“ข้าเป็ผู้ตรวจสอบการลงทะเบียนแข่งขันทำเครื่องหอมครั้งนี้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาข้าได้แต่รอที่จะเห็นชื่อของเ้า”
ฮูหยินซ่งนั่งลง ขณะที่เวินซีช่วยรินชาร้อนให้
“น่าเสียดายที่จนหมดเขตแล้วเ้าก็ยังไม่มา ดังนั้นข้าจึงมาหาเ้า”
“ฮูหยินซ่ง ข้าไม่้า…” เวินซีอยากจะปฏิเสธ
“การแข่งขันทำเครื่องหอมเป็โอกาสของเ้าที่จะสร้างชื่อให้ตนเอง เหตุใดถึงอยากอยู่แต่ในชนบทเช่นนี้ล่ะ? ั้แ่โบราณมามีผู้ใดบ้างที่ไม่ฝักใฝ่จะไปเมืองหลวง?” ฮูหยินซ่งไม่เข้าใจ
“ฮูหยินซ่ง ในเมืองหลวงมิได้สุขสบายเหมือนที่นี่ ท่านเองก็ไม่ชอบที่นั่นมิใช่หรือ?”
“ช่างเถิด ข้าพูดแพ้เ้า แต่การแข่งขันทำเครื่องหอมครั้งนี้ข้ามองว่ามันเป็ประโยชน์ต่อเ้านัก เ้าคิดให้ดีเถิด หากวันใดอยากจะเข้าร่วมก็มาบอกข้า ข้าจะช่วยเอง”
เมื่อฮูหยินซ่งเห็นว่าไม่สามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้จึงหยุดพูด จากนั้นซื้อเครื่องหอมสองสามอย่างแล้วกลับออกไป
ต่อจากนั้นเวินซีก็กลับเข้าไปด้านในแล้วเริ่มพัฒนาเครื่องหอมตัวใหม่เพียงลำพัง ครั้งนี้นางมิได้เน้นเื่ความงาม แต่เป็ยาพูดความจริง
ยาพูดความจริงเป็ยาทาน หลังจากที่ยาออกฤทธิ์แล้ว ผู้ที่ทานเข้าไปจะมิได้สติ ถูกถามสิ่งใดก็จะตอบตามความจริง แต่น่าเสียดายที่่เวลาที่ออกฤทธิ์ยังสั้นนัก เพียงพูดได้แค่หนึ่งประโยค
นอกจากนี้นางยังพัฒนายาแปลกๆ อีกหลายอย่าง เช่น เครื่องหอมขี้เหร่ เครื่องหอมเปลี่ยนเสียง
เมื่อมอบหมายให้จ่างกุ้ยป่าวประกาศออกไป เวลาเพียงธูปดอกเดียว ผู้คนมากมายก็พากันแห่เข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เครื่องหอมใหม่นั้นยังผลิตออกมาได้ไม่เพียงพอ ผู้คนบางส่วนจึงต้องกลับบ้านไปอย่างผิดหวัง
ในตอนที่เวินซีทำบัญชีก็พบว่าเงินทั้งหมดที่พวกเขาหามาได้นั้นเกินสิบล้านตำลึง นับได้ว่านางเป็เศรษฐีนีแล้ว
“ปิดร้านเถิด” นางยังอยากจะไปดูจ้าวต้านที่สวนหลัง เมื่อจ่างกุ้ยได้ยินเช่นนั้นก็เตรียมจะปิดประตู
แต่ทันใดนั้นก็มีใครบางคนยื่นมือมาขวางไว้ก่อนจะเบียดเข้ามา เป็บุรุษที่อยู่ในชุดหรูหรา ด้านหลังของเขายังมีองครักษ์อีกสองคนซึ่งชนประตูจนเปิดออก
“พวกท่านเป็ผู้ใดกัน? วันนี้ร้านปิดแล้ว ค่อยมาใหม่วันพรุ่งนะขอรับ”
จ่างกุ้ยขับไล่พวกเขาออกไป
“ข้าเพียงอยากจะมาถามความ มิได้อยากจะรบกวน ถามเสร็จพวกข้าก็จะไป ท่านทั้งสองเคยได้พบคนผู้นี้หรือไม่?”
ในมือของบุรุษผู้นั้นเป็ภาพวาดของคนคนหนึ่ง
เวินซีขมวดคิ้ว นางบอกมิได้ว่าคนที่อยู่ในภาพคือจ้าวซานหรือจ้าวต้าน เป็เพราะเื่เมื่อคืนนี้หรือ?
