ผู้อื่นคิดอย่างไรไม่สำคัญ เดิมทีการที่เฉิงชิงเข้าร่วมการสอบของสถานศึกษาก็ไม่ใช่เพื่อผู้อื่น แต่เพื่อตัวของนางเอง
ั้แ่เล็กจนโต นางตั้งใจกับการสอบทุกครั้ง สภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมีในราชวงศ์เว่ย สภาพแวดล้อมที่นางอยู่ั้แ่เด็กก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก… อย่างไรก็ตาม นางมักจะเอาชนะผู้เข้าแข่งขันคนอื่นในฐานะเพศหญิง บัดนี้เปลี่ยนฐานะมาเป็ ‘เพศชาย’ แล้ว เฉิงชิงเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะไม่แพ้
นางหลิ่วรู้สึกว่าการที่นางเป็สตรีปลอมเป็บุรุษคือความไม่เป็ธรรม แต่ตัวเฉิงชิงเองกลับประหนึ่งปลาได้น้ำ[1]
ถึงแม้ภายนอกดูเหมือนเฉิงชิงจะจริงจังกับการสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษา ทว่าสภาพจิตใจกลับปลอดโปร่ง
หากทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดี ที่นี่ก็จะเป็สถานที่ให้นางได้ร่ำเรียนอีกหลายปีต่อจากนี้ เฉิงชิงเดินขึ้นบันไดหินตามผู้เข้าสอบคนอื่นอยู่ด้านหลัง ช่างเป็สถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามเหลือเกิน วิวทิวทัศน์ไม่แพ้โรงเรียนของบุตรหลานตระกูลผู้ดีที่นางเคยอ่านเจอ
เพียงแต่ขั้นบันไดหินออกจะมากเกินไปหน่อย ตลอดทางที่เดินขึ้นมาค่อนข้างเหนื่อย พื้นฐานร่างกายนี้ของนางเรียกได้ว่าแย่ พอขึ้นบันไดเสร็จก็หอบหายใจหนัก ในกลุ่มผู้เข้าสอบยังมีผู้ที่สภาพแย่กว่านาง มีเ้าอ้วนน้อยรูปร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งที่ตอนนี้แทบจะเป็อัมพาต เสื้อผ้าบนลำตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ คนนำทางให้ทุกคนไปรออยู่ภายในลานแห่งหนึ่ง
“ข้ามาเพื่อศึกษาเล่าเรียน ไม่ใช่มาเพื่อปีนเขา เ้าสถานศึกษาที่น่ารำคาญนี่ดันสร้างอยู่สูงแบบนี้ หรือว่าจงใจกลั่นแกล้งคนกัน!”
ในบรรดาผู้เข้าสอบมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับเ้าอ้วนน้อย
เฉิงชิงมองประเมิน ผู้เข้าสอบที่เห็นด้วยเหล่านี้ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดี เพียงมองดูก็รู้ว่าสภาพการเงินของครอบครัวมีฐานะ ถูกตามใจั้แ่ยังเล็ก แม้แต่ความลำบากเล็กน้อยเช่นนี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว เฉิงชิงไม่ได้เข้าไปร่วมถกเถียงกับพวกเขา
ขนาดปีนเขายังต่างรู้สึกลำบาก จึงหยุดความคิดที่สอบเข้ารับราชการเป็ขุนนางไว้ชั่วครู่ อย่างไรเสียบัณฑิตที่เรียนไปก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังเสียทุกคน
ชายหนุ่มในชุดศิษย์ของสถานศึกษาเดินมาจากทางระเบียง ใบหน้างดงามดั่งหยกประดับกวาน[2] ชายชุดพลิ้วไหว เ้าอ้วนน้อยที่กำลังคุยโวเสียงดังก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง แม้แต่เฉิงชิงที่มีประสบการณ์เช่นนี้มามากก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างเต็มตา
คนผู้นี้ช่างหน้าตาดีเสียจริง ใบหน้านี้ไม่ได้ต่างอะไรกับไอดอลที่ได้รับความนิยมในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเลย ยิ่งพอเพิ่มความภูมิฐานเข้าไป ผู้ใดก็ล้วนชมชอบความงาม ไม่เว้นแม้แต่เฉิงชิงเอง
“นั่นคือใครกัน?”
