พวกเขามาถึงหน้ารถม้า เสี่ยวหานพยุงมู่จื่อหลิงขึ้นรถม้า
“นายน้อย บ่าวอยากไปกับท่านด้วย” เสี่ยวหานมองมู่จื่อหลิงในรถม้าด้วยความคาดหวัง
นางรู้ว่าทุกครั้งที่นายน้อยเข้าวังล้วนไม่เคยมีเื่ดี นางจึงอยากติดตามนายน้อยไปด้วย ถ้าเกิดเื่ นางยังสามารถปกป้องนายน้อย
“เสี่ยวหาน ข้าจะเข้าวังไปตามลำพัง เ้าไม่ต้องตามไปด้วย วางใจเถิดไม่มีอะไรหรอก” มู่จื่อหลิงปฏิเสธเสี่ยวหานอย่างไม่ลังเล
นางรู้ว่าเข้าวังครั้งนี้หากเกิดเื่ใดขึ้น ตนเองมีวิธีหลบเลี่ยงไปได้ ยามนี้เสี่ยวหานคือคนที่ใกล้ชิดนางที่สุด หากมีคนนำเสี่ยวหานมาข่มขู่ตน เช่นนั้นนางคงไม่รู้จะทำอย่างไร
ทุกเื่ต้องระมัดระวังให้มากหน่อย ไม่ว่าดีหรือร้ายนางก็ไม่อาจพาเสี่ยวหานไปด้วยได้
“นายน้อย” เสี่ยวหานเรียกอย่างกังวล นางอยากเข้าวังไปกับนายน้อยจริงๆ
“ไม่เป็อันใด แต่หากยื้อต่อไป ให้ไทเฮารอนานเข้าคงได้เกิดเื่ขึ้นจริงๆแล้ว รอข้ากลับมานะ” มู่จื่อหลิงส่งสายตาอันนิ่งสงบให้เสี่ยวหาน
“นายน้อย เช่นนั้นท่านต้องระมัดระวังหน่อย หากเกิดเื่ขึ้น ก็...ก็” เสี่ยวหานพูดไปคิดไป นางก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเช่นกัน
นายน้อยเข้าวังตามลำพัง หากเกิดเื่ขึ้น แม้แต่คนส่งข่าวสารก็ไม่มี นางไปบอกท่านอ๋องเสียหน่อยดีหรือไม่ แต่ยามนี้นางก็ไม่รู้ว่าท่านอ๋องอยู่แห่งหนใด
มู่จื่อหลิงถูกท่าทางของเสี่ยวหานทำให้ขบขันเข้าแล้ว
ขณะที่เตรียมจะพูดนั้น น้ำเสียงเกลียดชังกระแสหนึ่งก็ลอยมา
“หวางเฟย อย่าได้เสียเวลาอีกเลยจะดีกว่า ให้ไทเฮารอนานเข้า พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหวนะเพคะ” หลินมามากล่าวอย่างทระนงตัว
ดูเหมือนนางจะลืมกฎระเบียบเมื่อครู่ไปเสียแล้ว เห็นสองนายบ่าวตัดใจแยกจากกันเข้าวังอย่างยากเย็นนัก นางทนมองต่อไปไม่ไหว ความยโสโอหังจึงจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง
“สามหาว ฐานะเช่นเปิ่นหวางเฟยนี้สามารถนำไปเหมารวมกับเ้าได้หรือ” มู่จื่อหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
นางปีศาจเฒ่าตนนี้คิดจริงๆ หรือว่าตนเป็ลูกพลับนิ่ม เพิ่งจะสั่งสอนไปเมื่อครู่นี้ พริบตาเดียวก็เริ่มพล่ามขึ้นมาอีกแล้ว
แล้วยัง พวกเรา? ต่อให้ฐานะของนางตกต่ำ ก็ไม่อยู่ชั้นเดียวกับนางปีศาจเฒ่านี้แน่
“บ่าวมิกล้า” หลินมามาเห็นดังนั้นก็ปิดปากอย่างฮึดฮัด
แต่ความขุ่นเคืองสุมอยู่กลางอก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉีหวางเฟยผู้นี้เชี่ยวชาญการจับผิดนัก นางวางแผนไว้แล้วว่าเข้าวังไปจะกล่าวฟ้องเช่นใด
มู่จื่อหลิงชายตามองนางอย่างเ็าแล้วไม่สนใจอีก
“เอาเถิด เสี่ยวหานเ้าเข้าไปก่อน สารถีออกรถได้” มู่จื่อหลิงมองเสี่ยวหาน แล้วพูดกับสารถี
