เช้าวันต่อมา ไป๋เซี่ยเหอได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากนอกประตู ดูแล้วน่าจะมีผู้คนมาหานางไม่น้อย
‘ก๊อกๆๆ’
หลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงของซิ่วเอ๋อร์ก็ดังแว่วมา “คุณหนูใหญ่ตื่นหรือยังเ้าคะ?”
เมื่อกล่าวจบ ซิ่วเอ๋อร์ก็รีบถอยกลับด้วยท่าทีขลาดกลัว แต่นางกลับต้องเผชิญกับสายตาไม่สบอารมณ์ของไป๋หว่านหนิง นั่นทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที ถ้าอิงตามคำสั่งของไป๋หว่านหนิง นางควรถีบประตูออก เพื่อให้ผู้คนที่ตามมามองเห็นคุณหนูใหญ่ในสภาพที่แต่งกายไม่เรียบร้อย จะได้ทำลายชื่อเสียงของอีกฝ่าย
ทว่าหลังจากประสบกับเื่เมื่อวาน ซิ่วเอ๋อร์กลับขลาดกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หากไม่ทำตามคำสั่งของคุณหนูรอง อย่างมากที่สุดเมื่อกลับไปที่เรือนก็แค่ถูกคุณหนูรองดุด่าและตบตีสักยก ทว่าหากทำให้คุณหนูใหญ่ขุ่นเคืองอีกครา ชีวิตของนางอาจดับสิ้นก็ได้ แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้กริ่งเกรงคุณหนูใหญ่เช่นนี้ ทว่าััที่หกได้บอกนางว่า อย่าทำให้คุณหนูใหญ่ขุ่นเคืองใจอีกเป็อันขาด
ประตูถูกดึงให้เปิดจากข้างใน
ภาพที่ปรากฏสู่สายตาทุกคนคือหญิงสาวในอาภรณ์ขาวราวหิมะ กลิ่นอายอันเย็นะเืแผ่ออกมาจากทั่วร่าง ท่าทางของนางไม่มีจริตจะก้านแม้แต่นิดเดียว มีเพียงกลิ่นอายอันเย็นเยียบเท่านั้น แววตาของนางงดงามอย่างยิ่ง หัวตาชี้ขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เรียกได้ว่าเป็เสน่ห์ที่์สรรสร้าง
ในอดีตใบหน้าของไป๋เซี่ยเหอมีสีเหลืองดูน่าอดสู นอกจากนี้ ยังไม่เคยมีใครเห็นนางแต่งองค์ทรงเครื่องมาก่อน จึงนึกไม่ถึงว่าจะงดงามได้ถึงเพียงนี้
เมื่อเปรียบเทียบไป๋หว่านหนิงกับไป๋เซี่ยเหอ ก็เหมือนไข่มุกที่แย่งชิงความเจิดจรัสกับพระจันทร์อย่างไรอย่างนั้น ไข่มุกดูหม่นหมองลงทันที
ไป๋เซี่ยเหอเหลือบมองซิ่วเอ๋อร์ จากนั้นสาวรับใช้นางนั้นก็มีท่าทีใจนตัวสั่น ดวงตาฉายแววหวาดผวาก่อนก้มศีรษะลง
ผู้คนที่มามุงดูโดยรอบ นอกจากไป๋หว่านหนิงที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนแล้ว ยังมีลู่เป๋าเหยาด้วย
ลู่เป๋าเหยามองการแต่งกายของไป๋เซี่ยเหอ ก่อนจะลอบส่งสายตาให้ไป๋หว่านหนิง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อวานข้าให้คนมาส่งชุดให้เ้าแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่สวมเล่า? สวมชุดขาวเช่นนี้ไม่กลัวคนจะหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไร?”
ไป๋เซี่ยเหอทำสีหน้าจริงจัง นางใช้สองนิ้วคีบอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยเท้าขึ้นมาจากพื้น สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อี๋เหนียงหมายความว่า หากสวมชุดนี้แล้วจะไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะอย่างนั้นหรือ?”
“เป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร!”
