หนิงมู่ฉือขดตัวจนเป็รูปวงกลม ถูกจ้าวซีเหอเป่าลมหายใจใส่คอ นางรู้สึกเสียวไปทั้งตัว อดหัวเราะออกมาไม่ได้ พร้อมทั้งเอ่ยห้าม “ซื่อจื่อ ไม่เหมาะเ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอหาได้หยุดไม่ ยิ่งหนิงมู่ฉือดิ้นเขาก็ยิ่งกอดรัด ยื้อยุดกันไปมา นางไม่ทันได้ระวังตัว ถูกเขาดึงผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บอยู่ที่เอวขึ้นมา ทันใดนั้นเองสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
เขาถลึงตาด้วยความเ็า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “หนิงมู่ฉือ เหตุใดเ้าถึงเอาผ้าเช็ดหน้ามาเหน็บในจุดที่เห็นชัดถึงเพียงนี้ เพื่อดึงดูดให้บุรุษหน้าตาหล่อเหลามาดึงเอาไปใช่หรือไม่ เ้าจะได้ครองคู่กับเขา นี่เ้ายังเป็สตรีอยู่หรือ เหตุใดถึงไร้ยางอายเช่นนี้!”
หนิงมู่ฉือมองผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของนางที่ถูกยึดเอาไป แถมยังถูกเขาใส่ร้ายว่าเอาไว้ให้ท่าผู้ชายอีก นางมีหรือจะทนได้ ยื่นมือออกไปเพื่อจะเอาผ้าเช็ดหน้าคืน พร้อมกับะโเสียงดังใส่เขาไปว่า “ผ้าเช็ดหน้าข้า!”
“ผ้าเช็ดหน้าเ้าแล้วอย่างไร ข้าเอาผ้าเช็ดหน้าเ้ามาเยี่ยงนี้ คงไปขัดขวางความรักการแต่งงานของเ้าสินะ” เห็นหนิงมู่ฉือโมโห จ้าวซีเหอก็รู้ทันทีว่ามิได้เป็เยี่ยงที่เขาพูดออกมาแน่ แต่ยิ่งเป็เช่นนี้เขาก็ยิ่งอยากแกล้งนาง กระทั่งว่าใบหน้าเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มชอบอกชอบใจอยู่ตลอด
หนิงมู่ฉือหน้าแดงด้วยความโกรธจัด ทว่านั่นทำให้นางยิ่งดูงดงามมากขึ้น นางร้อนใจนัก ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็ของดูต่างหน้าจากมารดาของนาง ทว่าตอนนี้กลับถูกจ้าวซีเหอคว้าไป นางจ้องเขาเขม็งพร้อมกับเอ่ยว่า “นี่เป็ผ้าเช็ดหน้าที่ท่านแม่ข้าทิ้งเอาไว้ให้! ท่านเลิกแกล้งข้าได้แล้ว รีบคืนมาประเดี่ยวนี้!”
จ้าวซีเหอชะงักไปชั่วครู่ เงียบอยู่ครู่หนึ่งถึงส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้หนิงมู่ฉือ “ข้าไม่รู้ ข้าขอโทษจริงๆ”
หนิงมู่ฉือรับผ้าเช็ดหน้าคืนมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ใช้มือลูบมันอย่างแ่เบา ครั้นเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของจ้าวซีเหอ ใจนางก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว นางไม่เคยเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้มาก่อนเลย นางปรับอารมณ์ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ”
นางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ที่เดิม หยิบป้ายเข้าออกวังขึ้นมา ชูไปตรงหน้าจ้าวซีเหออย่างโอ้อวด “ตอนนี้ข้าคือคนที่สามารถเข้าออกวังได้ตามอัธยาศัยแล้วนะเ้าคะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้านางเปลี่ยนเป็เศร้าสร้อย ก่อนจะกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะให้ตัวเองแพ้จริงๆ เ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “เ้าคิดว่าเ้าคือผู้ชนะตลอดกาลสินะ”
หนิงมู่ฉือก้มหน้า เมื่อลงจากรถม้าก็พบว่าท่านอ๋องได้มายืนรอนางกับจ้าวซีเหออยู่ที่หน้าประตูตำหนัก
ท่านอ๋องจับแขนนางอย่างร้อนใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็ห่วง “นางหนูหนิง เป็อย่างไรบ้าง”
นางถอนหายใจ จ้าวซีเหอเห็นท่าทางรู้สึกผิดของหนิงมู่ฉือจึงโอบไหล่นางพร้อมกับตอบแทนว่า “ท่านพ่อ นางไม่สามารถทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ได้จริงๆ ขอรับ ทั้งๆ ที่ตั้งใจทำให้ตัวเองแพ้แล้ว แต่ก็ถูกจับไต๋จนได้”
หนิงมู่ฉือยิ่งพูดยิ่งรู้สึกผิด “ท่านอ๋อง ฉือเอ๋อร์ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ เ้าค่ะ”
ท่านอ๋องลูบเคราของตัวเองขณะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็ไรหรอก ถือว่าเป็ข่าวดีด้วยซ้ำ ที่อยู่ในมือเ้าคือป้ายห้อยเอวที่ฝ่าาพระราชทานให้ใช่หรือไม่”
