ไม่นานก็ผ่านไปสองวันแล้ว จนมาถึงวันสุดท้ายที่เจียงไป๋ได้ยื่นข้อเสนอให้กับจางฉางเกิง
เช้าวันนี้ตอนที่เจียงไป๋กำลังกอดหนังสือเพื่อศึกษาเล่มหนึ่ง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น และคนที่โทรศัพท์มาหาก็คือฉวีเจี๋ย
“ลูกพี่ วันนี้จางฉางเกิงส่งข่าวมาแล้ว พวกเขาเชิญเ้าพ่อจ้าวมาเป็คนกลาง อาจารย์ของฉันก็ลงเขามาแล้วเหมือนกัน เพิ่งจะโทรศัพท์มาหาฉัน บอกว่าตอนเย็นเ้าพ่อจ้าวอยากจะเชิญพี่ไปกินข้าวด้วย”
“เ้าพ่อจ้าว?”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจียงไป๋ได้ยินชื่อนี้ และทุกครั้งที่ฉวีเจี๋ยพูดถึงก็มักจะให้ความนับถือเป็อย่างมาก
จริงๆ แล้วหลังจากที่รู้จักฉวีเจี๋ยมานานขนาดนี้ ทั้งเทียนตูเมื่อเขาพูดถึงทั้งสองคนก็มักจะมีน้ำเสียงอย่างนี้ คนหนึ่งคืออาจารย์ของเขา อีกคนหนึ่งก็คือเ้าพ่อจ้าว
“รับปากพวกเขา ตอนเย็นมารับผมด้วย”
พูดตามตรงสำหรับเ้าพ่อจ้าวและยังมีอาจารย์ของฉวีเจี๋ยอีกเจียงไป๋รู้สึกแปลกใจมาก เพราะเขาก็ไม่ได้คิดที่จะบีบจางฉางเกิงจนตาย
จางเทียนอั๋งได้รับการสั่งสอนไปแล้ว ได้ยินฉวีเจี๋ยบอกว่าเมื่อวานก็เดินทางไปรักษาที่ต่างประเทศ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสักครึ่งปีถึงจะหาย ไอ้หนูคนนี้ทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่กล้ามาแหย่หว่านหรูแล้ว ดังนั้นเจียงไป๋จึงไม่คิดที่จะเหยียบเขาให้จมดิน
หนึ่งวันผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลินหว่านหรูยังคงไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเจียงไป๋ ในตอนเย็นเสี่ยวเทียนกับฉวีเจี๋ยขับรถมารับเจียงไป๋แล้ว ทั้งสามคนขับรถไปยังสถานที่ชั้นยอดแห่งหนึ่งของเทียนตู
“ฉวีเจี๋ย เ้าพ่อจ้าวเป็ใคร?”
เจียงไป๋ที่นั่งว่างๆ จนเบื่ออยู่บนรถ อดไม่ได้ที่จะถามถึงความสงสัยที่เขามี
เมื่อพูดถึงเ้าพ่อจ้าว ฉวีเจี๋ยที่เดิมทีมีท่าทางอันธพาลก็นั่งตัวตรงอย่างใ พลางพูดเสียงต่ำว่า “เ้าพ่อจ้าวมีชื่อว่าจ้าวอู๋จี๋ เป็ลูกพี่ใหญ่ของทั้งเทียนตู!”
เทียนตูที่ยิ่งใหญ่ก็คือหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทั้งหัวเซี่ย เป็ศูนย์กลางทางการเงิน ฟู่ฟ่าเป็อย่างยิ่ง ที่นี่ไม่รู้ว่ามีวีรบุรุษ เศรษฐีพันล้าน บุคคลสำคัญทางการเมืองและธุรกิจมากเท่าไร ทั้งยังมีคนใหญ่คนโตของแท้อีกจำนวนหนึ่ง ฉวีเจี๋ยพูดอย่างนี้ทำให้สีหน้าของเจียงไป๋จริงจังขึ้น
“จะพูดอย่างไรล่ะ?”