ไป๋หว่านหนิงกรีดร้องพลางพุ่งตัวเข้าไปใกล้ นางมองชุดกระโปรงที่เต็มไปด้วยรอยเท้าแล้วรู้สึกปวดใจเจียนตาย นั่นคือชุดกระโปรงที่ราคาแพงที่สุดของนางเชียว หากไม่ใช่เพราะ้าให้ร้ายไป๋เซี่ยเหอ นางคงทำใจไม่ได้ที่จะต้องสละชุดกระโปรงชุดนี้ แม้ว่านี่จะเป็สิ่งของที่นางทำใจสละได้แล้ว ทว่าไป๋เซี่ยเหอก็ไม่คู่ควรที่จะทำให้มันเปรอะเปื้อนเสียหาย!
“นึกไม่ถึงว่าเ้าจะทำชุดกระโปรงที่งดงามเช่นนี้เปรอะเปื้อน เ้าช่างไม่รู้คุณค่าของสิ่งของโดยแท้ ชุดดีๆ ดันถูกเ้าทำเสียหาย เ้าต้องชดใช้ให้ข้า!”
เมื่อมองไป๋หว่านหนิงที่กำลังกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดแล้ว ไป๋เซี่ยเหอกลับยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าไม่ได้เป็คนทำ”
ลู่เป๋าเหยาตวัดสายตาไปยังซิ่วเอ๋อร์และจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโเี้ ปกติแล้วเมื่อสาวใช้เหล่านี้ทำให้ไป๋เซี่ยเหอต้องอับอาย นางมักจะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นและแสร้งทำเป็หลับตาลงข้างหนึ่ง ทว่าไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะสามารถทำลายสิ่งของของบุตรสาวนางได้ตามอำเภอใจ กอปรกับตัวการดันเป็สาวใช้ข้างกายของบุตรสาวเสียนี่!
เฉียวเอ๋อร์เพิ่งจะตายไป หากเปลี่ยนตัวซิ่วเอ๋อร์อีกในเวลานี้ เกรงว่าจะกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยในตัวบุตรสาว และจะกระทบไปถึงภาพลักษณ์อันดีงามของบุตรสาวด้วย
“ช่างเถิด เราออกเดินทางกันเลยแล้วกัน” หากแผนการนี้ไม่สำเร็จ ก็ต้องคิดหาแผนการอื่นเสียแล้ว
ไป๋หว่านหนิงโกรธมาก นางกัดฟันจนฟันแทบแตก นางถลึงตามองซิ่วเอ๋อร์อย่างดุร้าย สำหรับนางแล้วนี่ไม่ใช่แค่แผนการหนึ่งเท่านั้น มันยังเป็ชุดกระโปรงตัวโปรดของนางอีกด้วย “กลับไปคุกเข่าที่เรือน เ้าต้องคุกเข่าจนกว่าข้าจะกลับมา”
ซิ่วเอ๋อร์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะจากไปนางเหลือบมองไป๋เซี่ยเหออย่างระมัดระวัง
.............................
มีรถม้าสองคันจอดอยู่นอกประตูจวนตระกูลไป๋
รถม้าคันแรกสร้างจากไม้หลีและดูหรูหราจนหาที่เปรียบมิได้ เมื่ออยู่ใกล้จะได้กลิ่นหอมบางเบา ม่านสีชมพูพลิ้วไหวเล็กน้อยไปตามลม ด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่นั่งปูด้วยเบาะอ่อนนุ่มที่ทำจากขนแกะ บนโต๊ะน้ำชาที่สร้างจากไม้หลีจัดวางไว้ด้วยกล่องอาหารหกชั้น ข้างในเป็ของว่างหลากหลายชนิด ด้านข้างยังมีกาน้ำชาร้อน กลิ่นหอมของชาลอยอ้อยอิ่ง แม้จะนำไปเปรียบกับรถม้าจากวังหลวง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันนัก
ส่วนรถม้าอีกคัน แม้ว่าจะประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ทว่าสิ่งอำนวยความสะดวกด้านในนั้น หากเปรียบเทียบกับรถม้าคันแรกแล้ว เกรงว่าจะด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หากเปรียบเทียบกันจริงๆ จุดเด่นจุดด้อยจะยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้น
หลังจากไป๋เซี่ยเหอเดินออกมาหน้าจวน นางย่อมต้องขึ้นรถม้าคันข้างหน้า เพราะนางคือบุตรีของภรรยาหลวง ย่อมเคยชินที่จะใช้รถม้าคันนี้ยามออกเดินทาง แม้นางจะรู้ว่ารถม้าคันนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายชื่อเสียงของนางก็ตาม มันทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่านางมีนิสัยทะนงตนเพราะได้รับความโปรดปรานจากบิดา ทว่านี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายของรถม้าคันนี้ มีคำบรรยายเพียงหนึ่งคำเท่านั้น นั่นคือสะดวกสบาย ไป๋หว่านหนิงเดินตามมาด้านหลัง กระบอกตาของนางแดงก่ำด้วยความริษยา ทว่านางรู้ว่าตนเองไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นางต้องรักษาภาพลักษณ์บุตรีอันมีการศึกษาจากตระกูลอันทรงเกียรติของตนเองเอาไว้ รอให้นางได้เป็ไท่จื่อเฟยก่อนเถิด เมื่อถึงเวลานางอยากได้อะไรก็ต้องได้!
