เมื่อมู่จื่อหลิงเห็นแววตาเย็นเยียบและท่าทางรังเกียจของชายหนุ่มก็สำลักจนพูดไม่ออก
นางมิได้เป็โรคระบาดเสียหน่อย แค่ััถูกตอนแบกตนมาเท่านั้นเอง ถึงกับทำท่ารังเกียจกันเช่นนี้เชียวหรือ คิดว่ารูปงามแล้วจะดูถูกไม่ได้หรืออย่างไร
คิดได้เช่นนี้นางก็เตรียมจะะเิคำด่าออกมา ทว่ากลับถูกกระแสพลังที่แข็งแกร่งกว่ามากกดเอาไว้ จึงยอมสงบลงแต่โดยดี จากนั้นส่ายศีรษะแล้วพยักหน้า บอกกับตนเองว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางนั้นมิอาจล่วงเกิน และยิ่งมิอาจยั่วโทสะได้
สายตาเย็นๆ ของหลงเซี่ยวอวี่มองการเคลื่อนไหวของหญิงสาวตรงหน้า ท่าทางของนางนั้นดู...โง่เง่า!
เมื่อครู่ยังเหมือนกับราชสีห์ที่กำลังเดือดดาลอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนไปเหมือนลูกแกะน้อยที่กำลังวิตกกังวลเสียแล้ว บรรยากาศรังเกียจเดียดท์ฉันหายไปกว่าครึ่งเลยนี่
แววตาทอประกายครุ่นคิด ค่อยๆ เข้าไปใกล้นางอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาที่เลิศล้ำไร้ความรู้สึก ก้มตัวลงไปมองใกล้ๆ นาง
มู่จื่อหลิงพบว่าเวลานี้ชายหนุ่มกำลังเข้าใกล้นางอย่างช้าๆ กลิ่นหอมเย็นของดอกเหมยลอยมาปะทะใบหน้านาง นางจึงอดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเข้า สูดจนราวกับว่าภายในตัวนางเต็มไปด้วยกลิ่นของเขา
หัวใจนางเต้นตึกตัก เป็ครั้งแรกที่มีบุรุษเข้ามาใกล้นางถึงเพียงนี้ ใบหน้าขาวเนียนซับสีเืเล็กน้อย นึกอยากขยับกายถอยหลังทว่าถูกผ้าปูเตียงพันไว้จนมิอาจเคลื่อนไหวได้
มู่จื่อหลิงร้องออกมาอย่างร้อนรนว่า “ท่านจะทำอะไร? อย่า...อย่าเข้ามานะ ขืนยังเข้ามาอีกข้าร้องให้คนมาช่วยแน่”
ราวกับชายหนุ่มไม่ได้ยินวาจาของนางเลยแม้แต่น้อย เมื่อขยับเข้ามาใกล้นางอีกสองสามกงเฟิน [1] ก็เอ่ยอย่างมีเลศนัยด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “เรียกผู้อื่น? เปิ่นหวางร่วมห้องหอกับหวางเฟย [2] ผู้ใดจะกล้าเข้ามา?”
ขณะเขาเอ่ยวาจานี้ออกมา ลมหายใจก็รินรดใส่ดวงหน้างดงามขนาดเล็กของมู่จื่อหลิงไปด้วย ทำให้นางเกิดความรู้สึกชาราวกับถูกไฟจี้ ครู่เดียวติ่งหูของนางก็แดงก่ำ
ทว่ามู่จื่อหลิงสนใจที่สุดมิใช่สิ่งนี้ แต่เป็คำพูดของเขาต่างหาก เปิ่นหวาง? ห้องหอ?
ตู้ม! สมองของนางะเิทันใด
แม้มือและเท้าจะถูกผ้าปูเตียงมัดเอาไว้ ทว่ามู่จื่อหลิงก็ยังคงกลิ้งไปที่มุมเตียงได้อย่างคล่องแคล่ว
หรือว่าเขาคือ...ไม่จริงน่า เหตุใดจึงได้โชคร้ายถึงเพียงนี้ นางยังคงถามต่อด้วยความระมัดระวังว่า “ท่าน...ท่านคือหลงเซี่ยวอวี่?”