เสี่ยวหานมองรถม้าที่วิ่งไกลออกไปอย่างตัดใจไม่ลง กระทั่งรถม้าหายไปนางจึงวิ่งเข้าไปพบลุงฝูในจวนอ๋อง
-
ไทเฮาทราบว่าฮองเฮาถูกฮ่องเต้หลงเหวินอิ้นกักบริเวณอยู่ในตำหนักคุนหนิง จึงออกไปหาฮ่องเต้แต่เช้า
กล่าวว่าเป็เพราะอาการเจ็บป่วยของหลงเซี่ยวหลี ฮองเฮาจึงได้สร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ขอให้เขาเข้าใจความรู้สึกห่วงใยที่ฮองเฮามีต่อบุตรชาย ยกเลิกกักบริเวณไทเฮา
สิ่งที่ฮ่องเต้หลงเหวินอิ้นมิอาจทานทนได้ที่สุดคือเื่ราวประเภทความรักของมารดาและความกตัญญูของบุตร สุดท้ายจึงได้แต่ยกเลิกคำสั่งกักบริเวณฮองเฮาอย่างไร้ทางเลือก
ทันทีที่ออกมาฮองเฮาก็วิ่งไปอ้อนวอนไทเฮา ให้ไทเฮาเรียกมู่จื่อหลิงเข้าวังมาตรวจดูหลงเซี่ยวหลี ไทเฮาย่อมยินดียิ่งนัก
ถ้ามู่จื่อหลิงสามารถรักษาจนหายได้ก็ช่างเถิด แต่หากรักษาไม่ได้ ค่อยลงโทษนางกลางคัน เช่นนั้นย่อมลดเื่ราวไปได้ไม่น้อย
มู่จื่อหลิงเข้าวังหลวงมาแล้ว รถม้าวิ่งมาจอดหน้าประตูตำหนักโซ่วอัน
นางเข้าวังน้อยครั้งจนนับได้ ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่นางมาตำหนักของไทเฮา ด้านในนั้นทั้งอึมครึมและน่าเกรงขาม
ไทเฮาและฮองเฮานั่งอยู่บนที่นั่งอย่างมั่นคงท่าทางเคร่งขรึม ทั้งสองคนนั่งอยู่้านั้นเสมือนว่ากำลังมองสรรพสิ่ง ทำให้ผู้พบเห็นคิดจะคลานอยู่ใต้ฝ่าเท้าโดยมิรู้ตัว
มู่จื่อหลิงไร้ซึ่งความขลาดกลัวโดยสิ้นเชิง ยกเท้าก้าวเข้าไปอย่างเยือกเย็นสูงศักดิ์
“หม่อมฉันถวายพระพรไทเฮา เสด็จแม่” มู่จื่อหลิงถอนสายบัวให้ผู้ที่นั่งอยู่้าทั้งสองคน
นางแปลกใจนัก เมื่อวานหลงเซี่ยวเจ๋อเพิ่งจะพูดว่าฮองเฮาถูกกักบริเวณมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงมาอยู่กับไทเฮาได้
ทว่าท่าทางฮองเฮาในวันนี้เหมือนว่าจะมีกลิ่นอายอันสูงศักดิ์น้อยกว่าปกติ แม้จะแต่งหน้าจนเข้ม แต่ก็ยังมองเห็นสีหน้าหมองคล้ำของนางในยามนี้
นางคิดว่าที่นางถูกเรียกเข้าวังแต่เช้าเช่นนี้คงเกี่ยวข้องกับฮองเฮาเป็แน่
ก่อนหน้าเพิ่งมีข่าวว่านางถูกกักบริเวณสำนึกผิด ไม่นานก็มานั่งอย่างอิสรเสรีอยู่กับไทเฮาที่นี่ได้ ดูท่าแผนการของไทเฮาคงมิธรรมดา
“หลิงเอ๋อร์มาแล้ว ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงได้” ไทเฮาแย้มยิ้มเต็มใบหน้าและทักทายอย่างสนิทสนม
ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่านางชมชอบมู่จื่อหลิงอย่างยิ่ง เสมือนว่าความไม่พอใจต่อมู่จื่อหลิงก่อนหน้านี้ ได้สลายหายไปเหมือนหมอกควัน ไม่มีอยู่อีกแล้ว
“ขอบพระทัยไทเฮา” มู่จื่อหลิงเองก็ไม่เกรงใจ เยื้องย่างไปยังที่นั่งด้านข้างอย่างสุขุมเยือกเย็น
หากไม่รู้อยู่ก่อนว่าไทเฮาเป็คนเช่นใด มู่จื่อหลิงเกรงว่าคงถูกการทักทายแสนกระตือรือร้น น้ำเสียงที่สนิทสนมหลอกลวงไปแล้ว