“คงจะเป็หนึ่งในผู้เข้าสอบ!”
“พูดจาไร้สาระ ผู้เข้าสอบจะมาอยู่บนเขาก่อนได้อย่างไร ทุจริตแล้ว”
“เงียบเสีย นั่นคือศิษย์พี่ที่อยู่ห้องเรียนอันดับหนึ่งของสถานศึกษาหนานอี๋ พวกเ้าไม่ได้สังเกตลวดลายบนเข็มขัดของเขาหรือ? สถานศึกษาหนานอี๋แบ่งห้องเรียนเป็ห้องเจี่ย[3] อี่[4] ปิ่ง[5] ติง[6] สี่ตัวอักษรนี้เพื่อให้เหมาะสมกับระดับของศิษย์ที่แตกต่างกัน ศิษย์พี่ที่อยู่ห้องเจี่ย นั่น นั่นก็คือ…”
นั่นก็คือผู้ที่มีวุฒิจวี่เหรินติดตัว!
เฉิงชิงต่อท้ายในใจอย่างเงียบๆ
สถานศึกษาหนานอี๋แม้จะเพิ่งขยายต่อเติมมาไม่กี่ปี แต่สัดส่วนกลับไม่เล็กเลย ท่ามกลางศิษย์มากมายก็ย่อมต้องมีคนที่โดดเด่นอยู่บ้างเป็ธรรมดา
อย่างเฉิงกุยผู้นั้นที่อายุสิบห้าปี สอบได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉอยู่ที่ห้องอี่ ส่วนเฉิงชิงที่ไม่มีความความดีความชอบในการสอบเข้ารับราชการแม้แต่น้อย เมื่อเข้าสถานศึกษาแล้วก็คงถูกจัดไปอยู่ในห้องเรียนตัวอักษรติง หากนางสอบผ่านได้เป็บัณฑิตถงเซิง ถึงจะมีสิทธิ์เลื่อนขึ้นไปยังห้องปิ่ง
ส่วนห้องเจี่ยก็คือห้องระดับสูงที่สุดในสถานศึกษาหนานอี๋ เพราะมีแต่ผู้ที่มีวุฒิจวี่เหรินเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้!
คุณสมบัติของอาจารย์ห้องเจี่ยก็ดีที่สุดด้วยเช่นกัน สถานศึกษาหนานอี๋ได้เชิญบัณฑิตมีชื่อมาเป็อาจารย์สอน ณ ชั้นเรียนระดับสูงขนาดเล็กนี้ เป็แต้มต่อที่สูงที่สุดสำหรับเหล่าศิษย์ที่เป็บัณฑิตจวี่เหรินของห้องเจี่ย จะได้ตั้งสมาธิมุ่งมั่นไปกับการสอบเข้ารับราชการ…
หนทางการสอบเข้ารับราชการของเฉิงจือหย่วนในปีนั้นหยุดอยู่ที่บัณฑิตจวี่เหริน บัณฑิตจวี่เหรินคือขุนนางสำรอง เด็กหนุ่มในชุดศิษย์เมื่อครู่นี้ก็มีคุณสมบัติเป็ขุนนางสำรองแล้ว ไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความเคารพยำเกรง แม้แต่ผู้ที่บ่นโอดครวญถึงความยากลำบากอย่างเ้าอ้วนน้อยก็ไม่กล้าไปหาเื่ด้วย
ชายหนุ่มผู้นั้นน่าจะอายุราวยี่สิบปี แต่กลับสอบผ่านได้เป็บัณฑิตจวี่เหรินแล้ว
เฉิงชิงเชื่อมั่นในระดับการสอนของสถานศึกษาหนานอี๋มากขึ้นแล้ว!
