“ความรู้สึกอย่างนี้ช่างดีจริงๆ! ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ว่าแค่หมัดเดียวก็สามารถซัดวัวทั้งตัวให้ตายได้ หลายปีแล้ว ฉันล้วนไม่มีความรู้สึกอย่างนี้”
จ้าวอู๋จี๋ปริปากพูดแล้ว เสียงเขาดังกังวาน พละกำลังเต็มเปี่ยม เขากางมือทั้งคู่ออกแล้วหัวเราะเสียงดัง และเคลื่อนไหวสักหน่อย เขาพึงพอใจมาก
“เ้าพ่อจ้าวหายแล้ว?” ั์ตาหวางเป้าเต็มไปด้วยความดีใจ และพูดเสียงสั่น
“หายแล้ว ฮ่าๆ หายแล้ว ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!”
จ้าวอู๋จี๋ขยับแขนของตนเองไปมาสักพัก เขาทั้งหัวเราะทั้งพูด นี่คือการกระทำที่หลายปีมานี้ไม่เคยมีมาก่อน
“มีเวลาแค่หนึ่งปี”
แต่เจียงไป๋กลับเลือกเวลานี้และพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมมาก เหมือนสาดน้ำเย็นใส่ทั้งสองคน
“หนึ่งปีก็ดี หนึ่งปีพอแล้ว” เมื่อเทียบกับสีหน้าที่หม่นหมองของหวางเป้าแล้ว จ้าวอู๋จี๋กลับอารมณ์ดีมาก
จ้าวอู๋จี๋คว้าตัวเจียงไป๋มา เขาทั้งหัวเราะทั้งพูดว่า “เสี่ยวไป๋ ครั้งนี้ต้องขอบคุณนายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าฉันใกล้จะตายแล้ว ยังจะสามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติคนหนึ่งได้อีก ไปกันเถอะ พวกเราไปหลิงเฉวียนกัน ทางนั้นก็รอมาสองวัน และก็ทนรอไม่ไหวแล้ว หากให้รอต่อไปอีก พอฉันไปถึงก็คงต้องตายแน่ ฮ่าๆ … พอถึงที่นั่นแล้ว ฉันกับนายหาโอกาสมาดื่มกันสักหน่อย ฉันไม่ได้ดื่มเหล้ามาหลายปีแล้ว … ”
สำหรับเื่นี้ เจียงไป๋แค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
สักพักคนทั้งสามก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เตรียมไว้ั้แ่แรก และบินตรงไปที่สนามบิน
เครื่องบินส่วนตัวของจ้าวอู๋จี๋จอดรออยู่ที่นั่นนานแล้ว เป็เครื่องบินที่ปรับแต่งมาจากเครื่องบินโดยสารลำใหญ่ และแข็งแกร่งกว่าประเภทกัลฟ์สตรีมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เครื่องบินเจ็ดเจ็ดเจ็ดลำหนึ่งแค่ค่าปรับแต่งก็ไม่ธรรมดา ค่าบำรุงทุกปีก็ยิ่งน่าใ ก็มีแค่จ้าวอู๋จี๋ที่มีการเงินอย่างนี้จึงจะประคับประคองได้ หากเป็เจียงไป๋แล้วล่ะก็ …
ตอนนี้เกรงว่า … มีใจแต่ไร้ความสามารถ
พอขึ้นเครื่องบินมาก็มีแอร์โฮสเตสสาวสวยมาเสิร์ฟเครื่องดื่มทันที ตามนิสัยของจ้าวอู๋จี๋แล้ว ก็เสิร์ฟน้ำร้อนให้จ้าวอู๋จี๋หนึ่งแก้ว
แต่น่าเสียดาย ครั้งนี้จ้าวอู๋จี้กลับปัดมือปฏิเสธ “เอาเหล้า ฉันจำได้ว่าฉันเก็บไวน์แดงไว้ในห้องเก็บเหล้าของเครื่องบินหนึ่งขวด และก็ไม่มีโอกาสได้เอาออกมาดื่มเลย”
“นี่ … ค่ะ”
แอร์โฮสเตสสาวตะลึงงัน หลังจากนั้นก็รีบไป สักพักก็หยิบไวน์แดงที่เก็บรักษาไว้ออกมาแล้ว จากนั้นก็เปิดและเทให้ทั้งสามคน
แต่ละคนเริ่มลิ้มรส จริงๆ แล้วก็มีไม่มากเท่าไร แค่คนละแก้วเท่านั้น
จ้าวอู๋จี๋อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ยากที่จะมีแรงประคับประคองเขาได้ไม่ขาด ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ครั้งนี้เขาพูดมาก และพูดคุยกับเจียงไป๋อย่างมีความสุขมาก ทั้งยังมีหวางเป้าอีกคน โดยเฉพาะคุยกันเื่ปกติทั่วไป
แน่นอนว่าระหว่างนี้ก็ไม่ลืมที่จะแสดงความเคารพเลื่อมใสอาจารย์ที่ลึกลับท่านนั้นของเจียงไป๋ด้วย
