“คือว่านะเสี่ยวหมี่...สิ่งปฏิกูลนี่ก็สกปรกเกินไป ปกติเวลาสามีข้าทำความสะอาดลอกท่อข้ายังรังเกียจจนทนไม่ไหว หากเขาไม่ทำความสะอาดร่างกายจนสะอาดเอี่ยมอ่อง ข้าไม่มีทางยอมให้เขาขึ้นเตียง แม่นางน้อยสะอาดสะอ้านเช่นเ้าจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไรกัน?”
“นั่นน่ะสิ สกปรกนัก หากเ้าไม่อยากได้แป้งข้าวโพดเป็ค่าเล่าเรียน เช่นนั้นเปลี่ยนเป็จิงหมี่ [1] หรือหนังสัตว์ขนสัตว์ก็ได้ จะเอาของสกปรกไม่ได้เด็ดขาด”
บรรดาสตรีสาวๆ คัดค้านเสียงดัง ไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่าเหตุใดเสี่ยวหมี่จึง้าของสกปรกเช่นนั้นเป็ค่าเล่าเรียน
แม่นางน้อยลู่เสี่ยวหมี่ถูกเสียงรอบข้างโจมตีไม่หยุดจนรู้สึกปวดหูปวดหัว หูอื้อไปหมด รีบยกมือยอมแพ้ทันที
“พี่สะใภ้ทั้งหลาย ข้าผิดไปแล้ว ต้องโทษข้าที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจน” นางมุดออกจากวงล้อมออกไปรินน้ำชาให้ทุกคน “พี่สะใภ้ทั้งหลายอย่าเข้าใจผิด สิ่งปฏิกูลพวกนี้ถึงแม้จะสกปรกไปบ้าง แต่ข้าเคยอ่านตำราเจอว่า หากนำมาทำเป็ปุ๋ยจะช่วยบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ได้ หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้าคิดจะลองดูเ้าค่ะ แต่บ้านข้าก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่คน ส่วนมูลม้าก็มีฤทธิ์ร้อนเกินไป อาจส่งผลกับรากพืชได้ ข้าถึงได้มาขอเอาจากพวกพี่สะใภ้นี่แหละเ้าค่ะ”
“จริงหรือ?”
ทุกคนยังคงไม่เชื่อ ลู่เสี่ยวหมี่ไร้หนทางจึงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านป้าหลิว เนื่องจากก่อนหน้านี้สกุลลู่ทำอาหารแปลกใหม่ออกมามากมาย โดยเฉพาะถังหูลู่ที่ทำออกมาขายก่อนหน้านี้ ท่านป้าหลิวจึงนับว่ามีความมั่นใจในสติปัญญาของเสี่ยวหมี่อยู่ไม่น้อย ในที่สุดจึงยอมช่วยโน้มน้าวพวกนาง “เอาล่ะ เสี่ยวหมี่เป็คนฉลาด ที่มาขอสิ่งปฏิกูลพวกนี้ไปเกรงว่าคงจะเอาไปใช้ทำการใหญ่ อย่างไรเสียที่บ้านพวกเราก็ไม่ได้จะเอาไปใช้ทำอะไร เช่นนั้นก็ยกให้นางทั้งหมดนั่นแหละ หากว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วเสี่ยวหมี่ยังไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเ้าสิ่งนี้ ถึงตอนนั้นเราค่อยให้แป้งข้าวโพดแก่นางแทนก็ใช้ได้แล้ว”
คำพูดของนางมีเหตุผลมาก ทุกคนสบตากันไปทีหนึ่งก็พยักหน้าตกลง
สนทนาเื่สัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่ง บรรดาสตรีสาวๆ ก็ขอตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน
เื่การศึกษาของบุตรเป็เื่ใหญ่ไม่ว่ากับครอบครัวใดก็ตาม โดยเฉพาะกับครอบครัวนายพรานเหล่านี้ พวกเขาหวังว่าบุตรของตนจะพออ่านออกเขียนได้บ้าง ไม่แน่อาจมีโอกาสหลุดพ้นจากคมดาบและคาวเื หากไม่ต้องเสี่ยงชีวิตกับสัตว์ป่าบนเขาแบบนี้ไปทั้งชีวิตได้ก็ยิ่งดี
ั้แ่ที่สะใภ้ของตนออกจากบ้านไป คนอื่นๆ ที่บ้านก็พากันชะเง้อคอรอ ในที่สุดเมื่อพวกนางกลับมาย่อมถูกลากไปซักถามอย่างละเอียด
ดังนั้นเื่ที่ลู่เสี่ยวหมี่้าของตอบแทนเป็สิ่งปฏิกูลจึงถูกลือไปทั้งหมู่บ้านเขาหมี
