พลันทั้งคู่มาถึงจุดมุ่งหมาย เฟนริลก็พบกับสาวงามผมสีขาว ั์ตาสีแดง สวมชุดเดรสผูกคอทำจากหนัง ยืนกอดตะเกียงน้ำมัน ขณะที่อีกกลุ่มมีแหล่งกำเนิดไฟสภาพดี
เขาแอบประหลาดใจเล็กน้อยไม่คิดว่าคนที่นี่จะเข้าใจสถานการณ์เร็วขนาดนี้ เฟนริลตรวจสอบประชากรหน้าโบสถ์พบว่ามีประมาณสี่ร้อยเจ็ดสิบคน
นั่นหมายความว่าอีกสามสิบชีวิตตายจากความมืด และคนเ่าั้พบเห็นพอดีจึงเข้าใจอันตราย
เฮเลน อายุ 18 ปี
‘คนส่วนมากไม่ได้แย่งชิงตะเกียง หลายคนไม่แสดงความโลภ แสดงว่ามีคนกลุ่มน้อยไม่เกินสิบห้าเข้าใจสถานการณ์กลับไม่ได้บอกใคร’
จำนวนนี้รวมถึงเฟนริลด้วย เขาแอบคำนวณในใจเล็กน้อยเพื่อวางแผนต่อไปก่อนจะเดินเข้าหาเฮเลน
“มีข้อมูลเพิ่มเติมรึเปล่า?” อีกฝ่ายยิ้มมุมปาก ฉายแววตายินดีที่เขาทักทายก่อน
“นึกว่านายจะเมินฉันซะอีก”
เฮเลนขยิบตาให้เพราะก่อนหน้านี้เฟนริลบอกว่าอย่ามาอยู่ใกล้ ชายหนุ่มนึกได้แบบนั้นก็ยักไหล่เล็กน้อยไม่ใส่ใจ
เหตุผลที่ตนมาสอบถามเฮเลนก็เพราะว่าเธอค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญเื่นี้
ตอนแรกที่เขาอธิบายเกี่ยวกับวาดภาพจิตรกร เธอกลับทำตัวเหมือนคุณครูที่ฟังนักเรียนของตนเองและชมอย่างจริงใจซึ่งเฟนริลไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าเธอเก่งกว่าที่เห็นซะอีก
หญิงสาวเกลี่ยผมตนเองเล็กน้อยกล่าว
“โบสถ์ใจกลางหมู่บ้านทำจากไม้สีขาว ปกติควรมีเทวรูป หรือสิ่งบูชาศาสนาแม้กระทั่งหลักคำสอนแต่จากที่ฉันสำรวจนอกพื้นที่พบว่าไม่มีของแบบนั้น"
"ที่นี่ไม่มีคนอยู่ ไม่มีใครอาศัย บรรยายกาศค่อนข้างวังเวง ทุกครั้งใกล้โบสถ์จะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องสวนกลับมาแต่ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่ความมืดแต่เป็อย่างอื่น”
เฟนริลหวนนึกถึงต้นไซเปรส ตอนเขามองไปทางนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างจ้องสวนกลับมาด้วยเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ปีศาจแห่งความมืดไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนี้ เขาหรี่ตาลงเหมือนจะเข้าใจรูปแบบฆาตกรรม
‘คงไม่มีทางอื่นนอกจากเริ่มต้นผืนผ้าใบแท้จริง…’ เฟนริลหยิบตะเกียงน้ำมันออกจากกระเป๋าเป๋นั่นทำให้เฮเลนชะงักเล็กน้อย
“นายจะเข้าไปเหรอ?” เฟนริลเผยยิ้ม
“ฉันมีความคิดบางอย่างแต่ไม่กล้าทำ ฉะนั้นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อพิสูจน์” สิ้นคำกล่าวเขาก็ขอให้เฮเลนดูแลไลล่าด้วย