“บังอาจ! ถึงกลับกล้าเอ่ยนามของเปิ่นหวาง” จู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็ยืดกายขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
สตรีผู้นี้อาจหาญไม่เบา ในใต้หล้านี้คนที่กล้าเรียกชื่อของเขาตรงๆ ใช้สิบนิ้วยังนับพอ ทว่าแม่นางผู้นี้ถึงกับเรียกออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อมู่จื่อหลิงถูกเขาะโใส่ ก็สงบวาจาไปพักหนึ่ง เป็หลงเซี่ยวอวี่จริงเสียด้วย
มิน่าล่ะเมื่อครู่ที่เขาแบกนางมาก็ทำเหมือนไปััถูกโรคระบาดเข้า ที่แท้ข่าวลือเื่เขาเป็โรครักความสะอาดขั้นรุนแรงนั้นมิใช่เื่หลอกลวง แล้วเวลานี้เขาจะใช้กำลังบังคับฝืนใจนางหรือ?
แต่ดูจากสีหน้ารังเกียจของเขาเมื่อครู่ ทั้งยังท่าทางหยิ่งยโส เขาคงไม่ทำอย่างนั้น เขาต้องทำเพียงข่มขู่อยู่เป็แน่
แค่เพียงได้ยินน้ำเสียงเฉยเมยของเขา ใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นระรัว นางผู้ที่ไม่สนใจว่าจะเป็ที่รักหรือที่ชัง ทั้งยังมีจิตใจสงบเยือกเย็น นึกไม่ถึงว่าเวลานี้จะไร้เรี่ยวแรงในการควบคุมจิตใจเสียแล้ว
มู่จื่อหลิงปิดตาลงสูดลมหายใจเข้าลึก ก็แค่เรียกชื่อมิใช่หรือ มิจำเป็ต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่มากดข่มนางเยี่ยงนี้
“ท่านอ๋อง ชื่อนั้นตั้งมาเพื่อให้ผู้อื่นเรียกขาน หม่อมฉันมิคิดว่าจะมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง หากทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคือง ต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ” มู่จื่อหลิงเงยศีรษะพรวดพราด ปลุกความกล้าหาญในตัวพลางกล่าวอธิบาย
เมื่อมองสตรีตรงหน้าที่ประเดี๋ยวหวาดกลัว ประเดี๋ยวงงงัน ประเดี๋ยวก็พูดจามีเหตุผลขึ้นมา ช่างเป็สตรีที่สีหน้าเปลี่ยนไวเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก
หลงเซี่ยวอวี่มิได้กล่าวอะไร สายตาฉายแววลึกล้ำ ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดอยู่
ครู่หนึ่ง สายตาเขาก็กลับสู่ภาวะปกติ ชายหนุ่มหมุนกายเดินออกไปนอกประตู พลางเอ่ยเสียงเ็า “ต่อไปหากเปิ่นหวางไม่อนุญาต ห้ามเข้าไปตำหนักใน”
นี่...เท่านี้ก็ไปแล้วหรือ?
“ฟู่ว...” มู่จื่อหลิงผ่อนลมหายใจ นางใจนหัวใจจะวาย
บรรยากาศของหมอนี่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ตำหนักใน? ตำหนักที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้านในนี้หรือ ไม่เข้าก็ไม่เข้า อย่างไรเสียเวลานี้ก็กลับไม่ได้แล้ว เตียงหยกเหมันต์หลังนั้นปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน ภายหลังค่อยหาโอกาสทดลองอีกครั้ง
ทว่าต่อไปคงต้องอยู่ร่วมกับบุรุษผู้นี้ไปตลอดชีวิตเสียแล้ว แม้จะงามตา แต่ทุกครั้งล้วนทำให้นางรู้สึกราวกับกำลังเล่นรถไฟเหาะ ประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลง ยังดีที่นางมีพื้นฐานจิตใจแข็งแกร่งพอ มิเช่นนั้นต้องเป็โรคหัวใจเป็แน่
แพ้อย่างไรก็ได้แต่มิอาจแพ้บรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายได้ หากแพ้ก็มิใช่มู่จื่อหลิงแล้ว ทหารบุกใช้ขุนศึกต้าน น้ำมาใช้ดินกั้น [2] เมื่อแต่งให้หลงเซี่ยวอวี่ ทั้งชีวิตก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่ามิอาจผ่านไปอย่างสงบสุขได้
อยู่ข้างกษัตริย์อันตรายดั่งอยู่เคียงข้างเสือ แม้นางจะกลัวความตาย แต่มิอาจกลัวจนสูญเสียศักดิ์ศรีและกิริยาได้!