ไทเฮาคิดจะเล่นอะไรอีก? จริงใจหน่อยได้หรือไม่ ท่าทางเช่นนี้ทำให้นางไม่เคยชินเล็กน้อย
“หลิงเอ๋อร์ อายเจียให้หลินมามาไปั้แ่เช้าแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งมายามนี้เล่า” ไทเฮากล่าวอย่างมิใคร่พอใจ
ไทเฮาผู้นี้ไม่จับผิดมู่จื่อหลิงสักวัน เป็ต้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแน่แท้
มู่จื่อหลิงกำลังจะอ้าปากพูด
หลินมามาที่อยู่ข้างกายไทเฮาก็บิดเอวก้าวออกมา คุกเข่าลงด้านหน้าไทเฮา เปิดปากอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ไทเฮา เป็ความผิดของบ่าวเอง เพื่อมิให้ไทเฮารอนาน บ่าวจึงรีบถ่ายทอดพระเสาวนีย์แก่หวางเฟย จึงลืมทำความเคารพ ทำให้หวางเฟยไม่พอใจ เสียเวลาไปเพคะ”
การกระทำและน้ำเสียงของหลินมามาพร้อมเพรียงกันนัก รวดเร็วเสียจนทำให้คนพูดไม่ออก ราวกับเกรงว่าวินาทีถัดไปจะถูกคนปล้นลิ้นไป
ในใจมู่จื่อหลิงยกนิ้วโป้งให้หลินมามาเงียบๆ มีผู้ที่กลัวตนเองจะถูกกล่าวฟ้องถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ช่างลำบากนางเสียจริง อายุอานามปูนนี้แล้ว ยังต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้
แต่ว่าคำพูดนี้ของหลินมามาช่างมีคุณธรรมนัก มีคุณธรรมเสียจริง นางยอมรับความผิดพลาดอย่างสัตย์ซื่อ ทั้งเป็ฝ่ายยอมรับความผิดก่อน ทั้งประคองไทเฮาไว้สูง และไม่ลืมลากตนลงน้ำ
ไทเฮาฟังเงื่อนงำออก นางย่อมพอใจนักที่หลินมามายกนางไว้เหนือหัว จึงมิได้ลงโทษหลินมามาในทันที ทว่าหันมามองมู่จื่อหลิง ราวกับรอนางกล่าวอธิบาย
“เป็เช่นนั้นจริงเพคะ” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างง่ายๆ นางมิอยากอธิบายให้มากความ หลีกเลี่ยงความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก ยิ่งพูดยิ่งแย่
บ่าวของไทเฮาไม่รู้จักมารยาท ผู้ที่เสียหน้าคือไทเฮา นางก็ไม่เชื่อว่าเพื่อบ่าวผู้หนึ่งแล้ว ไทเฮาจะสามารถเสียหน้าอีกครั้งมากล่าวโทษว่าตนทำให้เสียเวลา
ได้ยินคำพูดเรียบง่ายของมู่จื่อหลิง ไทเฮาก็ไม่พอใจขึ้นมา
แต่นางก็ยังพูดกับหลินมามาอย่างเข้มงวด “เ้าก็เป็มามาเฒ่าที่ปรนนิบัติมาหลายปีแล้ว เหตุใดมารยาทเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ยังลืมได้ ยังไม่ขอบพระทัยฉีหวางเฟยที่สั่งสอนอีก”
หลินมามาเห็นเช่นนั้นในใจก็พลันยินดี นางรู้ไทเฮาจะไม่ลงโทษนางแล้ว นางจึงรีบหันไปประจบประแจงมู่จื่อหลิง “ขอบพระทัยหวางเฟยที่สั่งสอน ขอบพระทัยหวางเฟยที่สั่งสอน”
ยามนี้หลินมามาไหนเลยจะมีความหยิ่งผยองอยู่อีก ทั้งยังจนตรอกยิ่งกว่าอะไรดี เมื่อมีคนถือหาง ย่อมต้องมีสิทธิพิเศษอย่างแน่นอน
มู่จื่อหลิงหัวเราะเยาะเงียบๆ ไทเฮาไม่คิดจะลงโทษหลินมามาที่ไม่รู้จักมารยาท จึงให้หลินมามาขอบคุณตน แล้วปล่อยผ่านไปเช่นนี้?
