มู่เอ้าเทียนขมวดคิ้ว เขาไม่้าเอ่ยถึงข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับองค์รัชทายาท แต่เงินสามล้านตำลึงนี้เป็เงินจำนวนไม่น้อยเลย เขาจึง้าที่จะระดมเงิน เื่นี้จึงคงมิอาจปิดบังได้
"เื่มันเป็เช่นนี้ ในตอนนี้ข้า้าเงินจำนวนหนึ่ง น้องรอง ที่เ้ามีเงินอยู่เท่าไหร่ ให้พี่ใหญ่ยืมเงินก่อนได้หรือไม่ รอผ่าน่นี้ไปแล้วพี่ใหญ่จะคืนให้เ้า"
มู่เอ้าเทียนกล่าว
“อ่า? พี่ใหญ่้าเงินเท่าไหร่? ”
มู่จี้หงถาม
มู่เอ้าเทียนขมวดคิ้วและเอ่ยว่า "ภายในสามวัน ข้าต้องหาเงินจำนวนสามล้านตำลึงให้ได้ น้องรอง เ้ามีอยู่เท่าไหร่ ขอพี่ใหญ่ยืมใช้ก่อน"
“แค่กๆๆ แค่กๆ พี่ใหญ่ น้ำ น้ำ...”
ตอนที่มู่เอ้าเทียนกำลังเอ่ย มู่จี้หงก็กำลังคีบถั่ว ทันทีที่พี่ใหญ่เอ่ยจบ น้องรองพลันสำลักและไอจนหน้าแดงเขา เบิกตาโพลงโตไม่เอ่ยอะไรอยู่เป็นาน
“เ้า กินช้าลงหน่อย”
เมื่อมู่เอ้าเทียนเห็นท่าทางของมู่จี้หง เขาจึงเอ่ยกำชับออกมา
สุดท้ายมู่จี้หงก็ผ่อนลมหายใจลง เขากลืนถั่วเข้าปากพร้อมกับท่าทางที่ดูใ “พี่ใหญ่ ท่านกำลังล้อข้าเล่นหรือ? น้องรองของท่าน จะไปหายืมเงินตั้งมากมายขนาดนั้นมาจากที่ใด เงินสามล้านตำลึงเชียวนะ ไม่ใช่สามสิบตำลึง”
มู่จี้หงะโอย่างตื่นตระหนกใ
ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนตึงเครียด "เ้าให้ยืมได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น"
"ข้ามีเงินเพียงห้าตำลึงสำหรับใช้ส่วนตัวในจวน ครอบครัวของเราซินเหยาเป็คนดูแลเื่เงิน"
มู่จี้หงหายใจติดขัด เห็นได้ชัดว่าใกับจำนวนตัวเลขที่ออกมาจากปากของมู่เอ้าเทียน
เมื่อได้ยินคำเอ่ยของมู่จี้หง สายตาของมู่เอ้าเทียนก็ลดสายตาลง และก่อนที่เขาจะเอ่ยอันใดออกมา พลันได้ยินหลิวซินเหยาเอ่ยถาม "พี่ใหญ่ ท่านเป็หัวหน้าตระกูลมู่ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร จริงๆ แล้วไม่จำเป็ต้องให้ข้าผู้ซึ่งเป็สะใภ้รองถาม แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้ ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย น้องสะใภ้ขอถามได้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่จะยืมเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปเพื่ออันใด"
หลิวซินเหยาถาม
สิ่งที่มู่เอ้าเทียนเพิ่งเอ่ยออกมา นางก็ได้ยิน ระดับความใก็ไม่น้อยไปกว่ามู่จี้หงเลย
จำนวนนี้มากมายมหาศาลนัก เกรงว่าถึงขายที่ดินของตระกูลมู่ไป ก็อาจจะยังไม่พอ
เื่นี้แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขาก็ไม่อาจทราบได้
“ถ้าข้าไม่อยากเอ่ยเล่า?”