แต่สำหรับเจียงไป๋แล้วกลับปฏิเสธอย่างให้ความเคารพ และโกหกว่าอาจารย์รักสันโดษ ไม่พบคนนอก และยกเลิกความคิดที่จะไปขอเข้าพบของจ้าวอู๋จี๋แล้ว
ไม่ทันไรเวลาสองชั่วโมงกว่าก็ผ่านไป เครื่องบินส่วนตัวของจ้าวอู๋จี๋จอดอยู่ที่สนามบินหลิงเฉวียนแล้ว
เพิ่งจะลงเครื่องมา ก็เห็นว่าไกลออกไปมีรถอยู่สองคัน ชายวัยกลางคนที่ดูสง่าอายุประมาณสี่สิบเจ็ดสี่สิบแปดปีคนหนึ่งพาคนหนุ่มที่มีท่าทางเหมือนคนขับรถสองคนรออยู่ตรงนั้น
ถึงแม้คนหนุ่มสองคนนี้จะแต่งตัวเหมือนคนขับรถ แต่แค่ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ร่างกายสูงใหญ่กำยำ สายตามีพลัง กล้ามเนื้อเป็มัดๆ ท่ายืนเป็มาตรฐาน แค่ดูก็รู้ว่าเป็ทหาร และฝีมือไม่ธรรมดา
แต่รถสองคันนี้กลับธรรมดา รถยุโรป A6 ธรรมดา ป้ายทะเบียนรถก็ธรรมดามาก มองความแปลกอะไรไม่ออก เมื่อเทียบกับรถของหวางเป้าแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน
“อู๋จี๋!”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนคนนั้นเห็นจ้าวอู๋จี๋กับพวกเจียงไป๋ลงเครื่องมาแล้ว ก็หัวเราะเสียงดัง เขายื่นมือออกมาและเดินเข้ามาจับมือทักทายกับจ้าวอู๋จี๋
แต่การเรียกของเขากลับทำให้เจียงไป๋ตะลึงงัน
เวลาที่รู้จักกับจ้าวอู๋จี๋มาก็ไม่สั้นนัก แต่่วันเวลาเหล่านี้ นอกจากอู่เทียนซีจะเรียกชื่อโดยตรงแล้ว ไม่ว่าใครคนใดที่เจียงไป๋พบ ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงแค่ไหน ไม่ว่าฐานะจะเป็อย่างไร พอพูดถึงจ้าวอู๋จี๋ต่างก็ต้องเรียกเ้าพ่อจ้าวอย่างให้ความเคารพ
แต่ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับเรียกแค่ชื่อ จะทำให้เจียงไป๋คาดคิดไม่ถึงไปได้อย่างไร?
“หัวหน้าซุน ทำไมถึงให้คุณมารับล่ะ รู้สึกเกรงใจจริงๆ”
จ้าวอู๋จี๋จับมือทักทายกับอีกฝ่าย และตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าสนิทกันมาก
เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักกับหัวหน้าซุนคนนี้ไม่ใช่แค่วันสองวัน และคุ้นเคยกันมาก
“นี่คือเจตนาของท่านผู้นำ ผมไม่กล้าไม่มาหรอก หากเป็คุณมา ผมก็จะไม่มายื่นรออยู่ที่นี่ตั้งชั่วโมงกว่า แต่คำสั่งของท่านผู้นำ คุณว่าผมจะกล้าไม่ฟังได้อย่างไรกัน?”
หัวหน้าซุนหัวเราะเสียงดัง และพูดอย่างนี้ หลังจากนั้นเล็งสายตามองมาที่เจียงไป๋แล้ว
“ท่านนี้คือ … ” หัวหน้าซุนมองเจียงไป๋อย่างแปลกใจ
ก่อนหน้านี้จ้าวอู๋จี๋ก็บอกแล้วว่าพาเพื่อนมาด้วย เขายังคิดว่าจะเป็ใคร คิดไม่ถึงว่าจะหนุ่มอย่างนี้ นี่ก็ทำให้เขาแปลกใจเป็อย่างมาก
สำหรับหวางเป้า จริงๆ แล้วเขาก็ไม่คิด หวางเป้าเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จัก เป็ธรรมดาที่คนที่จ้าวอู๋จี๋พามาจะไม่ใช่เขา
“สหายคนสนิทของผม เจียงไป๋” จ้าวอู๋จี๋ตบหลังเจียงไป๋เบาๆ แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
แค่คำว่าสหายคำเดียว ก็ทำให้หัวหน้าซุนตะลึงงัน หลังจากนั้นสายตาเป็ประกาย และจับมือทักทายกับเจียงไป๋อย่างกระตือรือร้น ทั้งยังดูสนิทอย่างเห็นได้ชัด
คนอย่างจ้าวอู๋จี๋ เขาก็ค่อนข้างเข้าใจว่า ถือตัวสูงส่ง อย่าเห็นว่ามีเมตตาอ่อนโยน แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาจะเรียกใครว่าสหาย แม้แต่คนอย่างหลี่ชิงตี้เขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา ตอนนี้กลับเรียกกันเป็สหายกับคนหนุ่มคนหนึ่ง จะไม่ให้หัวหน้าซุนไม่ใได้อย่างไร?