ซึ่งไลล่าเองก็ตาเป็ประกายเพราะนางรู้จักเฮเลนเป็อย่างดี แม้จะใมากที่เฟนริลสนทนากับผู้หญิงคนนี้ได้เพราะเฮเลนเป็สาวงามอันดับ 1 ของโรงเรียน ที่น้อยครั้งจะเข้าสถาบัน
อีกฝ่ายมักได้เกรดนิยมอันดับ 1 เกรด 4 ทุกวิชา เชี่ยวชาญเื่จิตรกรรม ภาพวาด และศิลปะหลากหลาย
ชอบเข้าการแข่งขันระดับโลกนับครั้งไม่ถ้วนเป็หน้าเป็ตาแก่โรงเรียน และบุตรสตรีคนสุดท้องของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลติดท็อปโลก
เมื่อเฟนริลเลือกจะเดินไปยังโบสถ์ เสียงสนทนาของทุกคนทั่วละแวกก็เงียบลง พวกเขาเข้าใจได้ทันทีเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น และคาดหวังให้คนโง่อย่างเฟนริลทำแบบนั้น
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อทอดมองไปยังโบสถ์ด้านหน้า
“ฉันอยากจะเผามันจริง ๆ”
เฟนริลระงับความกระหายในใจและเหยียบลงที่พื้นไม้ในโบสถ์…ครืน!! พริบตานั้นราวกับท้องฟ้ากลายเป็สีดำ ม่านพลังไร้สีครอบคลุมทั่วพื้นที่ทำให้แสงจากดวงดาวหายไป
ชายหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย หัวใจเต้นตึกตักดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างจะไร้แสงเว้นแค่ตะเกียงน้ำมัน
‘เป็ปัญหาแล้ว’
โฮก!!! พริบตานั้นเสียงโหยหวน กรีดร้องของเหล่าสรรพสิ่งก็ดังขึ้นทางทิศใต้ เฟนริลเผยสีหน้าเคร่งเครียด
‘ก่อนหน้านี้ปีศาจจากความมืดโจมตีไม่ได้เพราะมีแสงแต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาสำหรับมันนอกจากคนที่มีแหล่งกำเนิดไฟ'
'ส่วนสัตว์ประหลาดอีกตนในต้นไซเปรสเหมือนจะไม่ถูกกับแสงของดวงดาว ฉันมั่นใจทั้งสองตัวนี้มีรูปแบบฆาตกรรมต่างกัน ไม่งั้นจะง่ายเกินไปสำหรับระดับฝันร้าย’
สรุปว่าหนึ่งกลัวแสงไฟ อีกหนึ่งกลัวแสงดวงดาว เขาป้องกันได้อย่างแรกแต่ไม่ใช่อย่างสองเพราะไม่มีท้องฟ้าอีกแล้ว นี่คือสมมติฐาน ครืน! ขณะที่ครุ่นคิดกลุ่มแสงสีเหลืองก็ถาโถมเข้ามาจากทางทิศใต้ และบนเพดานโบสถ์
‘ผีสาง!!’ เฟนริลเห็นหญิงสาวชุดเหลือง เืกบปากพุ่งเข้าหาด้วยกรงเล็บแหลมคมราวใบมีด เขามั่นใจว่าหากโดนโจมตีอาจถูกฆ่าในคราวเดียว
“เทคนิคิญญา”
เขากำหมัดแน่นต่อยไปในอากาศ ปึง!! จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ชะงักแต่ไม่ได้รับความเสียหาย เฟนริลถอนหายใจสมเพชตัวเอง
‘วิชาสืบทอดตระกูลทำไมกากจังวะ’ กรี๊ด!! ผีสางบ้าคลั่ง ตาแดงก่ำ เขาประหลาดใจเล็กน้อย
“สำเร็จเหรอ? เป็ไงล่ะ เ็ปใช่ไหม?” อีกฝ่ายมองด้วยความโกรธแค้นราวกับโดนมดกัด
“อ้าว? แล้วจะร้องทำหอกอะไร?”