ไม่แปลกที่การสอบเข้าสามเดือนหนึ่งครั้งจะมีผู้คนเข้าร่วมมากมายขนาดนี้
เหตุการณ์เล็กน้อยนี้ได้ยืนยันความมุ่งมั่นของเฉิงชิงในการจะสอบเข้าสถานศึกษาให้ได้
ศิษย์พี่บัณฑิตจวี่เหรินแห่งห้องเจี่ยนั้นพวกเขาเพียงแค่บังเอิญได้พบ พอผ่านไปไม่นานก็มีคนนำทางพาพวกเฉิงชิงไปยังลานกว้างที่รายล้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง
ในลานกว้างแห่งนี้มีโต๊ะวางอยู่มากมาย บนโต๊ะมีกระดาษวางอยู่รวมถึงพู่กัน หมึกและแท่นฝนหมึก ที่นี่ก็คือสนามสอบของการสอบเข้าศึกษา ผู้าุโท่านหนึ่งท่าทางเข้มงวดยืนอยู่ใต้หลังคา ซึ่งก็คือผู้คุมสอบในวันนี้
“เมื่อเข้าสนามสอบสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ พวกเ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูป[7]ในการตอบคำถาม”
“ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามกระซิบกระซาบ ห้ามทุจริตใช้โพย!”
ผู้คุมสอบเพิ่งสิ้นเสียง เหล่าผู้เข้าสอบก็รีบแย่งที่นั่งกัน
เฉิงชิงเลือกที่นั่งที่อยู่ใกล้ มีคนที่ฉลาดบางคนเลือกที่อยู่ใต้ชายคา เดือนหกเป็่ที่อากาศร้อนเป็อย่างมาก พื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึงจึงเย็นสบายกว่า
เฉิงชิงเปิดกระดาษข้อสอบ มองดูั้แ่ต้นจนจบหนึ่งรอบ พอมั่นใจแล้วจึงค่อยเริ่มตอบคำถาม
ไม่ถือว่ายากมาก แต่แน่นอนว่าไม่ง่ายเช่นกัน
ในส่วนของการใช้พู่กันเขียนอักษร… นางไม่ใช่คนที่มีความสามารถรอบด้าน แม้ในชาติก่อนสิ่งที่นางศึกษามาจะไม่น้อย แต่การคัดอักษรไม่ได้อยู่ในนั้น ศิลปะสำหรับการฝึกจิตใจและการปฏิบัติตัวเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของนางเลย
เมื่อได้รับสืบทอดความทรงจำของ ‘เฉิงชิง’ เวลาเขียนหนังสือแค่ไม่ขาดขีดใดขีดหนึ่งไปก็ดีมากแล้ว นางไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าอักษรที่เขียนไปจะเป็อย่างไร ได้ยินว่ายามสอบเข้ารับราชการ หากลายมือสวยจะมีข้อได้เปรียบ เฉิงชิงที่ไม่ได้เป็แม้กระทั่งบัณฑิตถงเซิงจึงคิดว่าในภายภาคหน้าย่อมมีเวลาให้ค่อยๆ ฝึกฝน
ขณะนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็การสอบเข้าสถานศึกษาให้ได้ บนกระดาษข้อสอบไม่ใช่คำถามที่เฉิงชิงจะตอบอะไรก็ได้ เคล็ดลับการสอบในยุคโบราณและยุคปัจจุบันล้วนเหมือนกัน นั่นคือข้อที่ตอบได้ห้ามผิดพลาด ส่วนข้อที่ทำไม่ได้ก็ทิ้งไว้ท้ายสุด
เฉิงชิงตอบคำถามอย่างตั้งใจ ผู้คุมสอบครั้งนี้สูงวัยมากแล้ว งีบหลับอยู่ตรงระเบียงทางเดินที่แสงแดดส่องไม่ถึง ทำให้ผู้เข้าร่วมสอบบางคนเริ่มสร้างปัญหา
มีบางคนหันศีรษะไปมองกระดาษข้อสอบของผู้อื่น และยังมีผู้ที่ใจกล้าแลกเปลี่ยนข้อความผ่านกระดาษกัน เฉิงชิงกำลังติดอยู่กับคำถามข้อหนึ่ง กระดาษข้อความก้อนหนึ่งก็พลันลอยจากบนฟ้าตกม้ายังบนโต๊ะของนางพอดี
เฉิงชิงเลิกคิ้ว
ผู้คุมสอบที่งีบหลับก็พลันลืมตาขึ้น!
