“เกาเหริน [1] ?”
ไม่รอให้ลู่เสี่ยวหมี่ตอบรับ ทุกคนก็พากันหัวเราะขบขันขึ้นมาก่อน ที่แท้เด็กน้อยหน้าตาดุดันคนนั้นมีนามว่าเกาเหรินหรือนี่ ทั้งๆ ที่สูงไม่ถึงสามชุ่น [2] ด้วยซ้ำ กลับได้รับนามเช่นนี้ ช่างน่าขบขันยิ่งนัก
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นเด็กน้อยชุดแดงโผล่หัวออกมาจากห้องพักฝั่งตะวันออก ถลึงตาอย่างโกรธเคือง ชัดเจนว่าไม่ชอบที่ทุกคนพากันล้อเลียนชื่อของเขา นางจึงรีบไกล่เกลี่ยทันที “ข้าเดาว่าคงเป็ตัว ‘เหริน’ จากคำว่าเหรินอี้ [2] กระมัง? แต่ข้าว่านะเรียกว่าเกาโซ่ว [3] น่าจะเหมาะสมกว่า อย่างไรเสียเสือกับหมีดำตัวนี้ก็ไม่ใช่สัตว์ที่ใครก็สามารถล่าได้”
“จริงดังว่า ชื่อเกาโซ่วนี่สมตัวอย่างยิ่ง”
ทุกคนพากันเออออยกยอปอปั้นประจบประแจง ทำเอา ‘ยอดฝีมือ’ หมาดๆ คนนี้เชิดคางขึ้นสูงเสียดฟ้า ไม่หลงเหลือความเกรี้ยวโกรธบนใบหน้าอีก
ลู่เสี่ยวหมี่ลอบยิ้ม จากนั้นก็แบ่งงานทันที
ในเมื่อเฝิงเจี่ยนบอกว่าเหยื่อที่ล่ามาได้ให้นางเป็คนจัดการทั้งหมด บ่าวชราเองก็บอกแล้วว่าต้องอยู่ร่วมกันไปอีกหลายเดือน การดูแลคนเจ็บมีเื่ให้ต้องหนักใจไม่น้อย เช่นนั้นนางก็จะไม่เกรงใจแล้ว
“พี่รอง ท่านและพวกพี่เสี่ยวเตาช่วยกันแยกเนื้อหนังของหมูป่า เที่ยงวันนี้เชิญทุกท่านมารับประทานอาหารร่วมกันให้ครื้นเครง แต่อุ้งตีนหมีห้ามแตะต้อง! เสือตัวโตนั่นก็ห้ามแตะต้อง! พรุ่งนี้รีบนำเข้าเมืองไป หากว่าได้พบเจอกับขบวนพ่อค้าที่ยังไม่ลงใต้ คาดว่าคงขายได้ราคาดี ท่านป้าหลิว ท่านป้าจาง น้าหวัง ลำบากพวกท่านช่วยข้าต้มน้ำร้อนเตรียมผักและเครื่องปรุงสำหรับตุ๋นเนื้อหมูหน่อยเ้าค่ะ”
เสียงสดใสอารมณ์ดีของสาวน้อยฟังแล้วพาให้ทุกคนแช่มชื่นจนยิ้มแย้มออกมา คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ประทังชีวิตด้วยการล่าสัตว์ ต่างมีนิสัยตรงไปตรงมา ย่อมไม่มีกระบิดกระบวนเกรงใจกันจนน่าอึดอัด
สกุลลู่เป็เ้าภาพ และเพราะบรรดาสัตว์ที่ล่ามาได้เหล่านี้ ลูกของบ้านอื่นก็นับว่ามีน้ำใจช่วยแบกกลับมา การแบ่งปันให้ทุกคนได้ลิ้มลองด้วยย่อมเป็เื่ที่ถูกต้อง วันหน้าหากบ้านตัวเองล่าหมูป่าได้บ้างก็แค่กลับมาเลี้ยงสกุลลู่คืนบ้างก็เป็อันใช้ได้
ทุกคนจึงพากันแห่เข้าไปในเรือนสกุลลู่ บุรุษไปนั่งดื่มน้ำกันที่ห้องโถงใหญ่ สนทนากันเื่การล่าสัตว์ในครั้งนี้ ส่วนบรรดาสตรีช่วยกันพับแขนเสื้อไปช่วยลู่เสี่ยวหมี่ต้มน้ำเตรียมหม้อตุ๋นหมูป่า
ลมเหนือพัดผ่านลานบ้านสกุลลู่ พัดบานหน้าต่างของเรือนพักฝั่งตะวันออกให้เปิดอ้าออกน้อยๆ อย่างซุกซน เฝิงเจี่ยนขยับขาอย่างช้าๆ เปลี่ยนท่านั่งให้สบายที่สุด หูได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาจากด้านนอก หว่างคิ้วจึงคลายออกยิ่งกว่าเดิม...