ลู่เป๋าเหยายืนอยู่ด้านข้าง แววตาที่มองบุตรสาวนั้นทอประกายเล็กน้อย นางหันไปพูดกับไป๋เซี่ยเหอด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง “วันนี้บิดาของพวกเ้าต้องออกเดินทางไปชายแดนแล้ว เมื่อคืนนายท่านบอกว่าปวดคอจนขยับเขยื้อนไม่ได้ หว่านหนิงจึงต้องบีบนวดให้ท่านพ่ออยู่ค่อนคืนเพราะเป็ห่วง”
นางเอียงศีรษะพลางพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทีราวกับกำลังยั่วยุ “แม้ว่านายท่านจะหายปวดคอแล้ว กลับทำให้หว่านหนิงเหน็ดเหนื่อยแทน เพื่อที่จะไม่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้ายามอยู่ในวังหลวง จึงต้องถือโอกาสนี้งีบหลับชดเชย หากให้นางนั่งรถม้าคันเดียวกับเ้า เ้าคงไม่ถือสากระมัง”
ในบรรดารถม้าสองคัน มีเพียงคันของไป๋เซี่ยเหอเท่านั้นที่มีเบาะอ่อนนุ่ม ส่วนอีกคันเป็ที่นั่งธรรมดาๆ เท่านั้น เพียงแต่ในเมื่อบุตรสาว้าจะนั่งรถม้าคันข้างหน้า นางย่อมหาวิธีที่จะทำให้บุตรสาวสมปรารถนา!
หลังได้ฟังถ้อยคำของลู่เป๋าเหยา ไป๋หว่านหนิงตาเป็ประกายทันที แม้ว่าตอนนี้จะยังเช้าอยู่ ทว่าบริเวณหน้าประตูของจวนตระกูลไป๋จัดเป็ทำเลอันเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวง ย่อมมีผู้คนผ่านไปมาเป็จำนวนมาก เมื่อได้ฟังคำพูดของลู่เป๋าเหยาแล้ว ฝูงชนก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันทันที
“คุณหนูรองตระกูลไป๋ช่างกตัญญูรู้คุณจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ นางมีรูปโฉมงดงาม เพียบพร้อมทั้งการศึกษาและมารยาท ทั้งยังกตัญญูรู้คุณเช่นนี้อีก หากจวนใดได้นางเป็สะใภ้ เช่นนั้นก็ถือเป็พรอันยิ่งใหญ่จาก์แล้ว”
ไป๋หว่านหนิงแสร้งทำเป็ฝืนยิ้ม ส่งผลให้นางยิ่งดูอ่อนแอ ใบหน้าที่เผยให้เห็นจากผ้าคลุมหน้าดูซีดเซียวเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ทุกท่านอย่าได้พูดเช่นนี้เลย ความกตัญญูต้องมาก่อน หว่านหนิงกตัญญูต่อท่านพ่อย่อมเป็เื่ที่สมควรทำ ไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย”
“์ นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่จิตใจดีมีเมตตาเช่นนี้อยู่ด้วย ช่างเหมือนเทพธิดาจริงๆ”
คำชมเชยมากมายก่ายกองทำให้ไป๋หว่านหนิงตัวลอย
“ข้าว่านะคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ ท่านให้คุณหนูรองยืมรถม้าของท่านเถิด อย่างไรก็เป็พี่น้องกัน ท่านคงไม่ขี้เหนียวหรอกกระมัง”
“แม้ว่าจะมีบิดาคนเดียวกัน เหตุใดคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ถึงได้เห็นแก่ตัวและเ็าเช่นนี้เล่า? ลองพิจารณาคุณหนูรองอีกทีก็พบว่าช่างแตกต่างกันราวเมฆกับโคลน”
ไป๋เซี่ยเหอตระหนักถึงการร่วมมือกันของสองแม่ลูกคู่นี้ นางยกมุมปากเล็กน้อยเป็รอยยิ้มเหยียดหยาม แววตาเผยแสงอันเย็นเยียบ ตอนไป๋หว่านหนิงมาหานางเมื่อเช้า อีกฝ่ายยังมีท่าทีกระฉับกระเฉงอยู่เลย เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็หลินไต้อวี้ [2] ไปเสียแล้ว แสร้งทำอย่างนั้นหรือ?