บุรุษบางคนที่ใจร้อนสักหน่อยถึงกับชี้หน้าด่าภรรยาตัวเอง “เป็เ้าที่ตระหนี่ถี่เหนียวไปเองหรือเปล่า ไม่ยินดีจะมอบเสบียงอาหารเป็ค่าเล่าเรียนให้สกุลลู่ เสี่ยวหมี่จึงออกปากอยากได้สิ่งปฏิกูลพวกนั้นไปเพราะโมโห”
“ไม่ใช่ เสี่ยวหมี่อยากได้ของพวกนี้เป็ค่าเล่าเรียนจริงๆ ไม่เชื่อพวกท่านก็ไปถามท่านป้าหลิวสิ”
บรรดาสะใภ้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาร่วง ลากบุรุษของตนไปบ้านท่านป้าหลิวเพื่อให้เป็พยานให้ ท่านป้าหลิวเป็คนมีน้ำใจตรงไปตรงมา คำพูดของนางในหมู่บ้านเขาหมีนับว่าน่าเชื่อถืออยู่มาก จึงช่วยขจัดความเข้าใจผิดให้กับสตรีเ่าั้อย่างรวดเร็ว
บรรดาบุรุษพวกนั้นถูกภรรยาหยิกจนเอวเขียวไปตลอดทางกลับบ้าน ส่วนเสี่ยวหมี่ไม่สนใจเื่เหล่านี้ นางยุ่งอยู่กับการจัดเก็บเรือนพักฝั่งตะวันตก
เมื่อชาติก่อนนางเริ่มสอนน้องๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเขียนอ่านั้แ่นางยังอยู่ชั้นประถมสองประถมสาม มาตอนนี้ต้องสอนหนังสือให้เด็กในหมู่บ้านสิบกว่าคนก็ไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด
เรือนพักฝั่งตะวันตกถูกปัดกวาดจัดเก็บอย่างเรียบร้อย เตรียมเตาเข้ามาเพิ่มความอบอุ่น และตกแต่งใหม่ให้ดูมีชีวิตชีวากว่าเดิม
เรือนพักฝั่งตะวันออกได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทางฝั่งนี้ ผู้เฒ่าหยางจึงเดินข้ามลานมาเพื่อจะช่วยอีกแรง
เสี่ยวหมี่ไม่กล้าให้ผู้เฒ่าหยางออกแรง รีบบอกให้เขานั่งลง ส่วนนางก็ทำงานต่อไปพลางคุยสัพเพเหระกับเขา
ผู้เฒ่าหยางฟังอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มทนไม่ไหวเอ่ยปากถามว่า “แม่นางลู่ สิ่งปฏิกูลพวกนั้นจะช่วยทำให้ที่ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้จริงหรือ? ไม่ทราบว่าเ้าเห็นมาจากตำราเล่มใดหรือ”
ลู่เสี่ยวหมี่คิดคำแก้ตัวไว้อยู่แล้ว ได้ยินคำถามเช่นนี้ก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอบว่า “เหมือนว่าข้าจะเคยอ่านเจอในตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งเ้าค่ะ ชื่อว่าอะไรข้าก็ลืมไปแล้ว น่าเสียดายตอนที่มารดาข้าสิ้นไปท่านพ่อเผาตำราหลายเล่มไปให้นาง เกรงว่าหนึ่งในนั้นคงมีมันอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะไปเอามาให้ท่านลุงหยางดูประเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าหยางยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าคล้ายว่าจะไม่สงสัยอะไร “บ้านข้าเองก็พอจะมีที่นาผืนน้อยอยู่ ตัวข้าเองก็เคยทำเกษตรกรรมมาบ้าง หากว่าแม่นางลู่ไม่รังเกียจว่าคนแก่อย่างข้าจะสร้างปัญหาเพิ่ม ถึงตอนนั้นก็เรียกข้าไปช่วยด้วยเถอะ”
“ได้สิเ้าคะ ท่านลุงหยาง สิ่งปฏิกูลพวกนั้นดูแล้วสกปรก แต่ที่จริงแล้วมีประโยชน์ต่อการปรับสภาพดินให้อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง เมื่อเริ่มเก็บเกี่ยวกันในฤดูใบไม้ผลิเราก็จะไม่คิดว่ามันสกปรกอีกแล้ว”