“เ้าพ่อจ้าว จ้าวอู๋จี๋ ปีนี้อายุสี่สิบสองปี เมื่อสิบปีก่อนก็เป็พี่ใหญ่คนหนึ่งที่ยอมรับกันโดยทั่วของเทียนตู ทั้งเทียนตูไม่มีใครกล้างัดข้อกับเขา คำพูดของเขามีน้ำหนักมาก ถึงแม้จางฉางเกิงจะเก่งกาจแต่ในสายตาของเ้าพ่อจ้าวก็ไม่มีค่า! ลูกไม้ของเ้าพ่อจ้าวร้ายกาจมาก ปีนั้นในเทียนตูมีผู้มีอำนาจจะแบ่งแยกที่ แต่ก็ถูกเ้าพ่อจ้าวจัดการจนหมด ลูกไม้ของเ้าพ่อจ้าวน่าใ หลายปีมานี้ คนที่กล้าล่วงเกินเขา ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตามล้วนมีจุดจบไม่ดีสักคน าาแห่งตงเป่ยน่าหลานจงเต๋อ ัแห่งตี้ตูหลี่ชิงตี้ พยัคฆ์แห่งหนานเจียงเฉิงเทียนกัง นอกจากฉวีฉางเฉิงที่ไม่รู้ว่าเป็ใครมาจากไหนที่เล่าลือกันคนนั้นจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาแล้ว มีใครบ้างเล่าที่เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาแล้วเืหัวจะไม่ออก? ทั้งเทียนตูทุกคนที่พูดถึงเขาก็ล้วนต้องเรียกเขาว่าเ้าพ่อจ้าวอย่างให้ความเคารพ”
“อุตสาหกรรมของเ้าพ่อจ้าวยิ่งใหญ่มาก ครอบคลุมทั่วทั้งโลก ถึงแม้ไม่ติดอันดับเศรษฐีอะไร แต่ก็เป็เศรษฐีซ่อนตัวเป็หนึ่งไม่เป็สองรองใคร ตามที่ฉันรู้ สมบัติของเขาเกรงว่าจะมากกว่าเศรษฐีสิบอันดับต้นๆ รวมกันเสียอีก มีอำนาจครอบคลุมไปถึงทางการเมืองและทางธุรกิจ พูดได้ว่าเขากระแอมแค่ทีเดียวทั้งเทียนตูก็สั่นะเืแล้ว ถึงจะเป็หมายเลขหนึ่งของเทียนตูในตอนนี้ก็ยังต้องหลีกทางให้เขา”
ฉวีเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักหน่วง
คนที่เคยพบกับเขาสองสามคนนั้น เจียงไป๋ไม่รู้จัก ที่เคยได้ยินเพียงคนเดียวก็คือน่าหลานจงเต๋อที่ขนานนามว่าเป็าาแห่งตงเป่ยมาสามสิบปีคนนั้น คนอื่นๆ อีกสองสามคนที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาได้นั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็บุคคลแบบไหน
คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้แต่ละคนจะฟันร่วง ทั้งยังเสียเปรียบจ้าวอู๋จี๋ และไม่กล้าเข้ามาในเทียนตูแม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งก็เห็นได้ถึงความร้ายกาจของเ้าพ่อจ้าวแล้ว
ในเวลาเดียวกันที่ดึงดูดความสนใจของเจียงไป๋ ยังมีฉวีฉางเฉิงที่ลึกลับคนนั้นอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะสู้กับจ้าวอู๋จี๋ในเทียนตูได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปจากเทียนตูแล้วหรือ แบบนั้นเขาจะเอาชนะจ้าวอู๋จี๋ได้อย่างไร?
และเหมือนจะร้ายกาจกว่าคนอื่นๆ
รถแล่นเข้าสู่ด้านในสวนสาธารณะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผ่านป่าที่หนาทึบ ในสุดทางเล็กๆ ที่ทอดยาวนั้น สิ่งปลูกสร้างที่มีไฟสว่างไสวปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเจียงไป๋แล้ว
อาคารเล็กๆ สไตล์เจียงหนานย้อนยุคเรียงติดกัน ไฟนีออนร้อยเรียงต่อกัน เรือลำน้อยลอยโดดเดี่ยว สายน้ำไหลริน ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน
รถของเจียงไป๋เพิ่งมาถึงห่างจากประตูทางเข้าร้อยเมตร ก็พบว่ามีคน้าจะขวางไว้ แต่พอจะลงมือก็ถูกเรียกให้หยุดทันที และหลีกทางให้ ประตูใหญ่เปิดออก เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างนี้ได้ถูกเตรียมการไว้แล้ว เ้าพ่อจ้าวคิดละเอียดรอบคอบมาก
