงเซี่ยวอวี่ ให้เล่นละครกับเ้าข้าเล่นได้ แต่ข้าไม่ยินยอมเป็เพียงตัวประกอบผู้หนึ่งที่หลังจากถูกใช้ประโยชน์จนหมดสิ้นก็ถูกถีบหัวส่งหรือจบชีวิตลง แม้ชีวิตข้า มู่จื่อหลิงจะไร้ค่า แต่ข้าก็มีศักดิ์ศรี ข้าเองก็หวงแหนชีวิตเช่นกัน
เพิ่งจะทะลุมิติมาก็ถูกไทเฮาใช้เป็กระสอบฟาง แต่งให้เ้าอย่างไม่ทันตั้งตัว หากเลือกได้ ข้าก็มิปรารถนาเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ของพวกเ้าหรอก
ในเมื่อแต่งให้เ้าแล้วก็คงมิอาจหลีกหนีาแย่งชิงบัลลังก์นี้ได้ จะรุ่งโรจน์หรือมอดม้วย ขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่าใช้ข้าเป็หมาก เพื่อให้ผู้อื่นปั่นหัวเล่น
ใบหน้าของไทเฮาชะงักไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา กล่าวกับมู่จื่อหลิงว่า “หลิงเอ๋อร์ ในเมื่อเ้าชอบสวนอวี้ฮวา เช่นนั้นต่อไปก็เข้าวังมาอยู่เป็เพื่อนอ้ายเจียบ่อยๆ เถิด หลิงเอ๋อร์คล่องแคล่วร่างเริงเช่นนี้ ช่างทำให้คนชมชอบนัก”
มู่จื่อหลิงแอบพูดในใจเงียบๆ สิ่งที่นางชอบคือสวนอวี้ฮวามิใช่ไทเฮาเสียหน่อย จำเป็ต้องเสแสร้งเอ็นดูถึงเพียงนี้เชียวหรือ อีกอย่างหากให้นางมาเดินเล่นในสวนอวี้ฮวาเป็เพื่อนจิ้งจอกเฒ่าเช่นไทเฮาผู้นี้บ่อยๆ มิสู้แทงนางหนึ่งดาบอย่างเปิดเผยเสียยังดีกว่า
ทว่าคิดไปคิดมา นางยังคงแย้มยิ้ม “หม่อมฉันเองก็อยากเข้าวังมาอยู่เป็เพื่อนไทเฮาเหมือนกันเพคะ แต่ว่าเพิ่งแต่งเข้ามา ในจวนจึงยังมีเื่จุกจิกอีกมากที่ต้องจัดการด้วยตนเอง มิอาจปลีกตัวมาได้ รองานเหล่านี้ว่างลงหม่อมฉันจะต้องเข้าวังมาถวายพระพรไทเฮาบ่อยๆ แน่เพคะ”
วาจาปราศรัยนี้ ครึ่งประโยคแรกนางฝืนใจ ครึ่งประโยคหลังจึงเป็สิ่งที่นางคิดจริงๆ ความหมายของประโยคนี้ก็คือ พี่สาวธุระเยอะนัก ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเ้า รอพี่สาวมีเวลาก่อนค่อยว่ากัน
ไทเฮาได้ยินวาจาของมู่จื่อหลิง สีหน้าก็เริ่มไม่น่ามอง ทว่ายังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “หลิงเอ๋อร์เรียกอายเจียว่าเสด็จย่าเถิด อย่าได้เรียกอายเจียเช่นนั้นเลย แลดูเหินห่างนัก ย่าจะต้องรอให้เ้ามาหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแน่”
มู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดของไทเฮาก็อดด่าเงียบๆ มิได้ ‘เรียกเ้าว่าเสด็จย่า ข้าจะอ้วกน่ะสิ ข้ามีท่านย่าคนเดียวอยู่วัดชิงอัน หากใครไม่รู้คงคิดว่าข้าสนิทสนมกับไทเฮาเป็แน่’