ที่ลานบ้านสกุลลู่ มีกองไฟก่ออยู่ตรงกลาง ถ่านสีแดงควันพวยพุ่ง คนทั้งหมู่บ้านทั้งเด็กทั้งแก่ต่างมุงกันแน่นขนัด ยามปกติทุกคนก็เห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ อยู่แล้วจึงมีความสนิทสนมกันดี ยามนี้เบียดเสียดกันก็ไม่เกิดความรู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด
ถ้วยกระเบื้องใบใหญ่ใส่น้ำอุ่นจนเต็ม นายพรานหนุ่มแบ่งกันคนนั้นคำหนึ่ง คนนี้คำหนึ่งอย่างสนิทสนม
ชายหนุ่มร่างกำยำเอ่ยวาจาไม่รู้จักประหยัดเสียง ต่างะโโหวกเหวกเสียงดัง ทำเอาบรรดาเด็กน้อยใแทบสิ้นสติ ว่ากันว่าเกาเหรินยิงธนูสังหารหมีดำที่ถูกรบกวนจนตื่นจากการจำศีล ทั้งเตะต่อยจนเสือสลบเหมือด เล่าจบก็มีเสียงะโตอบรับจากคนอื่นๆ ในหมู่บ้านว่า ดีๆๆ หลายครั้ง
วรรณกรรมไร้ที่หนึ่ง วรยุทธ์ไร้ที่สอง [4] ลู่อู่ชื่นชอบวรยุทธ์มาั้แ่เด็ก ทั้งยังหนุ่มแน่น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาตวัดสายตาไปมองเกาเหรินหลายครั้ง ดูก็รู้ว่าเขาคิดจะเปิดศึกประลองกับเกาเหรินที่นี่
ดีที่ลู่เสี่ยวหมี่ยกน้ำชาเข้ามาเพิ่มพอดี เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของพี่รองก็ไม่มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้อีก จึงจับเขาไปช่วยผ่าฟืนทันที กลับกันทางด้านเกาเหรินก็ถูกนางยัดขนมน้ำตาลโรยงาใส่มือไปหลายชิ้น
ในสายตาของลู่เสี่ยวหมี่ไม่ว่าเกาเหรินจะร้ายกาจเพียงใดก็ยังเป็แค่เด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบ ในเมื่อเป็เด็กก็ไม่มีทางไม่ชอบกินขนม นางยังถือโอกาสนี้ช่วยมัดผมทรงชี้ฟ้าให้เกาเหรินใหม่อีกด้วย ทำเอาพวกหลิวเสี่ยวเตาใจนเกือบโยนถ้วยในมือทิ้ง หากอยู่ๆ เกาเหรินโมโหขึ้นมา หมัดนั้นที่ใช้ต่อกรกับเสือเปลี่ยนมาทักทายใส่ลู่เสี่ยวหมี่แทน ชีวิตน้อยๆ ของนางก็คงดับสูญในทันที
แต่ก็ไม่รู้เป็เพราะเกาเหรินถูกขนมน้ำตาลโรยงาปิดปากไปแล้ว หรือคำนึงถึงว่าเ้านายของตนยังต้องพักรักษาตัวที่สกุลลู่ต่อไปกันแน่ มือน้อยๆ คู่นั้นของเขากำหมัดแล้วกำหมัดอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตวัดขึ้นมา...
