จ้าวซื่อนั้นปากเสียมาก และนางก็ใช้มันสาปส่งหลินซานหลาง สาปส่งราวกับเขาไม่ได้คลอดออกจากท้องของนาง สาปส่งจนชวนให้คิดว่าต่อให้เจอศัตรูคู่อาฆาตมาอยู่ตรงหน้า ก็ไม่น่าจะสาปส่งได้รุนแรงขนาดนี้
และสิ่งที่ทำให้หลินซานหลางตกตะลึงยิ่งกว่า ก็คือสายตาของผู้เป็พ่อผู้แทบไม่เคยพูด ที่จ้องเขาอย่างชิงชัง
ก่อนจะดุด่าเขาอย่างรุนแรงว่าเป็ตัวสิ้นเปลือง ดุด่าว่าไม่รู้จักดีชั่ว
แม้กระทั่งผู้เป็ย่า ก็ยังหยิกหูและตะคอกใส่ว่าไม่น่าเลี้ยงเขามาเลย
หลินซานหลางไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนถึงทำกับเขาเช่นนี้?
เขาจำได้ว่าเขากลัวถูกคนในบ้านดุด่า และเพราะพวกเขาต่างก็อยากให้เขาไปเป็ลูกของบ้านสาม เขาจึงไปดูว่าบ้านสามมันมีอะไรดีกันแน่!
แต่เพราะการเล่นพิเรนทร์ของเขา อาสามจึงสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้บ้านสามอีก เพราะกลัวว่าเขาจะไปทำร้ายน้องสาวที่ยังเล็กคนนั้น…
และในตอนที่มีโอกาส เขาได้แอบย่องไปเกาะหน้าต่างบ้านสาม แล้วจึงได้เห็นฉู่ซื่อและลูกสาวของบ้านสามที่ดูราวกับเทพธิดาลงมาจุติ
เป็ตอนนั้นเองที่ฉู่ซื่อเห็นเขาเข้า เทพธิดาองค์นั้นจึงเปิดหน้าต่างออกมาแล้วหยิกหู ก่อนจะลากเขาเข้าบ้าน
หลินซานหลางหวาดกลัวมาก เขาอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น แต่ขาทั้งสองกลับหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยแท่งเหล็ก
ฟู่อินที่เดินตามเขามาส่งเสียงหัวเราะ เขากลัวมาก แต่ฉู่ซื่อนั้นเดือดดาลจนไม่ยอมให้เขาส่งเสียงร้อง
ฉู่ซื่อให้เขานั่งลงที่โต๊ะ แล้วให้ฟู่อินจับตามองเพื่อไม่ให้เขาหนี
จากนั้นไม่นานก็มีเจียนปิ่งร้อนๆ วางลงบนโต๊ะ เจียนปิ่งที่ใส่ต้นหอมและเนื้อหมูหั่นบางๆ
เขาตัวสั่นสะท้าน และมองเจียนปิ่งนั้นพร้อมน้ำลายที่ไหลย้อย
แล้วอาสะใภ้สามที่ดูราวกับเทพธิดา ก็จับมือเขาแล้วยื่นไปหาเจียนปิ่ง น้ำเสียงของนางอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ นางกล่าวว่า “เ้าเป็บุรุษ เป็หลานของอาสามของเ้า ดังนั้นก็จงใช้ฝ่ามืออันสมชายคู่นี้สู้เพื่อคว้าสิ่งที่้าเสีย…”
เขาไม่เคยเรียนหนังสือ ตอนแรกเขาจึงไม่เข้าใจ แต่แล้วเขาก็เข้าใจความหมายนั้นได้
เขารู้สึกอบอุ่นราวกับถูกโอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์ เขาบอกกับตัวเองว่าเขาอยากเป็อย่างอาสาม อยากเป็คนที่ต่อสู้จนคว้าชีวิตที่ตัวเอง้ามาไว้ในมือได้
บ้านอิฐสีฟ้าหลังใหญ่ ที่ดินกว่าหนึ่งร้อยหมู่ [1] และเขาอยากแต่งงานกับภรรยาที่งดงามที่สุด
เหมือนอาสะใภ้สามผู้นี้!
