มู่จื่อหลิงเหลือบมองขวดยาในมือของมู่อี๋เสวี่ยอย่างเ็า นางเริ่มต้นใช้งานระบบซิงเฉินเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เรียกว่า ‘โอสถขจัดรอยแผลเป็’ ขวดนี้
แม้ว่าจะใช้ขจัดรอยแผลเป็ได้จริง แต่ข้างในนั้นผสมกับผงฮว่าโร่วที่มีฤทธิ์กัดกร่อนิัอย่างรุนแรง สามารถเทียบเคียงได้กับกรดกำมะถัน
แต่ดูท่าจะดีกว่ากรดกำมะถันขั้นหนึ่ง ซึ่งการระเหยค่อนข้างช้า จึงใช้เวลาสองสามชั่วโมงถึงเริ่มกัดกร่อน หลังจากยาออกฤทธิ์แล้วิัจะพุพองและขยายวงกว้างขึ้นอย่างช้าๆ
มู่อี๋เสวี่ยคิดว่า ฤทธิ์ผงฮว่าโร่วจะค่อยๆ ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นมู่จื่อหลิงถึงจะเสียโฉม เช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจสงสัยในตัวนางได้
อีกอย่างมู่จื่อหลิงเป็คนขี้ขลาดเป็ทุนเดิม ยามปกติก็มิกล้าเอ่ยสิ่งใดอยู่แล้ว ต่อให้รู้ว่าตนเป็ผู้นำยามามอบให้นาง และทำให้นางเสียโฉม ทว่านางคงมิกล้าเปิดโปงตนเองแน่
ั์ตาของมู่จื่อหลิงมีแววเ้าเล่ห์อันเจิดจ้าวาบผ่านในชั่วพริบตา มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้น กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ขอบคุณน้องพี่ ข้าทาเอง”
นางพูดพลางยื่นมือออกไปรับขวดยา ทว่าทันใดนั้นทั้งสองเท้ากลับยืนไม่มั่นคง ร่างกายเสียหลักเซไปมา ก่อนจะถลาเข้าไปหามู่อี๋เสวี่ยด้วยความรุนแรง
โครม! ทั้งสองคนเสียหลักล้มลงบนพื้น มู่จื่อหลิงนอนทับอยู่บนตัวมู่อี๋เสวี่ย ใช้มู่อี๋เสวี่ยเป็เบาะรองรับ
การเสียหลักครั้งนี้นับว่าไม่เบาเลย มู่จื่อหลิงถึงกับได้ยินเสียงกระดูกของมู่อี๋เสวี่ยกระทบกับพื้น
หญิงสาวผู้นี้อายุยังน้อย แต่ใจกลับโเี้เช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าอยากทำให้นางเสียโฉม ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตานางเลยแม้แต่น้อย หากไม่เผยสีสันให้น้องสาวผู้นี้เห็น นางคงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดดอกไม้จึงแดง [1] เช่นนี้!
“กรี๊ด!” มู่อี๋เสวี่ยร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ดังเสียจนหูเกือบหนวก
แต่มิใช่เพราะความเ็ป แต่เป็เพราะยาขจัดรอยแผลเป็ในมือล้วนหกรดใส่ใบหน้านางทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว นางจะมาสนใจความเ็ปที่ไหนกัน หากใบหน้าเสียโฉม นางก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
มู่จื่อหลิงอุดหูเอาไว้ั้แ่แรกแล้ว ั์ตาทอประกายเจิดจ้า มุมปากขึ้นแย้มยิ้มอย่างเยาะเย้ย นางลุกขึ้นอย่างไม่เป็เดือดเป็ร้อน
“ไอ๊หยา! ขอโทษนะ ขอโทษที จู่ๆ ข้าก็เวียนหัว แข้งขาอ่อนแรง ข้า...ข้ายืนไม่อยู่ เ้าาเ็หรือไม่?”
น้ำเสียงของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยแววขอโทษ ทว่าในดวงตากลับมีรอยยิ้ม
เวลานี้มู่อี๋เสวี่ยมิได้ฟังคำพูดของมู่จื่อหลิงเลยสักนิด ยาขจัดรอยแผลเป็ในมือหกรดตัวนางจนหมดขวด ทำให้นางสูญเสียการควบคุมไปแล้ว หญิงสาวระงับเสียงร้องโหยหวนเอาไว้ไม่อยู่ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น “กรี๊ด!...ใครก็ได้มานี่เร็วเข้า ไปเตรียมน้ำ ข้าจะล้างหน้า!”