และเื้ัประโยคนี้ของไทเฮามีคำพูดอื่นแฝงอยู่ มู่จื่อหลิงเข้าใจอยู่แล้ว ทว่านางกลับคร้านที่จะสนใจ ต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ นางไม่เชื่อว่าคนยุคปัจจุบันคนหนึ่งเช่นนางจะเอาชนะคนยุคโบราณไม่ได้
มู่จื่อหลิงเลี่ยงวาจาของไทเฮา ลุกขึ้นอย่างอ่อนหวาน ก้มศีรษะเล็กน้อยกล่าวว่า “หม่อมฉันแต่งให้ฉีอ๋อง รู้ฐานะตนเองดีว่าต้องรักษาสามคุณธรรมสี่จรรยา [1] ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี มิกล้ากล่าววาจาเพ้อเจ้อเพคะ”
ประโยคนี้ของมู่จื่อหลิงไม่เห็นไทเฮาอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง ทว่าไทเฮากลับหาข้อติเตียนใดๆ ไม่เจอ
หากนางเรียกไทเฮาว่าเสด็จย่าก็แปลว่านางไม่เคารพเชื่อฟังคำสามี และหลงเซี่ยวอวี่ก็มิได้เรียกนางว่าเสด็จย่า สามีภรรยาเสียงเดียวกัน นางจึงไม่จำเป็ต้องเรียก
นางไม่เกรงว่าไทเฮาจะหาเื่ เพราะนางผลักปัญหาไปที่หลงเซี่ยวอวี่แล้ว หลงเซี่ยวอวี่เรียกเมื่อใด นางก็เรียกเมื่อนั้น กลัวเสียแต่ว่าคงรอวันที่หลงเซี่ยวอวี่เรียกนางไม่ไหว
ใบหน้าของไทเฮาบิดเบี้ยว ดวงหน้าชราอดกลั้นต่อไปไม่ไหว ในบรรดาองค์ชายทั้งหมดมีเพียงหลงเซี่ยวอวี่ที่ไม่เรียกนางว่าเสด็จย่า ทว่านางก็ทำอันใดหลงเซี่ยวอวี่มิได้
สิ่งนี้เป็หนามตำใจนางมาโดยตลอด เหตุใดนางจึงนึกไม่ถึงว่ามู่จื่อหลิงจะตอบเช่นนี้ บ่มหนามในใจนางขึ้นมาอีกครั้ง
นี่เป็ครั้งแรกที่พบมู่จื่อหลิง ทุกสิ่งเกี่ยวกับมู่จื่อหลิงก่อนหน้านี้ล้วนฟังคนอื่นพูดมาอีกที และนางเองก็มิได้สงสัยเพิ่มแต่อย่างใด
ทว่าวันนี้ที่ได้พบเพียงแวบแรก มู่จื่อหลิงนิ่งสงบมาโดยตลอด ท่าทีของฉีหวางเฟยก็แสดงออกมาได้ดี ทั้งยังช่างเจรจาพาทีปานนี้ ไม่เหมือนกระสอบฟางโง่เง่าตามข่าวลือเลยแม้แต่น้อย
มู่จื่อหลิงเป็กระสอบฟางจริงหรือแกล้งเป็กันแน่ ดูท่าจะต้องส่งคนไปสืบให้ละเอียดเสียแล้ว ไม่ว่าจะจริงก็ดีจะปลอมก็ช่าง หากมาขวางทางนางล่ะก็ นางจะไม่ปล่อยไว้เป็อันขาด
สายตาคนทั้งหมดต่างก็มองไปที่หลงเซี่ยวอวี่ ล้วนรอให้เขาตอบ ทว่าหลงเซี่ยวอวี่ยังคงถือจอกเหล้าละเลียดชิมอย่างสง่างามและไม่แยแส ราวกับไม่คิดจะกล่าวสิ่งใด
หลงเซี่ยวอวี่เองก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างมู่จื่อหลิงและไทเฮาแล้ว แววตาปรากฏแววไม่คาดคิด ต้องกล่าวว่าเขาเองก็โดนวาจาคมคายของมู่จื่อหลิงทำให้ตกตะลึงเข้าแล้วเช่นกัน เขาไม่คิดว่ามู่จื่อหลิงจะกล้าหาญเช่นนี้ กล้าปฏิเสธคำพูดไทเฮา แล้วยังผลักปัญหามาที่เขา