หนึ่งเด็กหนึ่งชราสนทนากันอย่างครื้นเครง ตอนที่เดินออกมานั้นพระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกแล้ว ลู่เสี่ยวหมี่ถือถังน้ำออกมาเห็นบิดาของตนยืนอยู่หน้าประตูโถงกลางเรือนพอดี จึงเดินเข้าไปเล่าเื่ที่นางจะช่วยสอนหนังสือให้พวกเด็กๆ ในหมู่บ้านให้เขาฟัง
เป็จริงดังคาด บิดาลู่ไม่ต่อต้านแต่อย่างใด เพียงพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็หมุนกายกลับเข้าห้องไป
รูปร่างที่เดิมก็ผอมบางอยู่แล้วของเขายามนี้ยิ่งดูซูบซีดลงไปอีก อาภรณ์ที่สวมอยู่บนร่างราวกับเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวไม้อันเล็ก ดูน่าสงสารไม่น้อย
ลู่เสี่ยวหมี่คิดจะอ้าปากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็กลืนลงไป
ถึงแม้นางจะไม่อาจรู้สึกได้ลึกล้ำเช่นเดียวกับพวกเขา แต่ภาพสามีภรรยารักใคร่ที่ฉายอยู่ในสมองราวกับภาพยนตร์นั้นทำให้นางรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย สำหรับบิดาลู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะนึกห่วงบุตรชายบุตรสาวที่อยู่ข้างหลัง เกรงว่าคงจะตามภรรยาไปนานแล้วกระมัง...
เช้าวันรุ่งขึ้น หิมะรอบที่เท่าใดแล้วก็ไม่รู้ั้แ่เข้าฤดูหนาวมากำลังร่วงลงมาจากฟ้า อาหารเช้าเพิ่งจะถูกยกขึ้นโต๊ะ ลู่อู่ที่เดินทางไปส่งน้องชายที่สำนักศึกษาก็กลับมาแล้ว
ร่างกายที่มีไอเย็นล้อมรอบของเขา ถูกโจ๊กหมูตุ๋นร้อนๆ ขจัดจนหายไปไม่เหลือเงา
เดิมทีลู่เสี่ยวหมี่ยังคิดจะจับตัวเขามาถามเื่สำนักศึกษา แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านทยอยพาลูกๆ ของตนมาส่งถึงหน้าเรือนแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่มาเอ่ยปากกับสกุลลู่ แต่ละบ้านล้วนส่งสะใภ้ในบ้านมา อย่างไรเสียพวกผู้ชายส่วนมากก็ล้วน้ารักษาหน้าตาของตนเอง
แต่ยามนี้สกุลลู่ตกลงแล้ว เด็กๆ วันหน้าจะต้องฝากตัวเป็ศิษย์ใต้ชายคาสกุลลู่ ในฐานะผู้นำตระกูลหากว่ายังไม่ยอมออกหน้าอีก ก็คงเป็การไม่ให้เกียรติสกุลลู่แล้ว
ดังนั้น บรรดาบุรุษในบ้านจึงพาลูกๆ ของตนเองมาเตรียมโขกศีรษะกราบลู่เสี่ยวหมี่เป็อาจารย์ บ้างมาถึงก็ยืนฉีกยิ้มอย่างโง่งม บ้างก็หันไปดุด่าลูกของตัวเองที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลเป็ระยะ บิดาลู่ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเดินออกมาต้อนรับนำพวกเขาไปดื่มชาที่โถงกลางบ้าน
ลู่เสี่ยวหมี่คิดว่าในฐานะบิดา พวกเขาก็คงอยากจะเห็นว่าลูกๆ ของตนเล่าเรียนเขียนอ่านกันเป็อย่างไร ดังนั้นหลังจากจัดการให้เด็กๆ นั่งลงแล้ว ก็เริ่มสอนพวกเขาทันที
“มนุษย์นั้นแต่เดิมเกิดมาบริสุทธิ์โดยแท้ พื้นฐานนิสัยไม่ต่างกัน วิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมต่างหาก ที่แยกนิสัยมนุษย์ออกจากกัน”
เสียงท่องยานคางลอยออกมานอกหน้าต่าง ได้ยินเบาๆ ไปถึงโถงรับรองกลางบ้าน
บรรดาบุรุษในห้องโถงพากันเงียบเสียงแทบไม่กล้าหายใจ
นี่คือเสียงท่องตำราของลูกที่บ้านของเขาหรือ ไม่เคยได้ยินเสียงที่กังวานเช่นนี้มาก่อนเลย ทำเอาพวกเขาถึงกับขนลุก