หมูป่าที่เกาเหรินล่ามาได้ไม่ใช่ลูกหมูตัวน้อย อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็หมูป่าอายุกว่าสองปี กำยำอวบอ้วนเป็อย่างมาก ยามนี้ถูกคนเลาะเนื้อเถือกระดูก ลอกหนังแยกออกมาเป็ส่วนๆ แล้วนำไปแขวนตากให้แห้งในที่ร่ม เนื้อหนาหนักถูกหั่นแยกมันและส่วนเนื้อแดงออกจากกัน ส่วนกระดูกหมูถูกโยนเข้าไปในหม้อทันที ขิง ต้นหอม โป๊ยกั๊กและพริกไทยดำก็ถูกโยนตามลงไปเช่นกัน เมื่อน้ำเดือดเป็ฟองลอยขึ้นสู่พื้นผิว ผักดองกะละมังใหญ่ที่ช่วยกันสับจนละเอียดดีกับเต้าหู้แข็งหลายชิ้นและเนื้อสามชั้นก็ถูกโยนลงหม้อไปอย่างครื้นเครง
ฟืนขนาดเท่าท่อนแขนกำยำของบรรดาพรานหนุ่มแดงร้อนอยู่ใต้หม้อลุกโหม ทำเอาสตรีหน้าเตาพากันหน้าแดง บางคนถึงขนาดถอดเสื้อคลุมออกเหลือเพียงเสื้อตัวใน
เมื่อเนื้อสามชั้นสุกดีแล้วก็ถูกนำขึ้นมา มีดหนาหนักขยับขึ้นลงหลายครา สุดท้ายหมูสามชั้นก็ถูกหั่นจนบางและจัดเรียงแน่นขนัดอยู่บนจานขนาดใหญ่ดุจหิมะกองใหญ่ปกคลุมทั่วพื้นผิว
ตามมาด้วยผักดองอีกหนึ่งชั้น พื้นที่อีกกว่าครึ่งโปะทับด้วยกระเทียมสับ สุดท้ายก็ออกมาเป็เมนูสามชั้นกระเทียมสับ ทั้งเนื้อทั้งผักดับความหิวโหยที่ไม่ว่าใครก็อยากลิ้มลอง
ลู่เสี่ยวหมี่ยุ่งจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่จางหายไปแม้แต่น้อย
ทางหนึ่งนางก็รู้สึกเสียดายที่เืหมูมีน้อยเกินไป จึงไม่อาจทำไส้กรอกเืได้ ทางหนึ่งก็คิดคำนวณว่าเหยื่อที่ล่ามาได้พวกนี้จะขายได้เป็เงินจำนวนเท่าใด จะพอซื้อสมุนไพรบำรุงให้เฝิงเจี่ยนหรือไม่ ยังต้องหาซื้อเสื้อกันหนาวบุฝ้ายมาเติมไว้ในบ้าน ให้ปีนี้เป็ปีที่บริบูรณ์ไปด้วยปัจจัยสี่
โต๊ะเพียงสองตัวในบ้านของสกุลลู่ถูกจัดเรียง เก้าอี้ทั้งหมดที่มีในบ้านถูกนำออกมา บางตัวเพิ่งจะเคยออกมาพบเห็นโลกเป็ครั้งแรก ทั้งโต๊ะเก้าอี้จากบ้านข้างเคียงก็ถูกนำมาร่วมด้วย
ครั้นถึงเวลาทานอาหาร บรรดาบุรุษพากันนั่งเต็มโถงรับรองรวมถึงห้องอุ่นทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของบ้าน ส่วนสตรีและเด็กๆ ยึดห้องครัวเป็ของตนเอง
ครอบครัวที่มีสุราก็ให้บุตรชายกลับไปนำสุราไหแล้วไหเล่ามา เทใส่เต็มชาม ชามแรกต้องคารวะวีรบุรุษผู้เอาชนะเสือได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ซึ่งก็คือเกาเหรินนั่นเอง
เดิมทีลู่เสี่ยวหมี่ยังคิดจะห้ามปราม อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็แค่เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบขวบ สุราแรงชามใหญ่ขนาดนั้นลงท้องไปยังไม่รู้ว่าจะเมาไปอีกกี่วัน