“ไม่เคย” นางตอบเสียงเบาและเก็บซ่อนความรู้สึกไว้เป็อย่างดี
“ขอบคุณขอรับ” บุรุษผู้นั้นมองดูร้าน ในตอนที่พวกเขาประสานมือกำลังจะออกไป ที่ข้างเอวก็เผยให้เห็นป้ายของคนในราชวงศ์
“คุณหนูเวินซี...” จ่างกุ้ยดูเป็กังวล
“ปิดร้าน”
เวินซีเอ่ยปาก รอให้ประตูร้านปิดลงเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้กำลังบอกนางว่า การแข่งขันทำเครื่องหอมจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างเป็แน่ แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายอยู่ในใจ
ในเวลานั้นที่ห้อง จ้าวต้านตื่นขึ้นแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นางจึงเตรียมยาบำรุงร่างกายให้ เมื่อเห็นว่าเขาลุกขึ้นนั่งยังยากจึงช่วยป้อนยา
“ใมากใช่หรือไม่? ข้าขอโทษ” จ้าวต้านรู้สึกผิด
“ไม่เป็ไร” เวินซีหัวเราะเบาๆ แล้วกางฝ่ามือออก มันคือยา “ระงับพิษหนอนกู่”
จ้าวต้านทานมันโดยปราศจากความสงสัยใดๆ ดวงตาของเขาปิดลงทันทีพร้อมกับร่างที่ไร้เรี่ยวแรง
เวินซีหรี่ตาลง “เ้าเป็ผู้ใดกันแน่?”
“ข้าคือจ้าวต้าน เหมือนจะมิใช่...” จ้าวต้านตอบอย่างคลุมเครือ
สายตาของเวินซีเพ่งพินิจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อเห็นเขาได้สติกลับมา นางก็แกล้งทำเป็ไม่มีอันใดเกิดขึ้น “พักผ่อนให้เต็มที่ อยู่กับพวกยียีให้เยอะล่ะ”
“ได้สิ” จ้าวต้านกะพริบตาปริบๆ
เจ็ดวันต่อมา ทุกอย่างยังคงเป็ปกติ หลังจากที่จ้าวต้านอาการดีขึ้นแล้วก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ส่วนเวินซีมีเื่ให้คิดจึงมิได้เอ่ยห้ามเขา
สินค้าใหม่ของนางเป็ที่นิยมอย่างล้นหลามใน่ที่ผ่านมานี้ แต่ด้วยความกังวลว่ามันจะทำให้เกิดเื่ จึงได้หยุดขายยาพูดความจริงไป
ในวันที่การแข่งขันทำเครื่องหอมเริ่มต้นขึ้น ถนนทั้งสายว่างเปล่า พ่อค้าแม่ค้าพากันปิดร้านรวง จ่างกุ้ยไปถึงสนามแข่งั้แ่เช้าโดยไม่ลืมที่จะลากเวินซีไปด้วย ทั้งสองนั่งอยู่ที่มุม
ในวันแรกเป็เพียงการปรากฏตัวของผู้เข้าแข่งขัน ส่วนใหญ่จะเป็ผู้เข้าร่วมจากต่างเมือง เวินซีไม่คุ้นเคยกับพวกเขา ขณะที่จ่างกุ้ยมีความกระตือรือร้น คอยพูดแนะนำให้นางฟัง
“นี่คือตระกูลไป๋ขอรับ พวกเขาแพ้เวินอี๋เหนียงเมื่อคราวก่อน ปีนี้พวกเขาเป็ผู้ที่มีโอกาสชนะมากที่สุด”
“นั่นคือตระกูลอวิ๋น น่าจะมาแค่เข้าร่วมล่ะขอรับ”
“ตระกูลหลี่ก็มาด้วยหรือ?”
......
การแข่งครานี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความสามารถ สำหรับเวินซีแล้ว โอกาสที่ตระกูลเวินจะชนะได้นั้นริบหรี่มากเมื่อไม่มีเวินอี๋เหนียง
“ตระกูลเวินออกมาแล้ว!”
เสียงร้องของจ่างกุ้ยทำให้เวินซีกลับมาได้สติ ครานี้ผู้ที่เป็ตัวแทนของตระกูลเวินคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง
“คุณหนูเวินซี นี่คือโจวอวี่ชาง ลูกพี่ลูกน้องของท่านขอรับ” จ่างกุ้ยเอ่ยขึ้นเผื่อว่านางจะจำไม่ได้
แต่เวินซีไม่สนใจคนของตระกูลเวินและไม่ได้อยากจะดูต่อ นางเพียงแค่พยักหน้าตอบรับแล้วหาข้ออ้างง่ายๆ เพื่อปลีกตัวออกมา แต่ท่ามกลางฝูงชน มีแววตาที่ร้อนผ่าวคู่หนึ่งสังเกตมองนางที่เดินออกไป
“คุณหนูเวินเยียน จะลงมือเลยหรือไม่เ้าคะ?”
สุนัขรับใช้เสี่ยวชุ่ยกำลังนวดไหล่ของเวินเยียน ใบหน้าที่ดูดุร้ายเคร่งขรึมนั้นเหมือนกับเ้านายของตนไม่มีผิด เพราะเื่ราวครั้งก่อน ตอนนี้นางจึงได้เป็สตรีรับใช้ข้างกายของเวินเยียน
“บอกคนเ่าั้ให้ลงมือกันเองได้เลย”
แววตาของเวินเยียนเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เมื่อมีความช่วยเหลือจากคนเ่าั้ คราวนี้นางไม่เชื่อว่าเวินซีจะไม่ตาย
“เ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยก้มหน้าแล้วถอยออกไป
เวินเยียนเงยหน้าขึ้นอย่างสง่างาม สายตาของนางกลับไปที่การแข่งขันทำเครื่องหอมอีกครั้ง
......