หนิงมู่ฉือพยักหน้า จ้าวซีเหอเอ่ยตอบท่านอ๋อง “ท่านพ่อ ฝ่าาตรัสว่า ให้นางทำหน้าที่สอนขันทีพ่อครัวหลวงรุ่นใหม่ จึงมอบป้ายเข้าออกจากวังนี้กับนางขอรับ”
ท่านอ๋องถอนหายใจออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ยื่นมือไปตบไหล่หนิงมู่ฉือ “ช่างเถิด ถือว่าเป็ข่าวดี แต่เ้าต้องจำเอาไว้ โชคดีกับโชคร้ายล้วนมาคู่กัน การแสดงออกของเ้าในวันนี้ยิ่งจะทำให้ผู้คนอิจฉาเ้า เช่นนั้นหลังจากนี้เ้าต้องระวังตัวให้ดี”
หนิงมู่ฉือพยักหน้ารับคำ ฟ้ามืดมากแล้ว พรุ่งนี้นางยังต้องเข้าวังอีก จึงรีบขอตัวกลับไปพักผ่อน
อากาศในวันนี้ดีเยี่ยม ท้องฟ้าแจ่มใส หนิงมู่ฉืออยู่ในวัง นางสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าแลดูสดใส ประกอบกับนางมีผิวขาวยิ่งทำให้นางดูงดงามสะดุดตามากขึ้นไปอีก จนผู้ใดเห็นก็ต้องอิจฉา
นางเดินไปที่ห้องเครื่องด้วยความตื่นเต้นยินดี นางเห็นมาแต่ไกลว่าหัวหน้าขันทีพ่อครัวกำลังยืนรอต้อนรับนางอยู่
ครั้นหัวหน้าขันทีพ่อครัวเห็นหนิงมู่ฉือ จึงยกยิ้มพร้อมกับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า “แม่นางหนิง อรุณสวัสดิ์ขอรับ พวกเรามารอแม่นางั้แ่เช้าแล้วขอรับ”
นางส่งยิ้มบางๆ ให้ ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า รอยยิ้มของนางยิ่งดูงดงามน่ามอง “ขอโทษด้วย ทำให้พวกท่านต้องรอนานแล้ว”
ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับหนิงมู่ฉือ พ่อครัวผู้หนึ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ “วางท่าเสียยิ่งใหญ่ ไม่กลัวอายุสั้นหรือไร”
หัวหน้าขันทีพ่อครัวหันไปจ้องเขม็งขันทีผู้ไม่รู้ความที่เอ่ยออกมา หนิงมู่ฉือได้ฟังรู้สึกไม่พอใจยิ่ง แต่ก็ต้องสะกดความไม่พอใจลงไป เดี๋ยวขันทีพ่อครัวเหล่านี้จะกล่าวหาว่านางใช้อำนาจที่มีในมือมารังแกตัวเอง
นางเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องครัว ภายในห้องนางเห็นถุงแป้งสาลีถูกวางกองเต็มไปหมดจึงอดสงสัยไม่ได้ หันไปเอ่ยถามขันทีหัวหน้าพ่อครัว “เหตุใดถึงมีถุงแป้งสาลีกองอยู่เต็มไปหมดเช่นนี้”
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “เดิมทีพวกเราคิดจะทำหมั่นโถว ทว่าในวังไม่มีผู้ใดชอบทาน แม้แต่นางกำนัลหญิงและขันทีที่ทำงานอยู่ในวังก็ยังไม่ชอบ จึงมีแป้งสาลีกองอยู่เช่นนี้”
นางยิ้มขณะที่ในใจผุดแผนการขึ้นมา นางยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ขณะเอ่ยกับขันทีหัวหน้าพ่อครัว “ยกให้ข้าจัดการ ข้าจะช่วยพวกท่านจัดการแป้งสาลีเหล่านี้เอง”
“พวกเ้าช่วยข้ายกแป้งสาลีมาทางนี้” นางเอ่ยสั่งขันทีพ่อครัวอายุน้อยที่นั่งอยู่เฉยๆ
บรรดาขันทีพ่อครัวอายุน้อยเหล่านี้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับลอบบ่นในใจ ขณะเทแป้งสาลีลงในชามใบใหญ่ หนิงมู่ฉือบดกลีบดอกไม้จนกลายเป็ชิ้นเล็กๆ
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวเอ่ยถามอย่างสงสัย “แม่นางหนิงจะเอาแป้งสาลีเหล่านี้ไปทำอาหารหรือขอรับ”
นางขยิบตาพลางตอบอย่างมีเลศนัย “ไม่ใช่ว่าฝ่าามิทรงโปรดเสวยหมั่นโถวหรอกหรือ เช่นนั้นข้าก็จะเปลี่ยนวิธีทำ ข้าจะทำหมั่นโถวเซียงเฟย”
นางเติมน้ำลงไปในแป้งสาลี แล้วใส่กลีบดอกไม้ที่ถูกบดอย่างละเอียดลงไป ตามด้วยไข่ไก่และเกลืออีกเล็กน้อย นางใช้มือผสมทุกอย่างให้เข้ากันแล้วนวด จากนั้นใส่วัตถุดิบลับลงไปอีกหนึ่งอย่าง ทำให้บรรดาขันทีพ่อครัวอายุน้อยทั้งหลายมองอย่างแปลกใจ
“แม่นางหนิง เมื่อครู่ท่านใส่สิ่งใดลงไปหรือขอรับ”
“นี่คือผงเซี่ยว[1] จะทำให้หมั่นโถวฟูและนุ่มขึ้น” นางตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนางนวดแป้งเสร็จ นางให้ขันทีพ่อครัวอายุน้อยนำไปเก็บไว้ในที่ที่อุณหภูมิอบอุ่น หนึ่งชั่วยามต่อมานางถึงค่อยสั่งให้พวกเขานำออกมา
นางปั้นแป้งเป็เส้นยาว ก่อนจะทำเป็รูปดอกไม้ ในแป้งมีกลีบดอกไม้ผสมอยู่ จึงมีกลิ่นหอมโชยขึ้นมาอยู่ตลอด
“ที่เรียกว่าหมั่นโถวเซียงเฟย ก็เพราะว่ามันมีกลิ่นหอมอย่างไรเล่า”
[1] ผงเซี่ยว คือผงฟู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้