กรี๊ด นางะเิคำราม พุ่งเข้าใส่
“เห้ย! ใจเย็น...หุบปากแล้วอมคลอเร็ทซะ” เขาดีดยาอมไปในปากนาง ฟุบ แต่ยานั้นกลับผ่านร่างไป เฟนริลแสดงสีหน้าเหยเก
‘รูปลักษณ์ไม่ส่งผลต่อโลกวัตถุ และรับการโจมตีทางิญญาอย่างเดียว? ไม่ก็ส่งผลต่อโลกจริงก็ต่อเมื่อกำลังจะโจมตีฉัน?'
'ถ้าเป็งั้นจริงการจะฆ่าคนก็ต้องเปลี่ยนบางส่วนของกายิญญาให้เป็กายวัตถุ และจังหวะนั้นฉันสามารถโจมตีได้’ เขาหารูปแบบเพื่อกำจัดอีกฝ่าย
ฟึบ! กรงเล็บพุ่งเข้ามา เฟนริลดึงขวานเดินถอยหลังและเหวี่ยงสวนกลับไป เป๋ง! ชายหนุ่มชะงัก พละกำลังอีกฝ่ายมหาศาลมากจนแขนทั้งสองสั่นไปหมด
‘ใช่จริงด้วย…มันไม่สามารถฆ่าฉันได้ ปราบใดที่ไม่ทำให้ร่างกายบางส่วนอยู่ในโลกความจริง’
เฟนริลเผยยิ้มสไลด์คมขวานผ่านกรงเล็บตัดครึ่งฝ่ามือ ฉัวะ! กี๊ด! อีกฝ่ายกรีดร้องด้วยความเ็ป เขามองผีสาวเล็กน้อย
“ว้าว สวยมาก…สนใจมาเป็ผัวผมไหม?”
กรี๊ด!!! นางเหมือนไม่สามารถฟังเฟนริลได้อีกต่อไป เธอส่งเสียงเรียกิญญาอีกสามตนทั้งโบสถ์ลงมา ชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นก็เหงื่อแตกพลั่ก
“เชี่ย ตูดบานแน่นอน” ขณะที่ิญญาทั้งสี่เข้ามา เสียงหวานใส่ก็ดังขึ้น
“เฟนริล…คุกเข่าลง…”
เขาทำตาม พึบ เสี้ยววินาทีนั้นเฮเลนก็เหยียบบ่าเขา ตวัดคมดาบฟันร่างทั้งสี่ ฉัวะ!! ผีสางทั้งหมดถูกกำจัดอย่างรวดเร็วกลายเป็ฝุ่นผงในพริบตา
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เข้าใจว่าอาวุธนั้นมีไว้สำหรับจัดการภูตผีปีศาจโดยเฉพาะ
คาดว่าน่าจะเอามาจากบ้านสักหลังในหมู่บ้านนี้เพราะที่นี่ห้ามนำอุปกรณ์จากโลกเข้ามา ความหมายก็คือห้ามทุกอย่างยกเว้นเสื้อผ้าธรรมดาก่อนเข้าผืนผ้าใบ
ฟึบ เฮเลนสะบัดดาบด้วยสีหน้าเฉยชาพลางเก็บลงในฝัก ชายหนุ่มตะลึงกับความงามเล็กน้อย
“เราควรจะทำไงต่อ?” เฮเลนถาม
เขาได้สติก็เหลือบมองข้างนอกพบว่าคนจากโรงเรียนตอนนี้ถูกผีสางไล่ฟันจนเืสาดกระเซ็น ร่างถูกแบ่งเป็ชิ้น ๆ ส่งกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียน
ฟูม บางคนที่ถือตะเกียงก็ล้มตายจนเกิดทะเลเพลิงบางจุด ส่วนคนที่ไม่ได้ใกล้แหล่งกำเนิดแสงก็ถูกปีศาจจากความมืดหั่นเป็ชิ้น ๆ ลากสู่ความมืด จากการประเมินคาดว่าตอนนี้มีผู้เสียชีวิตสี่ร้อยราย
เฟนริลคิดในใจว่า
‘โบสถ์ในภาพวาดนี้ เคยเป็สัญลักษณ์ของความหวัง และความเชื่อแต่เมื่อมองเนื้อแท้จะพบว่าไม่มีใครมาสรรเสริญ ไม่มีใครมาอวยพร ไม่มีใครมาเป็ที่ปรึกษา มันไม่ต่างจากสถานที่รกร้างไร้ความหวัง'
'เป็ไม่ได้กระทั่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพราะไม่มีคนยึดถือ โบสถ์นี้จึงกลายเป็ความหวังที่ไม่มีชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่จิตรกรฝันหาแต่คือก้าวนึงที่เขาเจอระหว่างทาง'