คิดไม่ถึงว่าเกาเหรินไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขารับชามสุรามาแล้วเงยหน้ากระดกสุราลงไปจนหมดอย่างรวดเร็ว
“ดี”
“สมชายชาตรี”
“ใช่แล้ว ชายชาตรีต้องเป็เช่นนี้แหละ กินเนื้อคำใหญ่ ดื่มสุราคำโต”
“ใช่แล้วๆ มา ดื่มอีกถ้วย”
บรรดานายพรานที่คารวะสุราหมายจะล้อเล่น คิดไม่ถึงว่าเกาเหรินจะไม่อิดออดแม้แต่น้อย ทำเอาพวกเขาอดร้องว่าดีติดๆ กันครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้ ความรู้สึกดูแคลนเพียงเล็กน้อยในใจเพราะเขาอายุน้อยอยู่ถูกปัดให้สลายหายไปโดยสิ้นเชิง
อาหารบนโต๊ะแสนจะเรียบง่าย สามชั้นกระเทียมสับ เส้นหมี่ผักดองตุ๋นเต้าหู้ น้ำแกงกระดูกหมู และยังมีเครื่องเคียงเป็ผักกาดขาวฝอยดองเย็นอีกหนึ่ง
แสนจะธรรมดา ทว่าอาหารแต่ละจานล้วนใส่มาในถ้วยหรือจานที่ใหญ่พอให้เด็กน้อยลงไปนั่งได้ จึงดูละลานตาเป็อย่างยิ่ง
เกาเหรินดื่มทั้งสุรา กินทั้งเนื้อหมูโดยไม่ปฏิเสธ แต่ยามเอ่ยวาจากลับแฝงความโอหังเอาไว้ไม่น้อย
เพียงแต่เขามีความสามารถ ย่อมมีสิทธิ์จะโอหังได้เป็ธรรมดา ทุกคนต่างไม่ถือสา กลับพากันหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นว่าเกาเหรินหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย จึงเดาว่าเขาคงคอแข็ง และไม่สนใจอีก ก่อนจะหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออก
เฝิงเจี่ยนยังาเ็อยู่ ทั้งยังต้องดื่มยาสมุนไพรบำรุง ่นี้จึงห้ามกินอาหารหลายอย่าง เมื่อครู่ลู่เสี่ยวหมี่จึงตั้งใจทำอาหารง่ายๆ ให้เขาโดยเฉพาะอีกหนึ่งอย่าง
ในถ้วยกระเบื้องมีโจ๊กหมูเนื้อแดงที่ถูกต้มจนเปื่อยยุ่ยส่งกลิ่นหอมหวานลอยออกมา เครื่องเคียงเป็ผักกาดเขียวปลีหั่นเป็เส้นเล็กๆ หนึ่งจาน แตงกวาดองหนึ่งจาน หมูกลับกระทะหนึ่งจานซึ่งไม่ได้ใส่พริกแต่ก็ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ตบท้ายด้วยเห็ดหูหนูดองเย็น
แม้อาหารพวกนี้จะดูธรรมดา แต่ผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งเนื้อและผัก แค่ดูก็รู้ว่าคนทำใส่ใจเป็อย่างมาก
ถึงแม้เฝิงเจี่ยนจะอารมณ์ไม่ใคร่ดีเพราะอาการาเ็ที่เป็อยู่ แต่เมื่อโจ๊กอุ่นร้อนลงท้องก็ทำให้รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย
“ขอบคุณแม่นางลู่มาก”
“พี่ใหญ่เฝิงเกรงใจแล้ว” นางกลัวท่านลุงหยางที่อยู่ด้วยกันจะกินไม่อิ่มจึงหยิบแป้งทอดมาให้เขาอีกสองแผ่น จากนั้นก็ถามขึ้นเรียบๆ “พี่ใหญ่เฝิง วันพรุ่งนี้ข้าจะติดตามไปขายเนื้อในเมืองด้วย ไม่ทราบว่าท่าน้าสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่ ข้าจะได้ซื้อหามาให้ในคราวเดียว”
