เมื่อได้ยินคำของตี้หลิงหาน ดวงตาของจีอู๋ซวงพลันเบิกกว้างด้วยความตระหนก
“เ้าว่าอย่างไรนะ?”
ทว่าตี้หลิงหานกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศเ็าล้ำลึก วาจาของเขาน้อยนัก ไร้ซึ่งความคิดจะอธิบาย
เป็เช่นนี้ย่อมมิได้การ
“อาหาน ตกลงว่าเ้าฟังที่ข้ากล่าวไม่เข้าใจหรือ? เื้ัของสตรีผู้นั้นมีนักปรุงยาที่มิอาจมีผู้ใดเทียบฝีมือได้อยู่ นั่นหมายถึงโอกาสที่จะช่วยชีวิตเ้าได้ย่อมมีมากขึ้น”
จีอู๋ซวงกล่าวอย่างจริงจังเคร่งขรึม
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
ตี้หลิงหานถามกลับอย่างเฉยเมย
เช่นนั้น? เช่นนั้นแล้วอย่างไรน่ะหรือ? นี่เรียกว่าคำพูดอันใดกัน!
จีอู๋ซวงโมโหจนจะตายแล้ว
“เช่นนั้นพวกเราจึงมิอาจทำให้สตรีผู้นั้นขุ่นเคืองเป็อันขาดอย่างไรเล่า? นางกล่าวชัดเจนแล้วว่าวันพรุ่งจะมารับเงิน เ้าให้ข้าผลัดนางออกไปอีกสามวัน ทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใด? อีกทั้งเ้ามีความคับแค้นอันใดกับนางกันแน่ ถึงขั้นกล่าวว่าแม้นางตายก็จงตายอย่างไร้ที่กลบฝัง?”
จีอู๋ซวงงุนงงเป็อย่างยิ่ง
ทว่ายิ่งเขาพูด สีหน้าของตี้หลิงหานก็ยิ่งไม่น่ามอง
อั้นจิ่วยืนนิ่งอยู่ข้างๆ กระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้า
จีอู๋ซวงรู้จักนิสัยของตี้หลิงหานดี หากอีกฝ่ายไม่้าเอ่ย ต่อให้เขาจะะเิโทสะจนฟ้าถล่มดินทลายก็มิอาจถามได้ความใดเพิ่มเติม
“ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
“ไม่ได้ หากเ้าไม่อธิบายให้ชัดเจน อย่างไรข้าก็ไม่ยอมตกลง”
เวลานี้จีอู๋ซวงมีท่าทีแน่วแน่เป็พิเศษ
เขาเป็นักปรุงยา และรู้ว่าคนที่ปรุงยานี้ได้มีความสามารถสูงส่งเพียงใด อีกทั้งสตรีผู้นั้นที่สามารถนำโอสถิญญาออกมาได้มากมาย นางย่อมต้องมีสถานะไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงมิอาจสร้างเื่ให้นางตามที่อาหานบอกได้
ใบหน้าของตี้หลิงหานเย็นะเืดั่งน้ำค้างแข็ง ทว่าใบหน้าของจีอู๋ซวงก็แข็งกระด้างไม่แพ้กัน ไม่มีกระทั่งรอยยิ้มทะเล้นเช่นอย่างเคย นั่นเพราะเขาใส่ใจเื่ชีวิตของตี้หลิงหานมากกว่าชีวิตของตัวเขาเองเสียอีก จู่ๆ ก็ค้นพบความหวังเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเขามิอาจยอมแพ้โดยง่ายเป็แน่
“อาหาน”
จีอู๋ซวงยังคงเห็นตี้หลิงหานยืนอยู่อย่างนั้น ร่างของอีกฝ่ายแผ่รังสีห้ามผู้อื่นเข้าใกล้ หลงจู้แห่งหออู๋ิเอ่ยพร้อมถอนหายใจเสียงเบาว่า “อาหาน เ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเหตุใดตอนนั้นข้าจึงรับ่ดูแลหออู๋ิต่อ นั่นมิใช่เพราะ้าใช้ที่แห่งนี้เป็แหล่งรวบรวมโอสถสมุนไพรชั้นยอดหรอกหรือ? หลายปีที่ผ่านมา ข้าทำงานหนักลงแรงทั้งกายและใจก็เพื่อร่างกายของเ้า จนท้ายที่สุดเมื่อพบความหวังเล็กๆ ที่หามาไม่ง่ายนี้ ข้าก็ไม่อยากปล่อยมือจากมัน
ดังนั้นเ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ ว่าระหว่างเ้ากับนางเกิดเื่ใดขึ้นกันแน่?”
น้ำเสียงของจีอู๋ซวงหนักอึ้ง ทว่าเป็เพราะความอดกลั้นที่มิอาจทำอันใดได้เสียมากกว่า
ตี้หลิงหานหงุดหงิดกับคำพูดของจีอู๋ซวง เขาไม่้าเอ่ยถึงเื่ใดก็ตามระหว่างเขาและแม่นางอันเหยียนแห่งตระกูลมู่ ทั้งยังพูดไม่ออกอีกด้วย แต่เขาทราบดีว่าจีอู๋ซวงทำเพื่อรักษาพิษในกายเขา อีกฝ่ายทำงานหนักมาหลายปี ในเมื่อวันนี้ค้นพบความหวัง แล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร?