มู่เอ้าเทียนขมวดคิ้วเอ่ยด้วยท่าทีที่ไม่ร้อนไม่หนาว
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ พลันได้ยินหลิวซินเหยาหัวเราะเสียงเบา “พี่ใหญ่ ท่านจะไม่เอ่ยก็แล้วแต่ท่านเถิด แต่ท่านก็รู้สถานการณ์ของครอบครัวรองดี จี้หงสุขภาพไม่ดี ต้องไปหออู๋ิเดือนละหลายครั้งเพื่อซื้อสมุนไพรปรับสภาพร่างกาย ยังมีชิงอวิ้นที่วรยุทธ์ของนางหยุดนิ่งที่ระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่หก ทำให้ต้องคอยไปประมูลยาอายุวัฒนะเพื่อส่งเสริมการฝึกวรยุทธ์ของนาง ก่อนที่น้องสะใภ้จะแต่งเข้า ถึงแม้ว่าทางบ้านมารดาข้าจะให้ร้านค้ามาดูแลสองสามที่แต่ก็เป็ธุรกิจขนาดเล็ก และใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าก็มิได้เก็บเงินไว้มากนัก"
เสียงของหลิวซินเหยาไม่รีบไม่ช้า ทว่าท่าทางของนางนั้น...
นั่นเป็เพราะแต่ก่อนต้องคอยแต่เก็บความโกรธเอาไว้ ทว่าตอนนี้ในที่สุดนางก็หาทางระบายได้แล้ว
ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนกลายเป็สีดำสนิทเพราะคำเอ่ยของหลิวซินเหยา แต่เขาไม่ได้คิดที่จะโต้เถียงกับสตรีคนนี้ ดังนั้นจึงเอ่ยอย่างเ็าว่า “ข้าก็ไม่คิดจะยืมจากเ้าเช่นกัน”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนทันที
“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเสีย”
มู่เอ้าเทียนโบกมือ เตรียมจะออกไปพร้อมกับหยวนเป่า เมื่อเห็นว่ามู่เอ้าเทียนไม่ตอบคำถามของนางและไม่้าให้เหตุผลกับนาง ดวงตาของหลิวซินเหยาพลันแดงก่ำด้วยความโกรธ ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที "พี่ใหญ่ ถึงแม้ท่านจะเป็หัวหน้าตระกูลมู่ แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เช่นกันว่าเกิดเื่อันใดขึ้น ท่านไปทำอะไรมาถึงต้องมาขอยืมเงินก้อนโตเช่นนี้? "
เนื่องจากคำถามของหลิวซินเหยา บรรยากาศพลันเย็นเฉียบลงทันที
มู่ชิงอวิ้นดึงข้อมือของหลิวซินเหยาอย่างระมัดระวัง แต่ราวกับว่านางจะไม่รู้สึกตัวก็ไม่ปาน หญิงสาวจ้องมองไปที่มู่เอ้าเทียนอย่างคาดคั้น
ฮวาเหยียนหรี่ตามองที่ท่านอาสะใภ้รอง ในใจคิดว่าหรือตัวเองจะเป็ต้นเหตุของเื่นี้ เพราะแต่ก่อนมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่มีนิสัยดี อีกทั้งยังปฏิบัติต่อนางอย่างดี ท่านพ่อก็มิได้ปั่นหน้าเ็ากับนาง ดังนั้นนางจึงถือว่าตัวเองเป็นายหญิงของจวน แต่ผลคือเมื่อฮวาเหยียนปรากฏตัวออกมาแล้ว และไม่ได้ปฏิบัติตัวดีกับนางดั่งแต่ก่อน นางจึงทนไม่ไหว
“หึ ั้แ่เมื่อไหร่กันที่เปิ่นหวางจะทำการอันใดแล้วจะต้องรายงานต่อเ้า น้องสะใภ้รอง ยิ่งอยู่เ้ายิ่งไม่ชัดเจนต่อสถานะของตนเอง และถึงแม้หากมีเื่เกิดขึ้น ข้า มู่เอ้าเทียนจะเป็ผู้รับผิดชอบเอง จะไม่ส่งผลต่อครอบครัวรองของเ้าหรอก"
มู่เอ้าเทียนเอ่ยอย่างเ็า ก่อนจะหันไปเรียกฮวาเหยียนและมู่เสวียนเย่ พลางอุ้มหยวนเป่าขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ทิ้งหลิวซินเหยาไว้ที่ตรงนั้นทันที
...