และหลงเซี่ยวเจ๋อที่อยู่ไม่ไกลก็ปรบมือกู่ร้องในใจอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดเช่นกัน เขารู้ว่าพี่สะใภ้สามร้ายกาจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ กล้าหาเื่ไทเฮา รู้ว่าไทเฮามิกล้าทำอันใดพี่สาม ก็ลากพี่สามลงน้ำมาด้วยเสียเลย รับชะตากรรมร่วมกัน พี่สามกับพี่สะใภ้สามเหมือนกันไม่มีผิด ช่างแตกต่างกับคนทั่วไปนัก
ฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างราวกับรับรู้ความผิดปกติของไทเฮาจึงออกมาขัดตาทัพ นางยิ้มเบาบางกล่าวว่า “หลิงเอ๋อร์เพิ่งแต่งเข้ามา อย่าได้ลงมือลงแรงเองเสียทุกเื่เลย เื่เล็กน้อยก็มอบหมายให้บ่าวไปจัดการเสีย เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดย่อมเป็เื่เร่งแตกกิ่งผลิใบถึงจะถูก แม่รออุ้มหลานอยู่นะ”
ต้องกล่าวว่าประโยคนี้ของฮองเฮายอดเยี่ยมนัก ครู่เดียวก็กล่าวถึงหัวข้อสำคัญเสียแล้ว นี่สิถึงเป็การแสดงเปิดฉากของคืนนี้ เหล่าสนมขั้นผินขั้นเฟยผู้อื่นก็เริ่มกล่าววาจาเสริมอันไร้สาระขึ้นมา ยิ่งกล่าววาจาก็ยิ่งแตกกระจายออกไปเรื่อยๆ
“ฉีอ๋องและฉีหวางเฟยรูปโฉมหล่อเหลางดงามถึงเพียงนี้ ภายหน้าเสี่ยวซื่อจื่อต้องเกิดมารูปงามเป็แน่” หย่ากุ้ยเฟยรับสั่ง
“ดูฉีหวางเฟยเช่นนี้ สามปีได้อุ้มสองคนเป็แน่”
“ใช่ๆ ฉีหวางเฟยเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เสี่ยวซื่อจื่อในวันหน้าต้องฉลาดหลักแหลมเป็แน่”
“นั่นน่ะสิเพคะ”
วาจาแต่ละประโยคของเหล่าสนม ดูผิวเผินเป็เพียงคำประจบสอพลอ แต่กลับยัดไส้ด้วยเข็ม ไทเฮาเองก็รับรู้ความหมายของวาจาเหล่านี้ เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้สีหน้าของพระองค์จึงเริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
มู่จื่อหลิงก่นด่าอย่างเงียบๆ ‘ฮองเฮาผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก ครู่เดียวก็จับจุดสำคัญได้แล้ว แตกกิ่งผลิใบ? ทั้งยังสามปีอุ้มสองคน ผู้ใดมิทราบบ้างว่าฉีอ๋องเป็โรครักสะอาดไม่แตะต้องสตรี ผู้ใดมิทราบบ้างว่าคุณหนูใหญ่จวนมู่โง่เขลาไร้วิชา เป็กระสอบฟางที่ไม่มีดีอะไร ไหนจะไม่ฉลาดหลักแหลม สตรีในวังหลังนั้นล้วนร้ายกาจ ด่าผู้อื่นทางอ้อม’
------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สามคุณธรรมสี่จรรยา หนึ่งในคำสอนสตรีของจีนยุคศักดินาเกี่ยวกับการประพฤติตัวของสตรี
สามคุณธรรม ประกอบไปด้วย สตรีที่ยังไม่ออกเรือนเชื่อฟังบิดา สตรีออกเรือนเชื่อฟังสามี สตรีหม้ายสามีเสียชีวิตเชื่อฟังบุตร
สี่คุณธรรม ประกอบด้วย ประพฤติตนดีงาม วาจาไพเราะ หน้าตาเผ้าผมหมดจด ชำนาญงานฝีมือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้