เฝิงเจี่ยนหลุบตาลงไม่พูดอะไร กลับเป็ผู้เฒ่าหยางตอบรับว่า “พวกเราออกจากบ้านมาอย่างรีบร้อน ไม่ได้เตรียมสัมภาระสิ่งของมามากมาย รบกวนแม่นางลู่ช่วยซื้อหาอาภรณ์สำหรับผลัดเปลี่ยนให้คุณชายของเราหน่อยเถอะ ส่วนของข้ากับเกาเหรินนั้นอย่างไรก็ได้ไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลือง”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” ลู่เสี่ยวหมี่ไม่เห็นด้วย “ที่หมู่บ้านเราหนาวมาก อย่างอื่นยังพอจะประหยัดได้ แต่อาภรณ์ที่สวมใส่จะบางเกินไปไม่ได้ พี่ใหญ่เฝิงาเ็ที่ขาจึงไม่สะดวกออกไปข้างนอก แต่ท่านลุงกับเกาเหรินกลับต้องออกไปบ่อยๆ ย่อมต้องมีเสื้อคลุมขนแกะให้พวกท่านคนละตัว จะขาดไม่ได้เชียว รวมถึงรองเท้าหนังแกะ เดินไกลแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวเท้าเย็น ยังมี...”
ลู่เสี่ยวหมี่ยกนิ้วขึ้นมานับเสื้อผ้าข้าวของที่ต้องซื้อเพิ่ม ยิ่งนับยิ่งมาก นางเองก็เป็คนใจร้อน หมุนกายพลางกล่าวว่า “ข้าต้องกลับไปเขียนเอาไว้ ประเดี๋ยวจะลืมเสียหมด ทานเสร็จแล้วท่านลุงหยางอย่าลืมช่วยเอาถ้วยกับตะเกียบกลับไปให้ข้าที่โรงครัวนะเ้าคะ”
จากนั้นก็เปิดประตูผลุนผลันจากไปอย่างรีบร้อน
ผู้เฒ่าหยางยิ้มให้กับช่องประตูเล็กๆ ตรงหน้า กล่าวว่า “แม่นางลู่คนนี้ใจกว้างทั้งยังเฉลียวฉลาดร่าเริง”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า เมื่อกินโจ๊กตรงหน้าหมดแล้วจึงกำชับว่า “วันพรุ่งเ้าตามเข้าเมืองไปด้วยกัน”
“ขอรับ คุณชาย”
ผู้เฒ่าหยางรับคำแล้วจึงจัดการโจ๊กและเครื่องเคียงทั้งหลายที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ยกถ้วยกับตะเกียบไปที่ห้องครัว
ในห้องครัวสกุลลู่ บรรดาสตรีและเด็กๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร เมื่อโต๊ะมีที่วางไม่พอ ก็นำอาหารไปจัดเรียงบนเตาแทน
เด็กน้อยคนนี้งอแงจะดื่มน้ำแกง อีกคนงอแงจะแทะกระดูก ส่วนบรรดาสตรีพากันสนทนาอย่างสนุกสนาน หัวข้อสนทนาก็ไม่พ้นแม่สามีบ้านใครร้ายกาจ ภรรยาบ้านไหนรสมือเป็เลิศ รวมไปถึงหนุ่มน้อยบ้านไหนถูกใจสาวน้อยบ้านไหน สนทนากันออกรสออกชาติจนหัวเราะฮ่าฮ่าเคล้าคลอไป
ครัวสกุลลู่ดูครึกครื้นกว่าในห้องโถงใหญ่เสียด้วยซ้ำ
ั้แ่มารดาของเสี่ยวหมี่จากไป ท่านป้าหลิวก็ให้การดูแลเสี่ยวหมี่เป็พิเศษเนื่องจากบ้านใกล้เรือนเคียงกัน