ดวงตาของหลิวซินเหยาแดงก่ำด้วยความโกรธ นางยืนอยู่ที่นั่นจ้องมองไปที่ประตูอย่างเอาเป็เอาตาย
“ท่านแม่ ท่านไม่เป็อะไรกระมัง”
มู่ชิงอวิ้นที่อยู่ด้านข้างถามด้วยน้ำเสียงแ่เบา
เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาว หลิวซินเหยาถึงเลิกมองและกลั้นน้ำตาไว้ “แม่ไม่เป็กระไร อวิ้นเออร์กินอิ่มหรือยัง? ”
“เ้าค่ะ ลูกกินอิ่มแล้ว”
มู่ชิงอวิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
หลิวซินเหยายกมือลูบหน้าของมู่ชิงอวิ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความรักทะนุถนอม “อวิ้นเออร์ของเราโตเป็สาวแล้ว ยิ่งโตยิ่งงดงาม วันข้างหน้า ไม่รู้ว่าบุตรชายตระกูลใดจะโชคดีพอที่จะแต่งอวิ้นเออร์ของเรา”
"ท่านแม่"
มู่ชิงอวิ้นะโอย่างเขินอาย หูและแก้มของนางแดงก่ำไปหมด เสียงกระเง้ากระงอดของนางทำให้หลิวซินเหยาใจอ่อน บุตรสาวของนางเป็เด็กที่ดีมากจริงๆ มีมารยาทและมีเหตุผล โตขึ้นมาอย่างงดงาม สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือฐานะของนาง หากอวิ้นเออร์เป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลมู่...
หลิวซินเหยาส่ายหัว เพราะนางเป็แม่ที่ไร้ความสามารถ
เมื่อนางหันศีรษะไป ก่อนจะเห็นว่ามู่จี้หงหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มกินอีกครั้ง นางก็โกรธและด่าออกมาทันทีว่า "กินกินกิน ทั้งวันรู้จักแต่จะกิน เหตุใดข้าถึงได้แต่งกับคนไร้ประโยชน์เช่นเ้ากันนะ"
มู่จี้หงตัวแข็งทื่อเมื่อถูกนางะโใส่ จากนั้นก็วางตะเกียบลงและไม่กล้ากินอีก
เมื่อมองเห็นสามีผู้ไร้ความสามารถของตนเอง ความโกรธของหลิวซินเหยาก็ยิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้น ไร้ทางระบายออก ฟ้าย่อมรู้ดีว่านางเสียใจมากเพียงใด
ตระกูลมู่เป็ครอบครัวที่มีเกียรติ นางเป็บุตรสาวของพ่อค้า เดิมทีที่สามารถแต่งงานกับมู่จี้หงได้ นางยังรู้สึกว่านางโชคดีเหลือเกิน แต่หลังจากที่เข้ามาอยู่ในตระกูลมู่แล้ว นางถึงตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างนรกกับ์ ความแตกต่างระหว่างบุรุษสองคน
เมื่อนึกถึงมู่เอ้าเทียน ก็ทำให้นึกถึงสตรีคนนั้นที่มีนามว่าอวิ๋นซี
นางไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้หนึ่งจะปฏิบัติตัวต่อสตรีผู้หนึ่งได้ดีถึงเพียงนั้น เขาดูแลทุกอย่างด้วยตนเองและเอาใจใส่เป็พิเศษ ไม่เคยเอ่ยจาด้วยถ้อยคำต่อว่ารุนแรง เห็นได้ชัดว่ามือคู่นั้นของเขาข้างหนึ่งถือมีดอีกข้างถือปืน แต่เขาก็เต็มใจที่จะซักล้างทำอาหารให้นาง
นางอิจฉาริษยามากจริงๆ อิจฉาริษยามากมายเหลือเกิน...
