เสี่ยวหมี่รีบไปที่มุมห้องเอาผ้าชุบน้ำที่เตรียมไว้ให้ชุ่ม ช่วยเขาเช็ดหน้าเช็ดมือ จากนั้นก็ป้อนยาเม็ดสร่างเมาให้เขาและตามด้วยน้ำอุ่น
ตอนที่นางกำลังยืนขึ้นเตรียมจะเดินออกไป คิดไม่ถึงว่ามือขวาจะถูกดึงไว้
มือใหญ่โตของชายคนนี้คล้ายว่าตลอดชีวิตไม่เคยทำงานหนักมาก่อน เนียนนุ่มไม่หยาบกร้าน ทั้งใหญ่โตและอบอุ่น ใจกลางฝ่ามือถึงกับแผ่ไอร้อนจางๆ ออกมา
ชาติที่แล้วนางเอาแต่ยุ่งอยู่กับการใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน ยุ่งอยู่กับการดูแลน้องสาวน้องชายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นางไม่เคยมีแฟนมาก่อน เพราะไม่มีเวลามากพอ
บางครั้งยามที่ดูภาพยนตร์หรือซีรีย์โรแมนติก ก็ใช่ว่านางจะไม่เคยรู้สึกอิจฉามาก่อน
หากวันใดมีใครสักคนที่รักนางได้มากถึงเพียงนั้น ยินดีจะปกป้องเป็เกราะกำบังให้นาง ยินดีจะช่วยนางแบ่งเบาภาระ นางเองก็อยากจะแอบซ่อนอยู่ในอ้อมอกของคนผู้นั้น ร้องไห้ปลดปล่อยความอ่อนแอของตนออกมา
แต่วันนี้ ในวันที่นางข้ามเวลามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง นี่เป็ครั้งแรกที่นางถูกชายคนหนึ่งกุมมือไว้
คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา มีความรู้ ดูเป็คนดีน่าเชื่อถือ ทั้งยังดีกับนางมาก แต่เหตุใดใจของนางจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ กัน
คล้ายว่าใจดวงน้อยของนางอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ และไม่อาจนำกลับมาประกอบกลับเป็หัวใจดวงเดิมได้อีก
“ท่านเป็ใครกันแน่? ท่านมาจากที่ใด แล้วจะไปยังที่ใด? เหมือนนกน้อยที่มาหลบอยู่ที่บ้านข้าเพียงชั่วคราว หรือคิดจะสร้างรังตั้งรกรากที่นี่”
เสี่ยวหมี่ดึงมือของตนออกเบาๆ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
ขนตาของเฝิงเจี่ยนสั่นไหวน้อยๆ เขากำหมัดแน่นแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด
เสี่ยวหมี่ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มถอนใจเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
“ราตรีสวัสดิ์ ขอให้ฝันดี”
บานประตูที่ไม่ได้หยอดน้ำมันเป็เวลานานฝืดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เสี่ยวหมี่ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คืนนี้นางกลับรู้สึกว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดนี้ช่างน่าเศร้าราวกับเสียงร้องไห้
บนหลังคาเกาเหรินแอบมองลงมา เห็นเงาหลังอันเศร้าสร้อยของแม่นางน้อย เขาถลึงตาใส่หลังคาห้องอย่างดุดัน ถึงขนาดเหยียบกระเื้ัคาแตกละเอียด
ผู้เฒ่าหยางเองก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากมุมไหน เขาทอดถอนใจเบาๆ
เป็เขาที่ประเมินจิตใจเด็ดเดี่ยวและความห้าวหาญของแม่นางลู่ต่ำเกินไป หรือว่าประเมินความกล้าของท่านผู้นั้นสูงเกินไป?
คืนนี้เงียบสงัด สายลมที่เริ่มอบอุ่นขึ้นแล้วในยามกลางวันกลับหนาวเหน็บอีกครั้งในยามค่ำคืน
สัตว์น้อยและต้นกล้าที่เดิมเชื่อมั่นว่าฤดูใบไม้ผลิใกล้มาถึงแล้ว พยายามชูคอท้าสายลม ยามนี้ต่างพากันหดศีรษะกลับไป
รอก่อนก็แล้วกัน รอจนความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิมาถึงจริงๆ รอจนถึงตอนที่อากาศจะไม่กลับมาหนาวเหน็บอย่างโหดร้ายในยามค่ำคืนอีก...