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองตกอยู่ในภาวะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน
ความอดทนของจีอู๋ซวงมีไม่มากนัก โดยเฉพาะเมื่อตี้หลิงหานทำทีราวกับถึงตายก็ไม่ยอมเปิดปาก ยิ่งทำให้เขาโกรธจนอยากกระอักเืเสียจริง ดังนั้นเขาจึงพูดกับอั้นจิ่วว่า “อั้นจิ่ว เ้าก็รู้จักร่างกายของนายเ้าดีมิใช่หรือ ว่าหากไม่อาจถอนพิษในร่างได้ เขาจะมีชีวิตอีกไม่เกินสามปี ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาอาหานมีการสั่นะเืทางอารมณ์ เขาโกรธจนพลังปราณและเืไหลวนพลุ่งพล่าน ดังนั้นอาการกำเริบของพิษจึงรวดเร็วยิ่งขึ้น ข้าเกรงว่าเขาจะมิอาจอดทนได้นานถึงสามปี เ้าลองคิดดู ทุกเดือนเขาต้องได้รับความเ็ปจากพิษ ยามเห็นวันคืนแห่งพิษจะหวนกลับมาอีกครั้ง เ้าไม่อยากช่วยนายของเ้าหรือ?”
จีอู๋ซวงกล่าวต่อเนื่องไม่หยุดพัก
หน้าผากของอั้นจิ่วมีเหงื่อเย็นไหลหยด เขาถูกคำของจีอู๋ซวงบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้นทันที
เขาพูดได้หรือ? าแที่เขาโดนแส้หวดยังไม่ทันหายและเจ็บอยู่มาก นอกจากนี้ยังต้องถือว่าขอบคุณคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ด้วย ทว่าหากนายท่านไม่เปิดปาก เขาก็มิกล้าเอ่ยคำใดที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้น
“หากเ้าไม่พูด วันพรุ่งเมื่อสตรีผู้นั้นมาหา ข้าจะไม่ยอมทำให้นางลำบากใจเป็แน่”
จีอู๋ซวงกล่าว
ตอนนี้เขาทั้งโกรธทั้งสงสัย และยิ่งอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตี้หลิงหานกับสตรีผู้นั้นเป็เช่นไรกันแน่
เมื่อได้ยินคำของจีอู๋ซวง ใบหน้าของตี้หลิงหานพลันมืดครึ้ม เขากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “อั้นจิ่วจงรั้งอยู่ที่นี่”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ความหมายชัดเจนตามตัวอักษร มิต้องกล่าวเพิ่มก็เข้าใจ ให้อั้นจิ่วรั้งอยู่ หมายถึงหาก้าถามสิ่งใดก็ให้ถามอั้นจิ่วโดยตรง
...
จากนั้นไม่นาน น้ำเสียงคาดไม่ถึงของจีอู๋ซวงก็ดังมาจากชั้นสองของหออู๋ิ
“อะไรนะ? เ้าบอกว่าแท้จริงแล้วสตรีผู้นั้นคือคุณหนูมู่อันเหยียนหรือ? คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ที่หายตัวไปถึงสี่ปีคนนั้น? ผู้เป็อดีตคู่หมั้นของอาหาน?”
“เ้าบอกว่าคนที่ขโมยดอกบัวพันปีของอาหานไปคือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่คนนั้นหรือ?”
“อะไรนะ? เ้าบอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มู่อันเหยียนไม่เพียงขโมยดอกบัวพันปีไปเท่านั้น แต่ยังบังคับจูบอาหานอีกด้วย?”