ขณะที่เวินซีกำลังเดินอยู่ กระเื้ัคาที่อยู่รอบๆ ก็มีเสียงดังขึ้น นางจึงก้มหน้าและก้าวเท้าเร็วมาก แต่บนกระเื้ัคาทั้งสองฝั่งก็ยังคงมีเสียงฝีเท้าตามมา คนเหล่านี้แอบสะกดรอยตามั้แ่ตอนที่นางเคลื่อนไหว นางไม่รู้เป้าหมายของพวกเขาจึงแสร้งทำตัวปกติต่อไป
ในเวลานั้นมีคนเดินถนนน้อยมาก ระยะทางของถนนในยามนี้จึงดูแสนยาวไกล
“เวินซี”
นั่นคือเสียงของจ้าวต้าน เวินซีขมวดคิ้ว เมื่อหันกลับไปจึงเห็นเขากำลังเดินมาหา ในมือมีจิ้งจอกที่ถูกลูกธนูเสียบไว้อยู่ เขาโบกมันขึ้นราวกับจะอวด
“ข้าทำผ้าพันคอให้เ้าได้แล้ว”
“กลับบ้านกันเถิด”
หางตาของเวินซีคอยมองสองข้างทางอยู่ตลอด การที่จ้าวต้านโผล่มาจะทำให้เื่ราววุ่นวายยิ่งขึ้น นางดูปฏิกิริยาของเขา ไม่รู้ว่าเขารู้ตัวแล้วหรือยัง
“อื้ม” เขาตอบรับ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปด้วยกัน
ในตอนที่อยู่ห่างจากร้านเพียงไม่กี่ก้าว คนที่สะกดรอยตามมาตลอดทางก็อดทนต่อไปไม่ไหว จึงจับดาบะโลงมา
จ้าวต้านปกป้องเวินซีจากด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ส่วนเวินซีถือกริชไว้แล้ว คนที่เข้ามาจู่โจมไม่ได้พูดอันใด จ้าวต้านเพียงนำจิ้งจอกใส่มือเวินซีแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนผู้นั้น
เขาโจมตีอีกฝ่ายได้ดั่งใจ ทุกการจู่โจมล้วนสร้างาแ ผู้ที่สะกดรอยตามมาสองคนนั้นมิใช่คู่มือของเขาเลย พวกเขาทำได้เพียงตั้งรับ
เวินซีมองดูอย่างไม่เป็กังวล ฝีมือที่เก่งกาจของจ้าวต้านนั้นนางก็เคยััมาแล้ว ทันใดนั้นเขาก็โจมตีโดนศีรษะของนักฆ่าคนหนึ่งจนล้มลงกับพื้น ก่อนจะคว้าดาบของอีกฝ่ายขึ้นมาสู้กับอีกคน
แต่คนที่าเ็จนไร้เรี่ยวแรงนั้นไม่ยอมหนี เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาจงใจลดพละกำลังของจ้าวต้าน
เวินซีหวั่นใจ นางคอยสังเกตรอบข้างอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าไม่มีกองกำลังเสริมของอีกฝ่ายเข้ามาก็โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง
“อ๊า!”
ขณะนั้นเองนักฆ่าที่กำลังต่อสู้ก็อยู่ถูกแทงเข้าที่ท้องจนร้องลั่นและนอนขดตัว จ้าวต้านมองทั้งสองคนอย่างเ็าพร้อมกับส่งสายตาเตือน ในคราที่ละสายตาออกและหันไปมองเวินซีก็ทิ้งดาบไป
“เ้าไม่เป็ไรนะ?” เขากลัวว่านางจะใกับฉากนองเื
เวินซีส่ายศีรษะ ในตอนที่กำลังจะพูดนางก็เห็นนักฆ่าคนที่นอนอยู่บนพื้นยืนขึ้นและเข้ามาใกล้จ้าวต้านอย่างรวดเร็ว เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า เห็นได้ชัดว่ากำลังหยิบของบางอย่างออกมา
จ้าวต้านหลบไม่ทัน เวินซีจึงรีบเคลื่อนตัวไปด้านหน้าเพื่อบังเขาไว้ จนกระทั่งมีผงสีขาวสาดใส่ นางรีบยกมือขึ้นป้องใบหน้า
ฉับพลันนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเ็ปอย่างรุนแรง นางลืมตาขึ้นมองไปที่แขน มีควันลอยออกมาจากจุดที่ััผงสีขาวนั้น เสื้อผ้าถูกกัดกร่อน เผยให้เห็นิัและเนื้อที่เหวอะหวะ ความเ็ปที่เสียดแทงกระดูกนั้นเกิดขึ้นเป็ระลอก ก่อนจะกระจายไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ผงสีขาวนั่นมีพิษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้