“เจียงไป๋ หัวหน้าซุนก็เป็คนใหญ่คนโต นายอย่าเห็นว่าเขายังหนุ่มอยู่ แต่ก็มีอำนาจมาก แค่คำเดียวก็เคยควบคุมนโยบายสำคัญๆ ไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว และพัวพันกับชีวิตของประชากร ตอนนี้ก็เป็เหมือนกับัซ่อนกายอยู่ที่หลิงเฉวียน และอาจจะบินขึ้นฟ้าได้ทุกเวลา ต่อไปนายก็ต้องทำความสนิทสนมไว้ให้มาก รับรองว่านายจะได้ประโยชน์นับไม่ถ้วน”
จ้าวอู๋จี๋หัวเราะ และพูดถึงฐานะของหัวหน้าซุนกับเจียงไป๋อย่างคลุมเครือ ทำให้เจียงไป๋ใ และรีบจับมือทักทายอีกครั้ง ภายในใจก็คาดเดาถึงฐานะของหัวหน้าซุนคนนี้
หรือว่าคนที่ก่อนหน้านี้ที่จ้าวอู๋จี๋พูดถึงก็คือหัวหน้าซุนคนนี้ แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือน
แต่จ้าวอู๋จี๋ก็ไม่ได้พูดจาลอยๆ หรอก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังแสดงออกอย่างคลุมเครือ คนตรงหน้านี้เคยควบคุมนโยบายที่สำคัญใหญ่ๆ
แค่จุดนี้ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกินแล้ว
ลองคิดดูว่า คนแบบไหนที่จะสามารถคาดคะเนได้ กุมอำนาจรัฐบาลใหญ่ได้? ก็แค่ อย่างไรหลิงเฉวียนก็เป็แค่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ถึงแม้จะถือว่าเป็เมืองหลัก แต่แค่ยี่สิบอันดับแรกของหัวเซี่ยก็ล้วนไม่ถึง นอกจากทัศนียภาพสวยงามและเศรษฐกิจยังถือว่าพอใช้ได้แล้ว เจียงไป๋ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าบุคคลอย่างนี้ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
นี่ก็ไม่สอดคล้องกับเหตุผลทั่วไปอยู่บ้าง
“อย่าฟังเขาพูดมั่วซั่วเลย ผมน่ะ ก็แค่วางแผนเสนอ และให้ข้อเสนอแนะบางประการ คนที่ตัดสินใจจริงๆ ยังคงเป็นายกเทศมนตรี ผมก็เป็แค่ลิ่วล้อเท่านั้น คนที่คุณจะพบต่างหากคือคนใหญ่คนโตที่แท้จริง แต่ในเมื่อเป็สหายของจ้าวอู๋จี๋ แบบนั้นก็เป็เพื่อนของผมซุนเจิ้งเหมือนกัน หากมีเื่อะไรก็โทรศัพท์มาหาผมได้ เื่ใหญ่ผมคงช่วยไม่ได้ แต่หากเป็เื่เล็กๆ น้อยๆ ผมยังพอจะจัดการได้”
หัวหน้าซุนหัวเราะเสียงดัง และพูดอย่างไม่สนใจ เมื่อพูดจบก็ให้นามบัตรเจียงไป๋หนึ่งใบ
เจียงไป๋รับมาแล้ว
เขารู้ว่าหัวหน้าซุนแค่เห็นแก่หน้าจ้าวอู๋จี๋ ในขณะเดียวกันจ้าวอู๋จี๋ก็กำลังแนะนำเส้นสายของเขาให้กับเจียงไป๋
หัวหน้าซุนดูแล้วต่อไปต้องติดต่อกันให้มากหน่อย …
ในขณะเดียวกัน ภายในใจเจียงไป๋ก็รู้สึกแปลกใจเป็อย่างยิ่ง คนที่จ้าวอู๋จี๋พามาพบ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หัวหน้าซุนคนนี้
แต่เป็คนใหญ่คนโตที่หัวหน้าซุนพูดถึง เป็คนใหญ่คนโตที่เคยมีบทบาทต่อนโยบายของประเทศ และก็ไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้