'สำหรับจิตรกรแล้ว ความหวังที่ไม่มีอยู่จริงไม่ใช่ความหวัง และความหวังของเขา เขารู้ว่ามันห่างไกลเกินเอื้อม ดังนั้นดวงดาวจึงเป็คำตอบของคำถามทั้งหมด แม้จะห่างไกลแต่ยังมีแสงคอยนำทาง'
'วินเซนต์ แวนโก๊ะใช้โบสถ์นี้เพื่อสะท้อนถึงความขัดแย้งในใจของเขา ทั้งที่เป็สัญลักษณ์ของความหวังแต่เมื่อพยายามเท่าไหร่กลับไร้ความหมาย พยายามหาที่พึ่งแต่เจอความว่างเปล่า'
'…เพราะทั้งหมดเป็ความหวัง…ที่ไม่มีอยู่จริง' เฟนริลเผยแววตามุ่งมั่น
“เราควรเผาที่นี่ทิ้งซะ! หากไฟคือการย้อนรอยสัญลักษณ์ กลับดำเป็ขาว เปลี่ยนคำสาปเป็พร บางทีเราควรเชื่อคำพูดคนโบราณ”
ฟูม!! สิ้นความคิด เวลาต่อมาทุกคนก็เห็นโบสถ์ลุกไหม้เป็ปล่องไฟขนาดใหญ่สร้างแสงสว่างเหยียดยาวออกมาไป ก๊าซ! ปีศาจจากความมืดจำนวนมากระเหยไปอย่างรวดเร็ว
วินาทีนั้นก็มีเสียงฟ้าร้อง พร้อมแสงจากดวงดาวทอดยาวลงมา กว้างสามเมตร มุ่งสู่ทางทิศใต้ เฟนริลมั่นใจเลยว่านี่คือสัญลักษณ์ของการเห็นความหวังเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการแต่ยังถูกสะกดโดยสัญลักษณ์ของต้นไซเปรส
ปราบใดที่เขากำจัดสัญลักษณ์ความทุกข์ทรมาน กับความตายได้ ทุกอย่างจะพลิกกระดานทันทีแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบเพราะท้องฟ้าก็เป็สัญลักษณ์ที่บอกถึงความเหงา ทุกข์ทน และหลีกหนีความจริง
เขากับสองสาววิ่งไปยังแสงจากดวงดาว คนอื่นก็กุลีกุจอเข้ามา เวลานั้นเจอกลุ่มที่คุ้นเคยซึ่งบัดนี้เหลือสองนั่นคือ ธีเลียส กับอีฟ
สาวผมดำค่อนข้างประหลาดใจที่เฟนริลมีชีวิตอยู่รวมถึงหัวโจกแต่เมื่อมองสาวข้าง ๆ จึงเข้าใจเพราะอีกฝ่ายเป็ถึงเฮเลน บุตรสตรีที่แกร่งสุด ฉลาดสุดในโรงเรียน
แม้เฟนริลจะเข้ามาเรียนตอนเทอมสอง และเจอใครน้อยครั้งแต่นั่นก็มากพอจะถูกรังแกโดยใครก็ตามที่สนใจพลังพิเศษระดับศูนย์ ตอนแรกชายหนุ่มโดนธีเลียสรังแกบ่อยมากจนเข้าโรงพยาบาลเป็ว่าเล่น
หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็มักเย็ดอีฟโชว์เขาซึ่งไม่รู้ว่าโรคจิตจากไหน ตอนนี้เขารู้สึกว่าควรกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง ไม่งั้นแล้วชีวิตของเขาคงไม่สงบสุขเท่าไหร่
ธีเลียสเองตอนนี้ก็ไม่ได้โง่พอจะกำจัดเฟนริล หรือแสดงกิริยาไร้มารยาทตามสไตล์ของตนเพราะ้าความช่วยเหลือจากเฮเลน และสร้างความประทับใจไปในตัว
เมื่อมันรู้แบบนั้นก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็กันเอง กล่าวทักทาย
“ผมชื่อธีเลียส พลังพิเศษระดับห้า เรามาจับกลุ่มช่วยกันไหม?”