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่อาจพูดได้ว่าสลัดโชคชะตาแห่งการเป็พรานป่าทิ้งไปได้ แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนหนังสือ อ่านออกเขียนได้ แค่นี้ก็เก่งกว่าพวกเขามากนัก ไม่แน่หากวันใดโชคชะตานำพา อาจถึงขั้นได้สอบรับราชการ นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วงศ์ตระกูลก็เป็ได้
บิดาลู่เห็นว่าบรรดาบิดาของเด็กๆ ถือแก้วเครื่องครามที่เขารักนักหนานิ่ง ทั้งยังบีบแก้วแน่นจนซีดขาว เขาเกรงว่านาทีถัดไปแก้วลายครามของเขาจะถูกบีบจนแตก จึงรีบกระแอมเบาๆ แล้วชักชวนว่า “มา ดื่มชากันเถอะ เลิกห่วงพวกเด็กๆ ได้แล้ว เสี่ยวหมี่ไม่มีทางปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดีแน่นอน”
“แน่นอนๆ เสี่ยวหมี่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก หากว่าลูกสาวข้าเรียนให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวหมี่ วันหน้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาสามีไม่ได้แล้ว”
คนที่เอ่ยขึ้นมาเป็หนึ่งในบิดาที่พาบุตรสาวมาเล่าเรียนที่ห้องเรียนสกุลลู่ในวันนี้ ยามปกติตนมักจะได้ยินภรรยาบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าอยากให้บุตรสาวได้แต่งกับบุรุษดีๆ ไม่อยากให้นางถูกครอบครัวสามีดูถูกเพียงเพราะมาจากตระกูลนายพราน
ส่วนบิดาที่พาลูกชายมาเรียนในวันนี้ก็รับคำเช่นกัน “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ถึงแม้การเป็นายพรานจะมีอิสระกว่าการทำการเกษตรมากนัก แต่ก็เป็การหาเลี้ยงชีพโดยต้องผูกตัวเองไว้กับชะตาฟ้า ต้องใช้ชีวิตอยู่กับปลายหอกคมดาบและคาวเื ใครจะรู้ อยู่ๆ อาจต้องตายเพราะสัตว์ร้ายตัวไหนก็เป็ได้ หากพวกเขาตั้งใจเรียนให้ดี ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้เข้าเมืองไปหาความเจริญก้าวหน้าก็ไปได้”
“นั่นสิๆ หากรู้หนังสือ ต่อให้ไม่ได้เข้าเมือง อย่างน้อยตอนขายหนังสัตว์ขนสัตว์ก็จะไม่ต้องถูกผู้อื่นหลอกลวง ครั้งก่อน เ้าเฝิงปาผีของหอเจินเปารังแกข้าเพราะเห็นว่าข้าบวกเลขไม่เป็ ให้เงินข้าน้อยกว่าที่ตกลงกันถึงร้อยอีแปะ”
ประโยคนี้ทำให้นายพรานที่ได้ยินพากันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา เพราะพวกเขาล้วนไม่เคยเล่าเรียนหนังสือจึงอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ทั้งยังคิดคำนวณไม่เป็จึงถูกเอาเปรียบอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนพากันตอบรับเป็เสียงเดียว เมื่อทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกันก็กลับมาสนทนากันอย่างเฮฮาเช่นเดิม
บิดาลู่ทำหน้าที่ดื่มชาและสนทนาเป็เพื่อนพวกเขา จึงไม่ได้ตั้งใจฟังนักว่าบุตรสาวของตนสอนอะไรให้พวกเด็กๆ แน่นอนว่าต่อให้เขารู้ก็ไม่มีจิตใจจะไปขบคิดอะไรให้ลึกซึ้ง
ในทางกลับกัน ที่เรือนพักฝั่งตะวันออก ผู้เฒ่าหยางกำลังประคองเฝิงเจี่ยนเดินจับราวไม้ไปรอบๆ ห้อง ครั้นได้ยินเสียงที่ลอยออกมาตอนแรกก็ยังไม่สนใจอะไร แต่สุดท้ายเมื่อได้ฟังสักสองสามประโยค คนทั้งสองก็หยุดฝีเท้าลง
สายตาของเฝิงเจี่ยนปรากฏความประหลาดใจวาบผ่านไป แต่กลับเอ่ยปากถามด้วยเสียงเรียบเฉย “ท่านลุงหยางรู้หรือไม่ว่านี่เป็ตำราเล่มไหนกัน?”