น่าเสียดายที่สตรีผู้นั้นโชคร้าย ตายก่อนวัยอันควร
เมื่อมองดูสามีของตัวเองอีกครั้ง เขาไม่มีตำแหน่งราชการอันใด ฝึกยุทธ์บำเพ็ญเพียรก็ไม่ขึ้น ขี้ขลาดตาขาว ร่างกายซูบผอมไร้เรี่ยวแรง เื่ระหว่างผัวเมีย ก็หาได้มีน้ำยาไม่
นอกจากนี้ มู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ก็มิได้ปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นเมื่อสี่ปีที่แล้ว เด็กคนนั้นสืบทอดนิสัยมาจากท่านแม่ของนาง นางเป็คนอ่อนโยนและน่ารัก รูปร่างสะโอดสะอง อีกทั้งยังมีทัศนคติที่ดีต่อท่านอาสะใภ้รองอย่างนางอีกด้วย หลายปีมานี้มู่เอ้าเทียนก็ยังไม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่ และดูเหมือนว่านางจะเป็นายหญิงคนเดียวของจวนแห่งนี้
ทว่ามู่อันเหยียนคนนี้กลับหายตัวไปถึงสี่ปี คราวนี้นางกลับมาเป็คนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่เป็มิตรกับนางเลยแม้แต่น้อยและค่อนข้างเฉยเมย และนั่นทำให้ช่องว่างในใจของนางกว้างมากขึ้น วันนี้นางจึงยั้งอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่
ยิ่งนางคิดเกี่ยวกับเื่นี้ หลิวซินเหยาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดในใจ ในที่สุดนางโยนความโกรธเคืองในใจนี้ใส่มู่จี้หง “ทางที่ดีเ้าควรถามพี่ใหญ่ของเ้าว่าเกิดเื่อันใดขึ้น ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็เื่อะไร เราล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน หากเกิดเื่ พวกเราก็คงเดือดร้อนตามกันไปนั่นแหละ”
นางทิ้งถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้ จากนั้นก็ลากมู่ชิงอวิ้นออกจากห้องโถงใหญ่ไป ปล่อยให้มู่จี้หงอยู่คนเดียว ก้มหน้ากินอาหารเงียบๆ ยากที่จะเห็นสีหน้าของเขา
...
อีกด้านหนึ่ง ฮวาเหยียน ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และหยวนเป่าที่ออกมาจากห้องโถงใหญ่ ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนนั้นไร้ซึ่งรอยยิ้ม โดยเฉพาะเมื่อได้รับข้อความจากคนที่ดูแลคลังสมบัติ หากยึดตามเงินสดในตอนนี้ที่มีอยู่ของตระกูลมู่รวมกับที่ดินที่ขายได้ก็จะมีเงินทั้งหมดประมาณหนึ่งล้านตำลึง
แม้ว่าจะเป็เพียงการประมาณการ แต่ในความเป็จริงก็คงได้ประมาณนั้น และก็ยังห่างจากเงินสามล้านตำลึงเป็จำนวนที่มากโข
“ท่านพ่อ ข้ามีเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง ทั้งยังมีสหายดีๆ อีกสองสามคนที่พอจะยืมเงินได้ ก็จะสามารถหามาได้อีกจำนวนหนึ่งขอรับ”
มู่เสวียนเย่กล่าว