“ข้าจะกล้ารับได้อย่างไรกัน หลินมามาอย่างน้อยก็เข้าวังมากี่สิบปีแล้ว เื่เข้าใจขนบมารยาทย่อมมากกว่าเปิ่นหวางเฟย เป็เปิ่นหวางเฟยต้องขอคำชี้แนะจากหลินมามาถึงจะถูก” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็น
อาศัยบารมีนายข่มผู้อื่น? รังแกผู้อ่อนแอกว่า? จะทำให้เ้ารู้ว่าเปิ่นหวางเฟยมิใช่ผู้ที่ควรยั่วโทสะ
“บ่าวมิกล้า” หลินมามาพูดอย่างอกสั่นขวัญแขวน ได้ยินมู่จื่อหลิงพูดเหมือนว่าจะไม่เลิกรา ก็ใจนขาแข้งอ่อน
“เอาล่ะ เ้าออกไปก่อน” ไทเฮากล่าวเสียงเย็น
แม้จะเป็บ่าว แต่ก็เป็ถึงบ่าวข้างกายตนเอง มาเลียแข้งเลียขามู่จื่อหลิงเช่นนี้ นางย่อมทนดูต่อไปไม่ได้
“เพคะ เพคะ บ่าวทูลลา” หลินมามาได้ยินไทเฮาอนุญาตให้ตนออกไป ใจที่เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ พลันะโขึ้นมาอยู่สูงอีกครั้ง
ดูท่าทางไทเฮาคงยอมรับตนเองแล้ว ยังดีที่นางฉลาดพอชิงตัดคำพูดของฉีหวางเฟย
มู่จื่อหลิงเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอม มีนายเช่นใดบ่าวก็เป็เช่นนั้น
หากไทเฮาลงโทษหลินมามาจริง ก็เท่ากับยอมรับว่าหลินมามานั้นไม่รู้มารยาท เช่นนั้นไทเฮาจะยิ่งขายหน้ามากขึ้นไปอีก
ไทเฮาทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้เช่นนี้ นางก็จะไม่ยุ่งกับธุระกงการของผู้อื่นอีก หลีกเลี่ยงมิให้เกิดความวุ่นวายแก่ตนเอง
“หลิงเอ๋อร์ แต่งงานมาระยะหนึ่งแล้ว คุ้นเคยหรือยัง” พอหลินมามาจากไป ไทเฮาก็เปลี่ยนท่าทีมาไถ่ถามอย่างสนิทชิดเชื้อ ราวกับว่าเหตุการณ์คั่นเล็กๆ ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ห่วงใยเพคะ จวนฉีอ๋องเป็บ้านของหม่อมฉัน ไม่มีสิ่งใดไม่คุ้นเคย อยู่บ้านของตนย่อมต้องพึงพอใจ” มู่จื่อหลิงกล่าวราบเรียบพลางแย้มยิ้ม
ความหมายของคำพูดนางก็คือไทเฮานั้นถามเกินความจำเป็แล้ว นางแต่งเข้าจวนฉีอ๋อง เช่นนั้นจวนฉีอ๋องก็เป็บ้านของนาง นางอยู่บ้านตนเองย่อมใช้ชีวิตอย่างสงบสบายใจ หาได้มีความไม่คุ้นเคยไม่
ยามนี้นางกินอิ่มนอนหลับ ชีวิตดีเสียยิ่งกว่านางฟ้านาง์
ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ชั่วพริบตาก็คุมสีหน้าไว้ไม่อยู่ ก่อนจะสงบลงมาอีกครั้ง “หลิงเอ๋อร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อายเจียก็วางใจ หากอวี่เอ๋อร์รังแกหลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ก็มาฟ้องอายเจียได้เลย อายเจียจะจัดการแทนเ้าเอง”