เฟนริลนึกอิจฉา ‘ทั้งกลุ่มนี้โดนเย็ดหมดแล้ว เหลือแค่สาวตาแดง ฉันจะไม่ยอมให้มันเด็ดขาด’ ไฟในดวงตาเขาลุกโชติ เวลานั้นไลล่าก็แอบกระซิบข้างหูเฟนริลเพราะทั้งสองอยู่หลังเฮเลนเล็กน้อย
“ฉันขอแก้ไขความเข้าใจผิดนะ ฉันไม่เคยอมและไม่เคยมีเซ็กส์ด้วย ส่วนธีเลียสคิดว่าฉันอมให้เขาแต่จริง ๆ ไม่ใช่...ฉันแอบมองเฉย ๆ”
เฟนริลอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกสับสนกับความย้อนแย้งในคำพูดของเธอนั่นทำให้หญิงสาวคิดว่าเฟนริลไม่เชื่อและเผลอจินตนาการแบบอื่นจึงขมวดคิ้วกล่าว
“อะไร! ฉันเสียให้กับของเล่น นายคิดบ้าอะไรอยู่?” ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
“เปล่า ช่วยอธิบายให้ฉันฟังที”
หญิงสาวเค้นเสียง
“ฮึ! งั้นฟังให้ดี นายน่ะเป็คนแรกของฉัน ส่วนอีฟก็ซิงด้วย เธอมีพลังพิเศษร่างโคลน เคยโคลนฉันไปหาธีเลียสเพื่ออมให้เพราะเราจะได้ผ่านผืนผ้าใบได้ง่ายขึ้น ส่วนฉันขี้เงี่ยนอยู่แล้วเลยไปแอบดูจึงรู้ว่าขนาดเท่าไหร่"
"อีฟก็ไม่ต่างกัน เธอมักเอาตัวปลอมไปให้ธีเลียสจัดการ แน่นอนว่าแรงตอดตัวปลอมปรับได้ และนางปรับจนหลวมสุด ๆ ธีเลียสเลยหงุดหงิดทุกครั้งที่เอาตัวปลอม ที่พวกเราทำก็เพราะเอาตัวรอดจากผืนผ้าใบ"
"แน่นอนว่า เหตุผลที่ธีเลียสสนองเธอทุกครั้งแม้จะหลวมเพราะอีฟชอบวางยาปลุกเซ็กส์ใส่ จนเคยมีเหตุการณ์นึงที่มันเกือบเอาเพื่อนชายกันเอง ธีเลียสเลยกลัวใจมาก พยายามสนองอีฟตัวปลอมตลอดเวลา"
"เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีข่าวใกล้เลิกใช่ไหม ถูกต้อง เพราะจะจบการศึกษาแล้ว ธีเลียสเลยไม่กลัวโดนวางยาอีกต่อไป"
"นี่คือความน่าเชื่อถือของฉัน ไม่สิ ฉันกำลังจะบอกว่า ถ้านายอยากเย็ดอีฟ ก็ต้องเย็ดตอนเป็ร่างจริง เธอไม่โกรธหากทำแบบนั้น"
"มากสุดก็ทำเป็โมโหแต่จริง ๆ น้ำหีนี่เลอะกางเกงในไปหมด อีฟชอบเล่าให้ฟังว่าอยากโดนบังคับ ข่มขืนเย็ดแต่เธอจะยอมถ้าเป็คนที่เธอโอเค อีนี่ชอบพูดถึงนายตลอด บอกว่านายน่ารัก นิสัยดี เหอะ ดีเหรอ? อยากจะหัวร่อ"
"เอาเถอะ นังนี่มันหื่นกว่าฉันอีก เธอเป็เพื่อนฉันสมัยเด็ก ถ้าอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็ร่างโคลนไหม สังเกตจากรอยสักบริเวณข้อเท้า ถ้ามีคือปลอม ถ้าไม่มีคือจริง"
"สรุปคือ…ไม่เคยมีใครในกลุ่มโดนธีเลียสจัดสักคนเพราะทุกคนรู้นิสัยคนเลวดี แต่ที่อยู่ใกล้เพราะ้าหลอกใช้ ส่วนธีเลียสตอนนี้ก็ยังโดนหลอกอยู่ เป็เครื่องมือให้พวกเราปั่นหัว”
เฟนริลสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่รู้เป็อะไรแต่โล่งใจและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มแอบจ้วงหีไลล่าไปมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก อื้อ! หญิงสาวตาปรือนึกโมโห เธอบิดตัวไปมา หีฉ่ำเลอะขาไปหมด
“ฉะ…ฉันบอกว่า…อีฟ…ยังไม่โดน…ไม่ใช่ฉันสิ…ฉันโดน…นาย…เย็ดแล้ว”
ชายหนุ่มทำหน้าไร้เดียงสา
“เหรอ? โทษที เมื่อกี้ไม่ได้ฟัง”
แม้เขาจะพูดแบบนั้นแต่สายตาเผยความยินดี ร่าเริงไม่ปกปิดจนไลล่าอยากทุบชายหนุ่มแต่ก็กลัวจะโดนหนักกว่านี้
แน่นอนว่าเพราะทั้งสองอยู่หลังเฮเลน โดยใช้สาวงามบังฉากการกระทำทำให้ทุกคนนึกว่าแค่กระซิบกันเฉย ๆ
ส่วนเฮเลนนั้นกำลังเกลี่ยผมตัวเองแ่เบา สีหน้าดูใจเย็นแต่บริเวณแก้มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะฟังบทสนทนาทั้งคู่จนจินตนาการว่าทำอะไรกันอยู่ข้างหลังเธอ
เฟนริลมองเส้นทางจากแสงดวงดาวพบว่า ตอนนี้เหลือผู้รอดชีวิตเพียงยี่สิบรายเท่านั้น ชายหนุ่มขนลุกซู่เมื่อพบว่ารอบด้านเต็มไปด้วยผีสางนับร้อยเตรียมกลืนกินหากหลุดออกจากแสงสว่าง
เ้าตัวเหลือบมองเงาบนพื้นพบว่ามันไม่ต่างจากชูคบเพลิงเหนือหัว ฉะนั้นจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับปีศาจจากความมืด
‘…คงไม่ได้มีเท่านี้’
เฟนริลมั่นใจว่าต้องมีบางอย่างดึงเขาออกจากแสงสว่างแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร? ชายหนุ่มเลือกที่จะทำเื่โง่ ๆ โดยการจับมือไลล่าและเงยหน้ามองฟ้า
้านั้นเป็ท้องฟ้าสีเข้มประกอบด้วยดวงดาวสีเหลืองขนาดเท่ากันทุกประการ ความสว่างเหมือนกันเป๊ะ เขาพบว่ารอบ ๆ ดวงดาวมีวังวนหรือการบิดเบี้ยวบางอย่างอยู่
ยิ่งมองนานเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเสียการควบคุมแต่ถึงแบบนั้นเขากลับพบว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปบนท้องฟ้า
วังวนเ่าั้เหมือนคลายตัว และพยายามปรับตัวเป็เส้นตรง ไม่สิ มันพยายามลบวังวนมากกว่า พึบ เมื่อเฟนริลทนไม่ไหวเขาก็ก้มลงเพื่อตั้งสติ
เขาใช้เวลาอยู่พักนึงก่อนจะลืมตาขึ้นพบว่าถนนแสงสว่างของเขาบนพื้นที่มีขนาดสามเมตร บัดนี้กลายเป็ห้าเมตร ทั้งยังเห็นด้วยว่าบางเส้นทางยังแตกแขนงออกไปไม่ใช่เส้นทางเดียวเหมือนก่อนหน้านี้
‘ความทุกข์ทน และปรารถนาที่จะหลีกหนีความจริง’
ชายหนุ่มเหงื่อแตกด้วยความตื่นตระหนก บททดสอบครั้งนี้นอกจากจะมีต้นไซเปรสแล้ว ยังมีธีมจากท้องฟ้า นั่นหมายความว่าผืนผ้าใบครั้งนี้ไม่ใช่การร่วมมือกันอย่างเดียว