พอเข้าไปในสถานที่ที่แสนงามตา พวกเจียงไป๋สังเกตเห็นสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้ๆ
นอกจากอาคารหลักที่อยู่ตรงกลางแล้ว ที่นี่ยังมีอาคารเล็กๆ อีกสิบกว่าหลัง เวลานี้อาคารทุกหลังล้วนมีไฟสว่างไสวและผู้คนพลุกพล่าน ในลานจอดรถขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยรถหรู และมีรถมากมายหลายคันที่แม้แต่ชื่อเจียงไป๋เองก็ยังพูดไม่ถูก
อย่างราคาหลักล้านก็ล้วนกล้าจอดไว้ที่นี่ แน่นอนว่าบางครั้งก็มีรถราคาธรรมดาสองสามคันจอดอยู่บ้าง แต่ป้ายทะเบียนนั้นก็ยังพิเศษ
“หอเจียงหนานคือหอที่สุดยอดที่สุดของเทียนตู และก็เป็หนึ่งในธุรกิจของเ้าพ่อจ้าว คนที่มาที่นี่ล้วนแต่เป็คนที่มีหน้ามีตาเข้าสังคมได้ และยังครอบคลุมถึงทางการเมืองและธุรกิจ ที่นี่รวมถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่โดยรอบก็ล้วนเป็สินทรัพย์ของหอเจียงหนาน ด้านหน้าหันไปทางแม่น้ำใหญ่ ด้านหลังติดูเา สภาพแวดล้อมร่มรื่น แค่การเป็สมาชิกอย่างน้อยก็ห้าล้านขึ้นไปแล้ว และจะประเมินจากทรัพย์สมบัติที่มี หากไม่มีทรัพย์สินถึงหนึ่งพันล้านขึ้นไป แต่อยากจะเป็สมาชิกของที่นี่ก็อย่าได้คิดเลย หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไรที่พยายามจะใช้เส้นสายเพื่อให้ได้บัตรสมาชิกของหอเจียงหนาน ปีนั้นฉันก็เคยมาครั้งหนึ่ง และก็เป็คนอื่นที่พาฉันมา จุ๊ๆ … ”
เมื่อลงจากรถมาแล้ว มองสะพานน้อยๆ และน้ำไหลแบบนี้ ฉวีเจี๋ยก็พูดเบาๆ
“พูดเื่พวกนี้ทำไม หากนาย้า จะต้องมีสักวันนะ ภายในหนึ่งปีฉันจะเอามาให้นายเอง”
เจียงไป๋มองฉวีเจี๋ย และตบไหล่เขาพลางพูดและหัวเราะ
ระหว่างที่พูด ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางน่าเกรงขาม รูปร่างธรรมดาแต่ดูมีราศีอย่างน่าใคนหนึ่งก็เดินมาตรงหน้าของเจียงไป๋ พลางพูดอย่างนอบน้อมว่า “สวัสดีครับ คุณเจียง ผมชื่อหวางเป้า เ้าพ่อจ้าวรอคุณอยู่ด้านในแล้ว เชิญคุณตามผมมา”
“คุณเป้า? คิดไม่ถึงว่าจะให้คุณมารับด้วยตัวเอง ดูแล้วน่าจะเพื่อเื่ของจางฉางเกิง วันนี้ดูแล้วเ้าพ่อจ้าวให้เกียรติลูกพี่ของผมอย่างสมน้ำสมเนื้อเลย”
เจียงไป๋ยังไม่ทันพูดอะไร ฉวีเจี๋ยก็พูดออกมาก่อนและหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักคนที่อยู่ตรงหน้านี้ และจากการเรียกก็คาดเดาถึงฐานะของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
จริงๆ แล้วตอนที่อีกฝ่ายเพิ่งจะมาถึง เจียงไป๋ก็สังเกตได้แล้วว่าเขาต้องไม่ธรรมดา เป็ยอดฝีมือแน่นอน และก็ไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์มวยหงฉวนอย่างโจวชื่อหลงแน่นอน
ก็แค่ของอย่างวูซูจีน หากไม่ได้สู้กันจริงๆ ก็จะมองไม่ออก เจียงไป๋ก็แค่คาดเดาเท่านั้น
“ไม่หรอกครับ เป็เกียรติของผมที่ได้มารับคุณเจียง การต่อสู้ก่อนหน้านี้ของคุณเจียงช่างน่าเลื่อมใสเป็อย่างยิ่ง ผมนั้นเทียบไม่ได้เลย และก็ไม่กล้าพูดว่าจะประมืออะไรกับคุณเจียง ก็แค่หวังว่าจะมีโอกาสขอคำชี้แนะจากคุณเจียงบ้าง” หวางเป้าฉีกยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่พยักหน้าให้ฉวีเจี๋ยแล้ว ก็พูดกับเจียงไป๋อย่างเกรงอกเกรงใจ
ท่าทางของเขาอ่อนน้อมมาก น่าจะเป็เพราะผลจากการต่อสู้ที่กล้าหาญของเจียงไป๋ในก่อนหน้านี้ได้ทิ้งร่องรอยที่หนักอึ้งไว้ในใจของเขา จึงทำให้เขาไม่กล้าอวดดีแม้แต่น้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้