ทว่าหลังจากนั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับอาสะใภ้สามก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
เขาไม่กล้าไปหานาง แม้แต่ฟู่อินที่เคยหัวเราะใส่เขาก็ยังหยุดยิ้มให้
เขาคิดอะไรไม่ออก เขาไม่คิด ในหัวมันปั่นป่วนจนแทบอยากตาย จะสืบทอดดี หรือไม่สืบทอดดี
แต่มันก็ทำได้แค่นั้น ทำได้เพียงถูกดูแคลนต่อไปเรื่อยๆ
ต่อมา อาสะใภ้ผู้เหมือนกับเทพธิดาผู้นั้นก็ตายไป ฟู่อินถูกกล่าวหาว่าเป็ดาวหายนะก็ถูกเผาจนตาย เขายิ่งสิ้นหวังลงไปอีก
เขาอยากตาย ตายมันตรงนี้เสีย
เขารู้สึกเหมือนตายทั้งเป็ แต่วันนี้ฟู่อินกลับกล่าวบางสิ่งกับเขา นางว่าอะไรนะ?
ครั้งแรกที่ได้กินอาหารร่วมกันหรือ?
ไม่ ไม่ใช่ครั้งแรก!
นี่เป็ครั้งที่สอง!
ไม่สิ ไม่ใช่ครั้งที่สอง เพราะตอนนั้นนางเพียงมองเขากิน แต่นางไม่ได้กินด้วย
“ฟู่อิน นี่เ้า…”
หลินฟู่อินคาดไม่ถึงว่าหลิงซานหลางจะคุยกับนาง นางจึงมองเขาอย่างประหลาดใจ
เขาเรียกนางว่า “ฟู่อิน” หรือ?
น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกและความคุ้นเคย ญาติหลินซานหลางผู้นี้ช่างแปลกประหลาดนัก
“ข้า… เ้า เ้าจำเื่เมื่อห้าปีก่อน ในตอนที่ข้าถูกแม่เ้าอุ้มเข้ามาได้หรือไม่?” หลินซานหลางถามด้วยปากชุ่มน้ำมัน ดวงตามองหลินฟู่อิน สีหน้าโหยหาถึงวันวาน
ห้าปีก่อน? แม่นางอุ้มเข้าบ้าน?
หลินฟู่อินก้มหน้า เพื่อไม่ให้หลินซานหลางเห็นใบหน้าที่กำลังสับสนนั่น
แต่แล้วก็มีประกายความทรงจำสว่างขึ้นในสมอง
ใช่!
จำได้แล้ว
ห้าปีก่อน ญาติหลินซานหลางผู้นี้แอบลอบมองเข้ามาในบ้านทางหน้าต่าง ฉู่ซื่อจึงพาเขาเข้ามาข้างในบ้าน แล้วทำเจียนปิ่งให้เขา
เจียนปิ่งในตอนนั้นก็ใส่ต้นหอมและเนื้อหั่นเช่นกัน…
นางเงยหน้าขึ้นมองหลินซานหลางอย่างรวดเร็ว ทั้งสองจมอยู่ในความเงียบ
เกิดเป็ความเงียบอันแปลกประหลาด
“ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้อยากมาเป็ผู้สืบทอดของบ้านสามหรอก ั้แ่อายุเก้าขวบก็ไม่อยากแล้ว…” หลินซานหลางส่งเสียงขึ้นจมูกพลางมองหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินประทับใจที่เขาบอกว่าเขาไม่ได้อยากมาเป็ผู้สืบทอดบ้านสาม
เช่นนั้นแล้ว คำสอนของฉู่ซื่อเมื่อห้าปีก่อนก็ไม่ได้เสียเปล่า
“แต่เหตุใดเมื่อครู่ถึงบอกว่าอยากมาเป็ผู้สืบทอดกัน? ไม่รู้หรือว่าข้ามีน้องชายอยู่แล้ว?” หลินฟู่อินถาม
สายตานั้นเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ร่างกายดูส่องประกายราวสายรุ้งสว่างไสว เมื่อหลินซานหลางเห็นนางเช่นนี้จึงอดหดคอหลบไม่ได้
หลินฟู่อินอยากเห็นว่าหลินซานหลางคิดอะไรอยู่ และอยากทำอะไรกันแน่
นางยังไม่กล้าพอที่จะเชื่อใจมนุษย์คนอื่น
แม้แต่ย่าหลี่ที่อยู่ๆ ก็โผล่มา ก็ยังเรียกได้ว่าน่าสงสัย ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อถือนาง แต่นางไม่กล้าไว้ใจ