ไม่ว่าเมื่อคืนนี้จะหนาวเหน็บโหดร้ายอย่างไร แต่เมื่อพระอาทิตย์มาถึงพร้อมกับเช้าวันใหม่ ทุกชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปถามวัฏจักร
เถ้าแก่เฉินให้คนนำผ้าทะเลยี่สิบกว่าพับมาให้ และถือโอกาสตัดผักสดไปอีกหนึ่งเพิง เมื่อคำนวณราคากันแล้วเงินค่าผักเพียงพอจะซื้อผ้าทะเลชุดนี้และเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เสี่ยวหมี่ก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร รอจนข่าวลือออกไปว่าเพิงเลี้ยงต้นกล้ากับผ้าทะเลมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ถึงตอนนั้นราคาผ้าทะเลคงจะพุ่งสูงไปกว่านี้มาก
จึงเป็การดีที่จะกักตุนเอาไว้ก่อนั้แ่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเอาไว้ใช้เองหรือแจกจ่ายให้คนในหมู่บ้านใช้ด้วย
ผักชุดแรกที่ขาย นางนำเงินส่วนนี้มาใช้ทุนที่เสียไป ผักชุดที่สองนางนำเงินนี้มาซื้อผ้าทะเลกักตุนไว้ เมื่อถึงเวลาขายผักชุดที่สาม นางคงต้องนำเงินนั้นมาลงทุนกับมันฝรั่งต่อ
บางทีเมื่อถึงการขายผักครั้งที่สี่ครั้งที่ห้า เงินส่วนนั้นอาจนับได้ว่าเป็กำไรล้วนๆ ก็เป็ได้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป ใครจะรู้ว่าราคาผักจะลดอย่างฮวบฮาบหรือไม่ หรือบางทีฟ้าอาจจะส่งหิมะชุดใหญ่ลงมาทำลายต้นกล้าพวกนี้จนย่อยยับ
นางสรุปได้ว่า ยังจำเป็ต้องหาช่องทางหาเงินอื่นเพิ่มอีก
แน่นอน นางไม่ยอมรับหรอกว่าที่จู่ๆ นางคิดหาเื่ยุ่งเพราะไม่อยากให้สมองวนไปคิดเื่ที่ไม่ควร...
แต่การหาเงินนั้น คิดง่ายแต่ทำยาก
อีกทั้งด้วยสถานะในปัจจุบันของสกุลลู่ มีข้อจำกัดที่ต้องหากำไรให้มาก โดยลงทุนให้น้อยที่สุด และต้องเป็การค้าที่ไม่ดึงดูดสายตาของผู้อื่นมากเกินไป ซึ่งเป็เื่ยากอย่างยิ่ง
ที่โต๊ะอาหารกลางวัน เสี่ยวหมี่เอาแต่ขมวดคิ้วคีบข้าวแต่ลืมคีบกับ
ที่โต๊ะอาหารเย็น ลู่เสี่ยวหมี่เอาแต่คีบถั่วลันเตาต้มเกลือที่ปกตินางไม่เคยกินโดยไม่แตะข้าวแม้แต่คำเดียว
ที่โต๊ะอาหารเช้า เสี่ยวหมี่ถือถ้วยโจ๊กนิ่งไม่มีช้อน เมื่อนึกขึ้นได้ก็เดินไปหยิบช้อนที่ห้องครัว แต่กลับหยิบมาแต่ตะเกียบ สุดท้ายก็ต้องเดินกลับห้องครัวไปอีก...