ยามนี้เสี่ยวหมี่ไม่อยู่ ท่านป้าหลิวจึงรับหน้าที่เป็เ้าบ้าน ยิ้มกล่าวกับคนอื่นๆ ว่า “ทุกคนอย่าได้เกรงอกเกรงใจ กินกันให้เต็มที่ อีกเดี๋ยวพอหิมะตกลงมาปิดทางขึ้นเขาก็คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว ข้าจำได้ว่าบนชั้นวางของตรงนั้น เสี่ยวหมี่แอบซ่อนสุราเอาไว้ครึ่งไห หากพวกเ้าไม่กลัวจะเมามายก็รีบไปยกมาดื่มเสียสิ”
“ฮ่าฮ่า ดียิ่งนัก รีบเอามาดื่มดับกระหายเสียตอนที่เสี่ยวหมี่ไม่อยู่นี่แหละ”
ดินแดนทางเหนือสภาพอากาศหนาวเย็นโหดร้าย ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนชื่นชอบการดื่มสุรา บรรดาสตรีทั้งหลายครื้นเครงยกไหสุราออกมารินแจกจ่ายจนถ้วนทั่ว
ท่านป้าหลิวตาไวมือไวรีบตักกระดูกหมูชิ้นสุดท้ายในหม้อออกมาแอบไว้ในถ้วย ตั้งใจเหลือเอาไว้ให้เสี่ยวหมี่
เด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างคล้ายว่าจะจับจ้องกระดูกชิ้นนี้มานานแล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ก็เบะปากเตรียมจะร้องไห้ ป้าหลิวรีบคีบสามชั้นชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากเด็กน้อย ใบหน้าน้อยๆ นั่นจึงยิ้มออก
ขณะนั้นเอง ท่านลุงหยางก็ยกถ้วยและตะเกียบที่ใช้แล้วเข้ามา จึงถูกบรรดาสตรีที่มีนิสัยชอบสนทนากันมาแต่กำเนิดลากเข้าวงสนทนาไปด้วยอย่างไม่อาจเลี่ยง
ถึงแม้เขาหมีจะอยู่ห่างจากเมืองอันโจวไม่กี่สิบลี้ แต่ระหว่างกลางมีเขาสูงหลายลูกคั่นอยู่ จึงนับว่าค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ยามปกติก็แทบไม่มีพ่อค้าหลงเข้ามา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแขกที่ดูสูงศักดิ์เช่นนี้
วันนี้ผู้ติดตามตระกูลเฝิงอย่างเกาเหรินยังแสดงฝีมือเป็ที่ประจักษ์ ยิ่งทำให้ทุกคนพากันสงสัยในสถานะของเฝิงเจี่ยนผู้เป็นาย
เชิงอรรถ
[1] เกาเหริน(高人)ในที่นี้หมายถึงคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่
[2] เหรินอี้(仁义)แปลว่า มีเมตตาและคุณธรรม คำว่าเหริน(仁)พ้องเสียงกับคำว่า เหริน(人)ที่แปลว่า คน
[3] เกาโซ่ว(高手)แปลว่า ยอดฝีมือ
[4] วรรณกรรมไร้ที่หนึ่ง วรยุทธ์ไร้ที่สอง(文无第一,武无第二)งานวรรณกรรมและงานเขียนไม่มีมาตรฐานในการกำหนดคุณค่าหรือการลำดับความสำคัญที่ชัดเจน เป็แบบแผนเดียวกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่างานของผู้ใดเป็อันดับหนึ่ง แต่วรยุทธ์สามารถกำหนดแพ้ชนะได้จากการประลอง ทำให้มักมีคนอวดอ้างว่าตนเป็ผู้แข็งแกร่งเป็อันดับหนึ่งอยู่เสมอ เป็ที่มาของคำว่าเื่วรรณกรรมไม่มีใครเป็ที่หนึ่ง ส่วนเื่วรยุทธ์ไม่มีใครยอมเป็ที่สอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้