“ข้า… คิดถึงความเป็ไปได้ที่อาสามจะไม่อยู่แล้วจริงๆ ไว้ เพราะหากเขาจากไปแล้วจริงๆ อย่างที่ลุงๆ ป้าๆ ในหมู่บ้านพูดกันไว้ เ้ากับสองพี่น้องนั่นก็จะกลายเป็เด็กกำพร้าไปจริงๆ บ้านของพวกเ้าจะไม่เหลือเสาหลักให้พึ่งพิง ข้าจึงคิดว่าจะมาเป็เสาต้นนั้นให้…” หลินซานหลางกล่าวอย่างระมัดระวัง และอดแอบหยุดลอบมองสีหน้าของหลินฟู่อินไม่ได้
สีหน้าของหลินฟู่อินปราศจากความรู้สึกใด
จิตใจของหลินซานหลางเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา
“เ้าไม่ต้องคิดมากก็ได้ เพราะนี่เป็เื่ที่ข้าคิดเองเออเองคนเดียว นั่งคิดอยู่หลายวันเลยกว่าจะได้คำตอบนี้ออกมา” หลินซานหลางอธิบาย
หลินฟู่อินยังคงเงียบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลินซานหลางยิ่งรู้สึกกดดันหนักขึ้นอีก เมื่อเจอสีหน้าไร้ความรู้สึกที่มาพร้อมความเงียบนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหนดี
“ข้ากลับก่อนนะ…” หลินซานหลางไม่กินเจียนปิ่งแล้ว เขาอยากจะลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปให้พ้น
“กลับมานั่งก่อน!” หลินฟู่อินะโเรียกเขา
หลินซานหลางหยุดเท้าทันที แล้วจึงค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ
“ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่าน้าจะสื่อ แต่ตอนนี้บ้านนี้มีข้าแล้ว และพวกน้องๆ ของข้าก็จะเติบโตขึ้นกับข้าในบ้านหลังนี้ ไม่ต้องให้ท่านมาสืบทอดบ้านต่อหรอก”
ใบหน้าของหลินซานหลางร้อนผ่าว รู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นถังใหญ่ราดใส่หัว เขายิ้มออกมา “ข้ารู้ ข้าจะไม่พูดเื่นี้อีก”
“แต่ขอขอบคุณท่าน อย่างน้อยๆ ท่านก็ยังคิดถึงพวกข้าสามพี่น้อง” หลินฟู่อินพูดในเื่ที่นางอยากจะพูด โดยที่ไม่ได้สนใจความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย
หลินซานหลางร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง เขาััได้ถึงความอบอุ่นในใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา
เขาหันกลับมาแล้วจึงยิ้ม และเป็ตอนนั้นเอง ที่หลินฟู่อินได้เห็นว่าหลินซานหลางผู้นี้ ที่จริงแล้วหน้าตาดีใช้ได้
ไม่ใช่แค่ใบหน้าดูดี แต่ทั้งตัวยังดูสะอาดให้ความรู้สึกสดชื่น ขัดกับสภาพร่างกายที่ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแลนั่นเลย
“ตลอดหลายปีมานี้ เพราะแม่ของข้าเอาแต่ป่าวประกาศไปทั่วว่าข้าจะเป็คนสืบทอดบ้านของเ้า ข้า… ข้าจึงไม่เคยมีความสุขเลย” เขาพยายามอธิบาย
ได้ยินคำพูดขาดๆ หายๆ นั้นของหลินซานหลาง หลินฟู่อินจึงเข้าใจทุกสิ่งในทันที
------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งร้อยหมู่ หมายถึง สี่สิบเอ็ดไร่ โดย 1 ไร่ เท่ากับ 2.4 หมู่ หรือ 1 หมู่ เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้