สภาพเช่นนี้ของนางต่อให้จะเป็ลู่อู่ที่โง่งมไม่เคยสนใจเื่ใด ก็ยังพบความผิดปกติ นับประสาอะไรกับเฝิงเจี่ยนนายบ่าวที่ล้วนเฉลียวฉลาด รวมถึงบิดาลู่และพี่ใหญ่ลู่
ยามนี้ หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ เห็นเสี่ยวหมี่เก็บจานชามเตรียมจะเดินไปที่ห้องสุขา ลู่อู่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาเดินก้าวยาวๆ ตามน้องหญิงไป ะโว่า “น้องสาว มีใครรังแกเ้าหรือไม่ เ้าบอกมาเถิด พี่รองจะช่วยแก้แค้นแทนเ้าเอง”
พูดจบเขาก็ส่งสายตาดุร้ายไปทางเฝิงเจี่ยนนายบ่าว
อย่าคิดว่ายามปกติเขาเห็นแก่กินอย่างเดียว แล้วจะโง่งมไม่รู้เื่ใด
หลายวันมานี้น้องสาวของเขาผิดปกติ เ้าหนุ่มนี่ก็มีสีหน้าไม่ดี ยามปกติหากมีอาหารอร่อยขึ้นโต๊ะ ต่อให้เ้าหนุ่มนี่จะไม่แสดงอาการตื่นเต้นเป็พิเศษ แต่ก็มักขยับตะเกียบอย่างรวดเร็วแม่นยำไม่แพ้ใคร แต่หลายวันนี้ชัดเจนว่าเขากินน้อยพูดน้อยลง
เห็นได้ชัดว่ามีชนักติดหลัง หากไม่ใช่ว่าเขารังแกน้องสาวแล้วยังจะมีใครอีก
เฝิงเจี่ยนคล้ายไม่รู้สึกถึงสายตาของลู่อู่ เขายืนนิ่งเงียบขรึมปล่อยให้แสงแดดไล้เลียใบหน้า
ลู่เสี่ยวหมี่เพียงหันไปมองแวบหนึ่ง หัวใจนางบีบรัด ทั้งคับข้องใจและดื้อรั้นไม่ยินยอม เหนือสิ่งอื่นใดคือรู้สึกสับสน...
“พี่รอง ท่านคิดมากเกินไปแล้ว มีใครรังแกข้าที่ไหนกันเล่า ข้าแค่กำลังคิดว่าจะหาเงินเยอะๆ ได้อย่างไร”
“หาเงิน? บ้านเรามีสวนผักแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะขาดเงินได้อย่างไรอีก?”
ลู่อู่ได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขาถนัดเื่ใช้กำลัง แต่ถ้าพูดถึงเื่หาเงินแล้ว สิ่งเดียวที่เขาคิดออกก็คือการขึ้นเขา...
“พออากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ผักพวกนี้ก็ขายไม่ได้ราคาสูงแล้ว” ลู่เสี่ยวหมี่หัวเราะหยอกล้อพี่ชาย “อีกอย่าง หาเงินให้ได้มากๆ ย่อมมีประโยชน์ พี่ใหญ่และท่านไม่สอบรับราชการ แต่ก็ยังต้องแต่งพี่สะใภ้เข้าบ้าน มีหลานสาวหลานชายให้ข้าไม่ใช่หรือ”
ลู่อู่ได้ยินก็หน้าแดง โบกไม้โบกมือ “เื่นี้เ้าไปหาพี่ใหญ่เถอะ เขาโตที่สุด แน่นอนว่าย่อมต้องให้เขาแต่งก่อน ข้า...ข้ายังเล่นสนุกไม่พอเลย ไม่อยากหาคนมาควบคุม” พูดจบ เขาคล้ายจะกลัวว่าน้องสาวจะยัดเยียดภรรยามาให้ จึงรีบหนีหายไปทันที
เหลือเพียงเสี่ยวหมี่ที่รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป นางหันไปมองเฝิงเจี่ยนพลางพยักหน้าน้อยๆ ให้เป็การทักทายแล้วเดินจากไป