...แต่ยังแสดงถึงความเห็นแก่ตัว หากภายภาคหน้าต้องใช้คนจำนวนมากนี่จะเป็การปิดประตูฆ่าตัวตายสำหรับคนเห็นแก่ตัวที่ฆ่าคนอื่น
เขายังพบด้วยว่า สมาชิกทั้งหมดในโรงเรียนตอนนี้ไม่มีใครแสดงปฏิกิริยาเกี่ยวกับเส้นทางสว่างที่กว้างขึ้นด้วยราวกับว่าพวกเขาทั้งหมดยังเห็นเป็ท่าเดิม
เฟนริลจึงรับรู้ว่าตนต้องเติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือของจิตรกรเท่านั้นจึงจะสามารถออกจากที่นี่ได้ นั่นรวมถึงความเหงา
บางทีเราต้องอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ รอดไปได้เยอะๆ บางทีก่อนออกจากผืนผ้าใบ อาจต้องใช้คนจำนวนมาก
‘ฉันสงสัยเหลือเกิน ว่าถ้าฉันนำคนไปยังเส้นแสงสว่างของฉัน เขาจะได้รับอันตรายรึเปล่า?’
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าแสงของตนสามารถแชร์ให้กับคนอื่นได้ไหม? เพราะไลล่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยขณะจับมือเขา
เฟนริลไม่อยากทดสอบเพราะมันอันตรายเกินไป เธอเป็ของเขาแล้ว เขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด
ขณะที่เฟนริลอยู่ในความคิด นักเรียนชายคนนึงก็ถูกแกล้งจนหลุดออกจากเส้นแสง อีกฝ่ายกรีดร้องด้วยความใอย่างหวาดผวา พยายามวิ่งกลับมาจนรอดได้สำเร็จโดยไม่มีาแแม้แต่นิดเดียว
...แต่ถึงแบบนั้นกลับกรีดร้องออกมาด้วยความเ็ปราวกับว่าแขนซ้ายตนเองถูกฉีกกระชากออกไป เฟนริลหรี่ตาลงเล็กน้อยก็เข้าใจสถานการณ์ทันที
‘ยิ่งมองท้องฟ้านานเท่าไหร่ ยิ่งมองเห็นเส้นทางของจริงมากเท่านั้น กลับกัน คนที่ไม่เคยมองเลยจะเห็นแต่ของปลอม’
เฟนริลแสร้งทำเป็เดินหนีเพื่อสูดลมหายใจปล่อยให้เฮเลนกับธีเลียสพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูล
แต่ชายผมทองค่อนข้างไร้ประโยชน์จนหญิงสาวคร้านจะถาม และเดินไปสนทนาร่วมกับไลล่า อีฟด้วยความสนใจ
‘เริ่มกันเลย…’
/// จบตอนที่ 3 ///
เฟนริล อายุ 18 ปี (ประเมินตัวเอง ฉวยโอกาส ขี้เงี่ยน เก็บกด เสแสร้ง(เปลี่ยนนิสัยต่าง ๆ ด้วยหน้านิ่ง นอกนั้นจะฝืนธรรมชาติ) เล่นตลกไม่ดูสถานการณ์ นักวิเคราะห์ ใจเย็น สุขุม ชอบตั้งสมมติฐาน เป็พวกรอบคอบแต่ก็ชอบลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จนเป็ปัญหา) และจะหงุดหงิด โมโหมากเมื่อคนอื่นไม่มีเหตุผลดีพอ(ขณะที่เขาอาจจะตายเพราะการตัดสินใจอีกฝ่าย)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้