เวลาเที่ยงตรง
ที่ตีนเขาบริเวณประตูทางเข้าสถานศึกษามีร้านเหล้าเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง อวี๋ซานสั่งอาหารและเหล้ามาหนึ่งโต๊ะเพื่อดื่มกินพร้อมกับสหายร่วมเรียนอีกหลายคน ั์ตาหันไปมองยังทิศที่ประตูทางเข้าสถานศึกษาตั้งอยู่
แม่นมโจวเองก็ไม่กล้าจากไป
อากาศร้อนเช่นนี้ ของตุ๋นที่เตรียมไว้ให้สำหรับเฉิงชิงก็บูดเสียจนกินไม่ได้แล้ว แต่แม่นมโจวจำต้องรอจนกว่าเฉิงชิงจะสอบเสร็จถึงสามารถกลับไปรายงานกับฮูหยินผู้เฒ่าจู นางไม่กล้าสั่งอาหารและเหล้า สั่งเพียงน้ำชาถ้วนหนึ่งเท่านั้น แล้วค่อยๆ ยืนดื่ม แววตาที่นางมองไปยังประตูทางเข้าสถานศึกษาเด่นชัดกว่าของอวี๋ซาน จำนวนครั้งก็บ่อยกว่าด้วย
นางรออยู่ที่ร้านเหล้าเพียงไม่นาน ผู้คนต่างก็รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของนาง
สหายร่วมเรียนของอวี๋ซานต่างพากันถอนหายใจ “ญาติผู้น้องของเฉิงกุยผู้นี้ไม่สมควรไปยั่วโทสะด้วยจริงๆ ไม่เช่นนั้นพวกเ้าจะประสบความยากลำบากกันหมด”
คำว่า ‘กตัญญู’ นี้สำคัญยิ่งนัก ภายในตระกูลผู้ดีมักจะมีกฎเกณฑ์มากมาย ผู้ใดก็ตามที่อยู่ข้างกายผู้าุโต่างก็มีใบหน้าสองแบบกันทั้งนั้น ไหนเลยจะมีคนแบบเฉิงชิงที่กล้าปฏิเสธน้ำใจของท่านย่ากัน? เื่ราวที่เกิดขึ้นของเฉิงชิงจะมีที่มาที่ไป ภายในอำเภอก็ไม่มีใครที่กล่าวว่านางไม่กตัญญู กลับชื่นชมว่านางมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี
บ้านรองตระกูลเฉิงในยามนี้ดูย่ำแย่ในสายตาคนนอก ย่อมต้องปฏิบัติต่อเฉิงชิงอย่างระมัดระวังเป็ธรรมดา หากเฉิงชิงยังไม่ก้าวออกมา คนจากบ้านรองก็ไม่กล้าที่จะจากไป!
อวี๋ซานพยักหน้าอย่างเหม่อลอย ในที่สุดตรงประตูทางเข้าก็มีผู้เข้าสอบปรากฏตัวขึ้น
บรรดาครอบครัวของผู้เข้าสอบต่างรีบไปรุมล้อม ถามผลลัพธ์ของการสอบของพวกเขา ผู้เข้าสอบที่เพิ่งลงจากเขาเช็ดเหงื่อพลางเอ่ย
“ไม่ต้องพูดแล้ว มีผู้ที่ถูกจับได้ว่าทุจริต การสอบเข้าศึกษาครั้งนี้ถือเป็โมฆะ ผู้เข้าสอบที่เกี่ยวข้องทุกคนถูกรั้งให้อยู่ก่อน รอทางสถานศึกษาตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว ไม่เพียงครั้งนี้จะไม่รับพวกเขาเข้า หลังจากนี้ก็จะไม่มีคุณสมบัติในการสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋อีกต่อไป”
[1] ประหนึ่งปลาได้น้ำ หมายถึงผู้ที่ได้อยู่ในสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับตนเอง
[2] ใบหน้าดั่งหยกประดับกวาน หมายถึงมีใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกเนื้อดี
[3] เจี่ย หมายถึงลำดับที่หนึ่งในแผนภูมิ์
[4] อี่ หมายถึงลำดับที่สองในแผนภูมิ์
[5] ปิ่ง หมายถึงลำดับที่สามในแผนภูมิ์
[6] ติง หมายถึงลำดับที่สี่ในแผนภูมิ์
[7] ก้านธูป คือหน่วยวัดเวลาของจีน 1 ก้านธูปนานประมาณ 15 นาที หรือ 30 นาทีแล้วแต่ความยาวของธูปที่ใช้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้