เสี่ยวหมี่เดินตรวจตราเพิงผักข้างรั้วทีละเพิงๆ นางเลิกผ้าทะเลขึ้นให้อากาศถ่ายเทและเพื่อให้แสงแดดส่องเข้าไป อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นแล้ว บวกกับในดินผสมอุจจาระม้าไว้ ต่อให้เป็ยามกลางคืนก็ไม่ต้องกลัวว่าเหล่าต้นกล้าจะหนาวเหน็บ
รออีกสองสามวันเมื่อแสงแดดแรงกล้ากว่านี้ ยามเที่ยงก็คงจะสามารถเลิกผ้าทะเลออกได้ทั้งหมด ให้ต้นกล้าทุกต้นได้ตากแดดเต็มที่
บรรดาชาวบ้านเดินตามรอยเสี่ยวหมี่ แรกเริ่มก็เขินอายอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เริ่มซักถามเื่วิธีการปลูกผัก
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ปิดบัง นางถ่ายทอดทุกอย่างั้แ่วิธีการเพาะปลูก การเตรียมดิน ราคาผ้าทะเลต้นทุนทั้งหลายก็ล้วนอธิบายอย่างละเอียด
ทางหนึ่งชาวบ้านก็ดีใจที่วิธีเพาะปลูกไม่ได้ยากอย่างที่พวกเขาคิด อีกทางหนึ่งก็หนักใจเพราะราคาผ้าทะเลนี้แพงเกินไป ต่อให้เอาเงินทั้งหมดที่มีในบ้านมารวมกันก็ไม่แน่ว่าจะซื้อกลับมาได้สักพับหรือไม่
ถึงแม้ที่บ้านเสี่ยวหมี่จะซื้อผ้าทะเลเตรียมไว้หลายพับแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปริปากบอกทุกคนว่านางได้เตรียมการไว้ให้แล้ว
โบราณว่าไว้ ข้าวหนึ่งเซิ่งเป็บุญคุณ ข้าวหนึ่งโต่วเป็ความแค้น [1]
หากให้ความช่วยเหลืออย่างง่ายดายจะกลายเป็ความเคยชิน สุดท้ายหากทำให้พวกเขาไม่พอใจเพียงน้อยนิด อาจกลายเป็ว่าความดีที่เคยทำมาก่อนหน้าก็อาจไม่เหลืออยู่ในความทรงจำพวกเขาแล้ว
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ใจคนเป็สิ่งที่ซับซ้อนที่สุด บางครั้งเต็มร้อยหักไปเพียงหนึ่ง ในใจผู้อื่นไม่ได้เหลือเก้าสิบเก้าแต่กลายเป็ศูนย์
แน่นอน ผ้าทะเลในคลังสกุลลู่สุดท้ายก็ต้องแบ่งให้คนในหมู่บ้าน แต่จะแบ่งให้อย่างไร จะเขียนสัญญากู้ยืม หรือให้คนในหมู่บ้านแบ่งเงินค่าผักที่ขายได้ให้สกุลลู่สักส่วนหนึ่ง เื่นี้เอาไว้ค่อยว่ากันปีหน้า
ไม่ผิดจากที่คาด บรรดาสตรีพวกนั้นหนักใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายมองซ้ายมองขวาสังเกตสีหน้าของเสี่ยวหมี่ คิดจะเอ่ยปากพูดอะไร ก็ถูกเหล่าบุรุษถลึงตาดุดันใส่
เสี่ยวหมี่คล้ายว่าจะไม่รู้ตัว นางเลิกเพิงข้าวโพดขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ต้นกล้าข้าวโพดพวกนี้เติบโตอย่างดี อีกสักครึ่งเดือนก็คงจะลงดินได้แล้ว ไม่รู้ว่าทางเถ้าแก่เฉินจะหาซื้อไข่ดินให้ข้าได้หรือไม่”
บางคนถามขึ้นด้วยความสงสัย “เถ้าแก่เฉินจะส่งไข่ดินมาจากที่ใดหรือ อยู่ไกลมากเลยหรือ?”