หืม ไทเฮากล่าวเช่นนี้เกือบจะทำให้นางรับไม่ไหว ราวกับไทเฮารู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะรังแกนางอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังคิดจะเป็ผู้สนับสนุนอยู่เื้ันาง เป็ผู้ทวงความยุติธรรมให้นาง
ไทเฮาชราผู้นี้ไม่แทงนางข้างหลัง นางคงต้องอมิตาพุทธเสียแล้ว
“ไทเฮาทรงกังวลมากไปแล้วเพคะ ท่านอ๋องทรงดีกับหม่อมฉันมาก วันปกติท่านอ๋องงานยุ่งนัก สตรีในห้องหอผู้หนึ่งเช่นหม่อมฉันก็ไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลืออันใดได้ จะกล้าบ่นได้อย่างไร” มู่จื่อหลิงที่ไม่เคยปรารถนาจะรับน้ำใจจากไทเฮา กล่าวต่อ
“หลิงเอ๋อร์เข้าใจผู้อื่นดียิ่ง อายเจียยิ่งชอบเ้าเสียแล้วสิ” ยามนี้ในใจไทเฮานั้นอดกลั้นโทสะเอาไว้ แต่ไม่สามารถออกอาการได้ ทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างจืดเจื่อน
“หลิงเอ๋อร์ ระยะนี้เสด็จพี่ใหญ่เ้าร่างกายไม่สบาย หมอหลวงในวังล้วนไร้หนทางรักษา แม่รู้ว่าเ้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง อยากเชิญเ้ามาช่วยตรวจอาการเสด็จพี่ใหญ่ของเ้า”
ฮองเฮาด้านข้างดูเหมือนจะมิอาจทนรอให้ไทเฮาและมู่จื่อหลิงกล่าวโต้ตอบกันเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว จึงตัดเข้าสู่ใจความสำคัญทันที
“เกิดอันใดขึ้นกัน ก่อนหน้านี้องค์ชายใหญ่ก็เหมือนจะยังดีๆ อยู่เลยนี่ เหตุใดพูดว่าป่วยก็ป่วยเสียแล้วเล่าเพคะ” มู่จื่อหลิงแสร้งถามอย่างกังวล
แท้จริงแล้วในใจนางลอบยิ้มไว้นานแล้ว ไทเฮากล่าวไร้สาระมากมายเช่นนี้ ล้วนมิได้กล่าวถึงเหตุผลที่ให้นางเข้าวังมา ยังเป็ฮองเฮาที่ว่องไว แค่เอ่ยปากก็พูดออกมาแล้ว
นางรู้ว่าไทเฮาให้นางเข้าวังในวันนี้แปดถึงเก้าส่วนจากสิบส่วนต้องเป็เื่หลงเซี่ยวหลีแน่ ต่อให้พวกไทเฮาไม่เชิญ นางก็ต้องคิดหาวิธีเข้ามาถอนพิษให้หลงเซี่ยวหลี
หากหลงเซี่ยวหลียังเป็เช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไร้ความผิดกี่มากน้อยต้องสูญสิ้นจากน้ำมือเขา
“นี่...” ฮองเฮานั้นยากที่จะเอ่ยปากอยู่บ้าง
แม้นางจะไม่ชินกับท่าทางเสแสร้งเช่นนี้ของมู่จื่อหลิง ทว่ายามนี้ต้องขอร้องนาง นางจำต้องเป็มิตรต่อมู่จื่อหลิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้