คิ้วของสองพ่อลูกขมวดเข้าหากันจนเกิดริ้วรอยกลางหว่างคิ้วสามขีด สิ่งนี้ทำให้ฮวาเหยียนอยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ เพราะรู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายกำลังหาเงินให้นาง แต่ถ้านางหัวเราะออกมา มันคงไร้ความปรานีอย่างหาที่สุดมิได้ แต่เมื่อเห็นท่าทีกังวลใจของสองพ่อลูก ฮวาเหยียนก็รู้สึกทั้งซาบซึ้งใจทั้งขบขัน
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วว่าเื่เงินข้าจะคิดหาวิธีเอง พวกท่านไม่ต้องห่วง เื่นี้ข้าจัดการเองได้เ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนกล่าว
แต่สองพ่อลูกกลับเพิกเฉยต่อคำเอ่ยของนางและยังคงคุยกันเอง
“พรุ่งนี้ข้าจะไปที่จวนของเจียงถิง ขอเงินสองหมื่นตำลึงที่บุตรชายของเขาเป็หนี้มาก่อน แล้วจึงค่อยเรียกค่าตอบแทนบุญคุณที่เราช่วยชีวิตเขาไว้ จากที่ข้าลองประมาณการดู ชีวิตของบุตรชายเขาอย่างไรก็น่าจะมีค่าถึงหนึ่งล้านตำลึงอยู่แล้ว ดังนั้นหากพวกเรานับได้เงินอีกหนึ่งล้านตำลึงก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
มู่เอ้าเทียนคำนวณ
“ขอรับ ข้าจะไปหาพี่น้องของข้าเพื่อขอยืมเงินจากพวกเขา จากนั้นก็จะนำอาวุธล้ำค่าที่เก็บเอาไว้ไปจำนำที่หออู๋ิ”
มู่เสวียนเย่ก็คิดคำนวณเช่นกัน
“ใช่แล้ว เหตุใดพ่อถึงลืมเื่นี้ไปได้ พรุ่งนี้พ่อจะให้เหล่าหวังนำภาพวาดและภาพประดิษฐ์อักษรไปจำนำ แล้วจะไปหาสหายเก่าสักสองสามคนเพื่อขอยืมเงิน”
สองพ่อลูกคุยกันอย่างจริงจัง
หยวนเป่าและฮวาเหยียนฟังด้วยรอยยิ้ม
ความเอื้อเฟื้อและความรักจากครอบครัวนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกอบอุ่นใจเป็ที่สุด
เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาทนำตัวนางไปได้ ท่านพ่อและพี่ใหญ่เต็มใจที่ล้มละลาย และพวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะสละทุกอย่าง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขาจะต้องติดหนี้เป็จำนวนเท่าไหร่
แต่ฮวาเหยียนรู้อยู่แก่ใจว่า หากตี้หลิงหานเกลียดนางจริงๆ เขาคงไม่มีทางยอมให้ตระกูลมู่เก็บรวบรวมเงินได้ง่ายดายเป็แน่
“ท่านลุงใหญ่ หออู๋ิคือสถานที่แบบไหนหรือขอรับ? ”
จู่ๆ หยวนเป่าที่กำลังนอนอยู่บนไหล่ของมู่เสวียนเย่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
ขณะที่มู่เสวียนเย่กำลังจะเอ่ย กลับถูกมู่เอ้าเทียนชิงตอบก่อน
"หออู๋ิเป็โรงรับจำนำที่ใหญ่ที่สุดในต้าโจว แต่ก็ไม่ใช่โรงรับจำนำทั้งหมด ที่นั่นยังขายสิ่งของ ยาอายุวัฒนะ อาวุธ ของแปลกหายากล้วนมีทั้งสิ้น ตราบใดที่เ้ามีเงิน
ก็คือทั้งขายและรับของ เ้ามีของ เขามีเงิน ฟังเข้าใจหรือไม่? เด็กน้อยหยวนเป่า"
มู่เอ้าเทียนถามด้วยรอยยิ้ม
มู่เสวียนเย่ "...! " หยวนเป่าถามเขาไม่ใช่หรือ? เหตุใดท่านพ่อถึงแย่งตอบเล่า?
“หออู๋ิยังมีการจัดประมูลเช่นกัน…! ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้