เสี่ยวหมี่พยักหน้า “ไกลมากเลย ได้ยินว่ามาจากเมืองตงโจวทางทิศใต้ของเมืองหลวง ที่ตงโจวไข่ดินไม่นับว่ามีราคาสูงนัก แต่ระหว่างขนส่งต้องใช้เงินไม่น้อย ไข่ดินหนึ่งจินคงมีราคาประมาณสิบอีแปะได้กระมัง”
“แพงขนาดนี้เชียวหรือ”
ชาวบ้านพากันตกอกใ แบมือออกมานับนิ้ว “ที่ดินสามสิบหมู่ต้องใช้ไข่ดินกี่จินกัน หนึ่งจินสิบอีแปะ ต้องใช้เงินเท่าไรกัน”
วันนี้ห้องเรียนสกุลลู่หยุดพัก หนึ่งเดือนมีเวลาพักแค่สามวันเท่านั้น พวกเด็กๆ ไม่ต้องเข้าเรียน ตอนนี้กำลังเดินตามก้นพ่อแม่หัวเราะกันอย่างสนุกสนานเฮฮา เห็นบิดาตัวเองแบมือออกนับนิ้วก็รู้สึกอับอายแทน จึงเสนอตัวช่วยนับ
เสี่ยวหมี่ย่อมยินดี มือของนางทำงานไปปากก็ไม่หยุดพูด
“ที่ดินหนึ่งหมู่สามารถปลูกไข่ดินได้อย่างน้อยสามร้อยจิน ที่ดินทั้งหมดสามสิบหมู่ ไข่ดินหนึ่งจินราคาสิบอีแปะ”
พวกเด็กๆ เด็ดกิ่งไม้ นั่งยองๆ ขีดเขียนบนพื้น พวกเขาเกาหัวแกรกๆ อย่างงุนงง ทุกคนเห็นแล้วก็พากันหัวเราะออกมา
ดีที่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่นับว่าเรียนเสียเปล่า หลังจากใช้เวลาขบคิดไปถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ ในที่สุดก็คำนวณออกมาได้
“เก้าสิบตำลึง”
“ใช่แล้ว เก้าสิบตำลึง”
ชาวบ้านได้ยินก็ตาโต มองไปทางลู่เสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่ยิ้มพยักหน้า “คำนวณได้ถูกต้องแล้ว ตอนบ่ายข้าจะทอดขนมเกลียว ให้รางวัลพวกเ้าคนละชิ้น”
“ขอบคุณพี่เสี่ยวหมี่”
“ขอบคุณท่านอาจารย์น้อย”
เด็กๆ ตื่นเต้นดีใจกันอย่างยิ่ง
พวกชาวบ้านสบตากันไปทีหนึ่ง สีหน้าดูรู้สึกผิดกันเล็กน้อย ข้าวโพดของสกุลลู่ยกให้พวกเขาจึงต้องไปสั่งซื้อไข่ดินมาปลูกแทน ซึ่งต้องใช้เงินมากถึงเก้าสิบตำลึง
สวนผักนี้มีทั้งสิ้นสิบเพิง มีสี่เพิงใช้ปลูกต้นกล้าข้าวโพดให้พวกเขา อีกหนึ่งเพิงใช้เพาะปลูกผักเครื่องเคียงอย่างแตงกวา ถั่วเป็ต้น มีแค่ห้าเพิงที่ปลูกผักสำหรับขายจริงๆ ไม่น่าจะทำกำไรมากพอให้พวกเขาซื้อไข่ดินได้นี่นา...
ในใจพวกเขาคิดจะบอกว่าไม่อยากได้ต้นกล้าข้าวโพดไปปลูกแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา อย่างไรเสียนี่ก็นับว่าเป็เสบียงครึ่งเดือนของครอบครัวเชียวนะ
เชิงอรรถ
[1] ข้าวหนึ่งโต่วเป็ความแค้น(升米恩,斗米仇)เซิ่งและโต่วเป็หน่วยวัดตวงของจีน หนึ่งโต่วเท่ากับสิบเซิ่ง หมายความว่าหากเราหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่นใน่ที่เขากำลังลำบากถึงจะน้อยนิดผู้อื่นก็จะซาบซึ้ง แต่หากให้ความช่วยเหลือมากเกินไป กลายเป็ว่าเขาต้องพึ่งพาเราอยู่ตลอด วันหนึ่งเมื่อเราไม่อาจหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ได้เพียงพอกลับจะทำให้อีกฝ่ายเคียดแค้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้