ต่อไปจวนฉีอ๋องคือบ้านของนาง และหลงเซี่ยวอวี่คือูเาเพียงหนึ่งเดียวที่นางสามารถพึ่งพิงได้ ต่อให้เย็นเฉียบ ต่อให้ไกลห่าง ล้วนต้องทำตัวให้เคยชิน
มู่จื่อหลิงมิได้คิดสิ่งใดอีก เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นางจึงแกะผ้าปูเตียงออก ลากผ้าห่มมาคลุมกายแล้วเข้าสู่นิทราไป
เช้าวันต่อมา มู่จื่อหลิงถูกเสี่ยวหานเรียกให้ตื่นอย่างร้อนรน “นายน้อย ตื่นเร็วเ้าค่ะ มีมามาจากวังหลวงกำลังมาทางนี้ กล่าวว่าไทเฮามีรับสั่งให้มารับผ้าพรหมจรรย์เ้าค่ะ”
“อะไรนะ” มู่จื่อหลิงรู้ว่าคนจากวังหลวงไม่ได้มาด้วยเจตนาอันดีแน่ แต่ไม่คิดว่าจะ้าผ้าพรหมจรรย์จากนาง
ขณะนั้นเองมู่จื่อหลิงก็นึกถึงชาติที่แล้วขึ้นมายามที่เห็นคนในยุคโบราณแต่งงาน ในวันที่สองของการแต่งงานใหม่คนโบราณจะต้องตรวจดูว่ามีการหลั่งเืพรหมจรรย์หรือไม่ เพื่อนำมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหญิงสาว
ในใต้หล้านี้ผู้ใดก็รู้ว่าฉีอ๋องเป็โรครักสะอาดมิอาจแตะต้องสตรีได้ เวลานี้ไทเฮาผู้นั้นยังส่งคนมาอีก มิใช่้าให้นางอับอายหรือ
หากถูกโค่นล้มั้แ่ยกแรกก็มิใช่นางมู่จื่อหลิงแล้ว
นางหยิบผ้าปูเตียงสีขาวที่ถูกนางถีบไปมุมเตียงกลับมาอย่างเร่งด่วน นำเข็มเงินออกมาจากระบบซิงเฉินถามเสี่ยวหานว่า “เสี่ยวหานเ้ากลัวเจ็บหรือไม่?”
เสี่ยวหานส่ายศีรษะ “ไม่กลัวเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเ้ายื่นมือออกมา” มู่จื่อหลิงกล่าวขึ้นอีก
เสี่ยวหานยื่นมือออกมา มู่จื่อหลิงนำเข็มเงินแทงเข้าไปที่นิ้วของเสี่ยวหาน
“เสี่ยวหาน ขอโทษนะ ข้ากลัวเข็ม” มู่จื่อหลิงเหลือบมองนางอย่างขอโทษขอโพย จากนั้นก็หยิบผ้าปูสีขาวที่ถูกถีบไปอยู่ริมเตียงกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำเืบนมือของเสี่ยวหานป้ายลงไป
มู่จื่อหลิงไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่กลัวเข็ม ชาติที่แล้วตอนป่วยก็ยอมกินยาไปสองสามวันดีกว่ายอมถูกฉีดยา
เสี่ยวหานเห็นมู่จื่อหลิงนำผ้าปูเตียงมาเช็ดเืบนมือนาง ก็เข้าใจความหมายของมู่จื่อหลิงทันที
ที่แท้คุณหนู้าสิ่งนี้ไปทำผ้าพรหมจรรย์ ยังดีที่คุณหนูฉลาดพอ มิเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวก็ไม่รู้ว่าจะถูกจัดการเยี่ยงไร
เสี่ยวหานส่ายศีรษะอย่างซุกซน “คุณหนู ไม่เจ็บเลยเ้าค่ะ เหมือนถูกยุงกัด”
เวลานี้เองก็มีมามาผู้หนึ่งเข้ามาจากด้านนอก “บ่าวเฒ่าคารวะหวางเฟย”
“ลุกขึ้นเถิด มีธุระใดหรือ?” มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็สงบเยือกเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ขอบพระทัยหวางเฟย ไทเฮารับสั่งให้บ่าวเฒ่ามารับผ้าพรหมจรรย์เพคะ” หลี่มามากล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม
---------------------------
เชิงอรรถ
[1] กงเฟิน หรือก็คือหน่วยเิเในปัจจุบัน
[2] หวางเฟย หมายถึง ชายาอ๋อง
[3] ทหารบุกใช้ขุนศึกต้าน น้ำมาใช้ดินกั้น เป็สำนวนมีความหมายว่าไม่ว่าจะมาไม้ใดก็ล้วนรับมือได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้