ไป๋เซี่ยเหอเอี้ยวตัวพิงเบาะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันและไม่แยแส “แน่นอนว่าต้องแตกต่างกันราวเมฆกับโคลน ข้าเป็คุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนแม่ทัพไป๋ ย่อมต้องเป็เมฆ ส่วนนางเป็เพียงบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยา หากไม่ใช่โคลนแล้วจะเป็อะไร?”
ในยุคสมัยนี้ความแตกต่างระหว่างภรรยาหลวงและภรรยาน้อยนั้นชัดเจนมาก ผู้ที่เกิดจากภรรยาหลวงมักดูถูกเหยียดหยามผู้ที่เกิดจากภรรยาน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่หลายปีมานี้ ผู้ที่เป็ดอกบัวขาว [3] อย่างไป๋หว่านหนิงได้ปิดทอง [4] บนร่างกายของตนเองไม่น้อย จึงสามารถดึงผู้คนมากมายให้มายืนฝั่งนางได้
“นอกจากนี้ ข้ายังจำได้ว่า เมื่อคืนท่านพ่อกลับมาหลังเที่ยงคืนไม่ใช่หรือ?”
ประโยคนี้เปรียบได้กับเสียงฟ้าร้องในฤดูร้อน
“เมื่อครู่ไม่ได้บอกว่าคุณหนูรองนวดให้ท่านไป๋อยู่ครึ่งค่อนคืนหรอกหรือ?”
“หรือจะเป็เื่โกหก? เป็ไปไม่ได้หรอกกระมัง”
ลู่เป๋าเหยาโมโหจนปากแทบจะบิดเบี้ยว นางรู้ว่าข่าวโคมลอยคือเื่น่ากลัว มันสามารถเกื้อหนุนภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์และดีงามของหว่านหนิงได้ และสามารถทำลายให้สิ้นในชั่วข้ามคืนได้เช่นเดียวกัน
“ขออภัย ข้าจำผิดเอง เป็หลังเที่ยงคืนต่างหาก หลังเที่ยงคืน”
หากไม่อธิบายคงดีกว่า เพราะเมื่ออธิบายแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้คนสงสัย แม้ว่ามีใจกตัญญูจะเป็เื่ดี ทว่าการที่บุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนขลุกอยู่ในห้องของบิดาหลังเที่ยงคืน คงไม่ใช่เื่น่าฟังเท่าไร
ฝูงชนพากันนิ่งเงียบไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กก็ดังขึ้น เสียงนั้นราวกับมีดทิ่มแทงเข้ามาที่หัวใจของไป๋หว่านหนิงอย่างไรอย่างนั้น มันทั้งเสียดแทงทั้งเ็ป!
ไป๋หว่านหนิงสะบัดแขนเสื้อพลางตวัดสายตาเย็นเยียบไปทางไป๋เซี่ยเหอ หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีคนมากเกินไป เกรงว่านางคงจะะโขึ้นไปบนรถม้าของไป๋เซี่ยเหอแล้วตรงเข้าไปฉีกปากของนางแพศยานั่นแล้ว ตอนนี้นางทำได้เพียงก้าวขึ้นรถม้าคันที่จอดอยู่ข้างหลังด้วยความโกรธเคือง
ผ่านไปนานก่อนจะมีเสียงดังขึ้น
“ออกเดินทาง”
------------------------
[1] หลินไต้อวี้ หมายถึง ตัวละครในวรรณกรรมความฝันในหอแดง มีบุคลิกอ่อนแอและขี้โรค
[2] ดอกบัวขาว เป็การอุปมา หมายถึง ผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อ
[3] ปิดทอง เป็การอุปมา หมายถึง ยกยอตัวเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้