ผู้เฒ่าหยางขมวดคิ้วขบคิด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจตอบได้ “ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยอ่านตำรามาก็ไม่น้อย แต่สิ่งที่แม่นางลู่สอนเด็กๆ ในวันนี้ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อน มนุษย์นั้นแต่เดิมเกิดมาบริสุทธิ์โดยแท้ ถ้อยคำเรียบง่ายเนื้อหาเหมาะแก่การใช้สอนเด็กๆ ยิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรียนมาจากไหน”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก เปิดหน้าต่างให้มีช่องเล็กๆ ให้เสียงภายนอกเข้ามาได้ แล้วจึงเดินกลับขึ้นไปบนเตียงเตา
ส่วนเสี่ยวหมี่ที่อยู่เรือนฝั่งตรงข้าม ตัวนางไม่รู้ว่าตำราที่ตนใช้สอนเด็กๆ ในยุคนี้ยังไม่ได้เขียนขึ้น หรือกล่าวอย่างตรงไปตรงมากว่านั้นก็คือ ในโลกนี้จะไม่มีตำราเล่มนี้เกิดขึ้น
ตำราสำหรับเด็กในบ้านสกุลลู่ถูกเอาไปขายแลกเงินหมดแล้วเพราะพี่สามลู่ไม่จำเป็ต้องใช้มันอีกต่อไป นางหาตำราอื่นๆ ไม่ได้ นางจึงใช้เนื้อหาจากตำราสามอักษรที่ในชาติก่อนผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านิยมใช้สอนน้องๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาสอนพวกเด็กๆ ในหมู่บ้าน
ลู่เสี่ยวหมี่นำเด็กๆ อ่านตำราสามอักษรไปหนึ่งรอบ อธิบายความหมายง่ายๆ ให้เด็กๆ เข้าใจ จากนั้นก็เริ่มสอนทุกคนเขียนชื่อของตนเอง โก่วเซิ่งเอ๋อร์ [2] เอ้อยา [3] เถาฮัว [4] เถี่ยจู้จื่อ [5] เสี่ยวชวนจื่อ [6]...
ความปรารถนาของบิดามารดาไม่ว่าครอบครัวไหนล้วน้าให้ลูกๆ เติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยและแข็งแรง ดังนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าชื่อที่ไม่ดีจะทำให้เด็กๆ อายุยืน จึงตั้งชื่อให้ลูกๆ อย่างค่อนข้าง...เรียบง่าย
แต่พอจะเขียนออกมาจริงๆ กลับไม่ง่ายนัก ลู่เสี่ยวหมี่จับมือสอนเด็กๆ ทุกคนก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน ขณะเดียวกันนางก็คิดว่าวันหน้าต้องลองให้บิดาตั้งชื่อจริงๆ ให้พวกเด็กๆ บ้างแล้ว
นึกถึงว่าเมื่อเด็กๆ เติบโตขึ้นแต่งงานมีลูกแล้วยังต้องถูกคนเรียกว่า “ยัยหนูรอง” “เด็กโง่” อะไรพวกนี้อีกก็คงจะน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
เชิงอรรถ
[1] จิงหมี่(粳米)ลักษณะเป็ข้าวเมล็ดสั้นเหมือนข้าวญี่ปุ่น
[2] โก่วเซิ่งเอ๋อร์(狗剩儿)หมายถึง ข้าวที่สุนัขกินเหลือ
[3] เอ้อยา(二丫)หมายถึง ลูกสาวคนรอง
[4] เถาฮัว(桃花)หมายถึง ดอกท้อ
[5] เถี่ยจู้จื่อ(铁柱子)หมายถึง เสาเหล็ก
[6] เสี่ยวชวนจื่อ(小栓子)หมายถึง หมุดไม้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้