เสียงของจีอู๋ซวงเปลี่ยนไปมาหลายระดับ และไม่อาจใช้คำว่าตื่นตระหนกมาอธิบายแทนความหมายของเสียงนี้ได้อีกแล้ว
อั้นจิ่วมีสีหน้าราวกับสีผัก [1] เขาพยักหน้าขึ้นลงและไม่กล้าพูดต่อ ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ยัง...ถ่มน้ำลายใส่นายท่านของเขา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกลอุบายหลอกลวงของนาง
“ฮ่าๆๆๆ จริงหรือ? คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่เก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ? ไอ้หยา ครั้งแรกที่ข้าพบสตรีผู้นั้นก็ทราบแล้วว่านางมิใช่คนธรรมดา ที่แท้นางคือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มู่อันเหยียนนี่เอง มิน่าเล่า มิน่าเล่า นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าเห็นสตรีนางหนึ่งทำให้อาหานเสียเปรียบเช่นนี้ได้ ทำข้าขบขันแล้ว ไอ้หยา ไม่ไหวแล้ว ข้าปวดท้องเหลือเกิน”
จีอู๋ซวงที่รู้ความจริงของเื่นี้จากปากของอั้นจิ่ว น้ำตาพลันไหลทะลักไม่หยุด เสียงหัวเราะของเขาแทบจะยกหลังคาชั้นสองของหออู๋ิให้ลอยลิ่วไป
“คุณชายอู๋ซวง หยุดหัวเราะได้แล้วขอรับ”
อั้นจิ่วถอนหายใจ กล่าวอย่างอับจนหนทาง
“ได้ ข้าไม่หัวเราะแล้ว เ้าพูดต่อเถิด”
จีอู๋ซวงเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยปากด้วยความอดกลั้น อั้นจิ่วช่างน่าเบื่อนัก ทำหน้าเ็าอยู่ได้ทั้งวัน เขาหัวเราะเสียนาน ทว่าคนผู้นี้กลับทำเพียงนั่งมองอยู่นานเช่นกัน
“กล่าวคือคุณหนูมู่อันเหยียนถูกปลูก [2] อยู่ในมือของนายท่าน และได้มีการลงนามในข้อตกลง หากนางไม่อาจรวบรวมเงินจำนวนสามล้านตำลึงได้ภายในสามวัน นางจะต้องเข้าจวนไท่จื่อในฐานะข้ารับใช้ แต่ถ้านางเก็บเงินได้เพียงพอ ความคับข้องใจระหว่างนางกับนายท่านก็จะถือเป็เื่โมฆะทันทีขอรับ”
อั้นจิ่วเปิดปากอธิบายอีกครั้ง
ยามนี้จีอู๋ซวงหัวเราะจนเรี่ยวแรงหายไปทั้งร่าง เขาทรุดตัวนั่งแผ่บนเก้าอี้ เมื่อได้ยินคำอธิบายโดยละเอียดของอั้นจิ่ว ที่สุดเขาก็เข้าใจทั้งเหตุและผลของเื่นี้แล้ว
“ดังนั้น อาหานจึงตั้งใจจะไม่ปล่อยให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่รวบรวมเงินสามล้านตำลึงได้สำเร็จ จากนั้นนางจะได้เข้าจวนไท่จื่อในฐานะข้ารับใช้หรือ?”
จีอู๋ซวงลูบคางตนเอง
“ความคิดของนายท่าน อั้นจิ่วมิกล้าเดาสุ่มขอรับ”
อั้นจิ่วตอบ
จีอู๋ซวงกลอกตา ั์ตาที่ทั้งยาวและเรียวของเขากลิ้งไปมา “อาหานเองก็ชั่วร้ายเกินไปแล้ว คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจอย่างหนักเพื่อขายทั้งหญ้าิญญาลึกลับและผลไม้ิญญาโลหิตสีชาดให้ข้า ทั้งยังขายโอสถล้ำค่าสองขวดนี้อีก ไม่ง่ายเลยที่จะสะสมเงินให้ครบสามล้านตำลึง แต่อาหานกลับบอกให้ข้าริบเงินนาง ผลัดจ่ายไปอีกสามวัน เพียงเพื่อจะให้นางเข้าจวนไปเป็ข้ารับใช้ให้ได้เช่นนั้นหรือ?”
อั้นจิ่วนิ่งเงียบฟังโดยไม่ปริปากอันใด
“ทำเช่นนี้ นับว่าผิดศีลธรรมเกินไปแล้วกระมัง”
จีอู๋ซวงกล่าวต่ออีกครั้ง
อั้นจิ่วเม้มริมฝีปาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อครู่ที่คุณหนูมู่ยืนอยู่หน้ากำแพง นางออกปากด่านายท่านด้วยขอรับ”
จีอู๋ซวงเลิกคิ้ว “ด่าว่าอันใด?”
ใบหน้าของอั้นจิ่วมืดครึ้มเป็อย่างยิ่ง “อั้นจิ่วมิกล้าพูด”
ต่อให้ถูกตีจนตาย เขาก็ไม่กล้าเอ่ยคำว่า ‘ไอ้สารเลว’ ออกจากปาก
จีอู๋ซวงไม่ต้องเดาก็ทราบว่าย่อมไม่ใช่คำที่ดี มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้สหายของเขาะเิโทสะจนมีท่าทีเยี่ยงนี้
“คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ถูกอาหานคิดบัญชีเอาไว้แล้ว นางตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา แต่หากเื่นี้ทำให้นางไม่พอใจ เช่นนั้นก็มิต้องกล่าวถึงนักปรุงยาเื้ันางว่าเป็ผู้ใด”
เชิงอรรถ
[1] สีหน้าราวกับสีผัก 面如菜色 (Miàn rú càisè) ใช้อธิบายถึงสีหน้าซีด หรืออาการใจนหน้าเขียว (เปรียบเปรย)
[2] ปลูก 栽 (Zāi) หมายถึง สูญเสียการลงทุน เสียเดิมพัน เปรียบเปรยถึงการโดนจัดการจนอยู่หมัด หรือสำหรับคู่รักที่กำลังจะแต่งงานร่วมสร้างชีวิตก็สามารถพูดได้ว่า “ชีวิตของฉัน ปลูกไว้ในมือของคุณแล้วนะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้