สาวใช้ยังมิทันเข้ามา มู่อี๋เสวี่ยก็วิ่งออกไปกรีดร้องราวกับสุนัขบ้า
มู่จื่อหลิงยิ้มเยาะเย้ย ถึงยาขจัดรอยแผลเป็จะล้างออกได้ ทว่าหมี่โต้วเซียง [2] ที่ตนเทใส่บนตัวนางเมื่อครู่นั้น ต่อให้จะลอกผิวออกมาก็ไม่สามารถล้างออกได้ ทั้งยังอบอวลไปทั่วตัวของนางด้วย
มู่อี๋เสวี่ยทำร้ายผู้ใดไม่ทำ ดันมาทำร้ายนาง ดีมาดีกลับ นี่ถือว่าเป็ของขวัญแรกพบหน้าที่นางมอบให้มู่อี๋เสวี่ยหลังจากมาที่นี่แล้วกัน
เมื่อนางผู้น่ารังเกียจดั่งเทพีแห่งโรคระบาดจากไปแล้ว รอบข้างจึงสงบลงได้เสียที
เสี่ยวหานวิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน ใบหน้าฉายแวววิตกกังวลขณะถามมู่จื่อหลิงว่า “คุณหนู ท่านมิได้เป็กระไรใช่หรือไม่ บ่าวเห็นคุณหนูรองวิ่งออกไปราวกับคนเสียสติ นางรังแกท่านหรือไม่เ้าคะ”
“ข้าไม่เป็ไร คนที่เป็คือนางต่างหาก” มู่จื่อหลิงแย้มยิ้มเรียบเฉียบ มองบ่าวรับใช้ตรงหน้า เด็กสาวผู้นี้น่าเอ็นดูยิ่ง อายุสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าน่ารักปากนิดจมูกหน่อย
เสี่ยวหานไม่เข้าใจว่า คุณหนูรองมีเื่ใด ทว่าวันนี้เ้านายของนางดูแปลกไปเล็กน้อย แต่แปลกตรงที่ใดนั้นนางมิอาจอธิบายได้
วันนี้จู่ๆ คุณหนูก็เอ่ยวาจามากมายเช่นนี้ หากรวมวาจาทั้งหมดที่คุณหนูกล่าวมาตลอดใน่หลายปีที่ผ่านนี้ คงมีไม่มากเท่ากับวันนี้
มู่จื่อหลิงไม่สนใจความแปลกใจในดวงตาของเสี่ยวหาน กล่าวต่อไปว่า “เสี่ยวหาน ข้าาเ็ตรงศีรษะ ทำให้ลืมเื่ก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น เ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย”
“คุณหนูความจำเสื่อมหรือเ้าคะ ต้องโทษที่บ่าวดูแลคุณหนูได้ไม่ดี ทำให้คุณหนูได้รับาเ็” เสี่ยวหานคุกเข่าลงกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้าทันที หากวันนั้นห้ามมิให้คุณหนูรองพาคุณหนูของตนออกไป คงมิเกิดเื่เช่นวันนี้ขึ้น
“ข้าไม่เป็ไร เอาล่ะ เ้ารีบลุกขึ้นมาเถิด ต่อไปไม่อนุญาตให้คุกเข่าต่อหน้าข้าอีก ผู้อื่นเวลาคุกเข่าล้วนเป็การคุกเข่าต่อคนตาย ดูเ้าสิทั้งร้องไห้ทั้งคุกเข่า หรือว่าเ้ากำลังแช่งให้ข้าตายเร็วๆ กัน” ใบหน้ามู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความจนปัญญา เหตุใดแม่นางน้อยผู้นี้เอะอะก็เอาแต่คุกเข่า ช่างทำให้ผู้อื่นไม่คุ้นชินเสียจริง
“ไม่ๆ บ่าวอยากให้คุณหนูอายุยืนเป็ร้อยปีเ้าค่ะ” เสี่ยวหานได้ฟังประโยคนี้ก็รีบลุกขึ้น เช็ดน้ำตาออก
คุณหนูที่อยู่ตรงหน้าราวกับเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ก่อนหน้านางพูดกับตนไม่เกินสามคำด้วยซ้ำ เวลานี้คุณหนูกลับเปลี่ยนไปชอบพูดคุย แล้วยังหยอกล้อได้อีกต่างหาก ทว่าเป็แบบนี้ก็ดีเช่นกัน ต่อไปนางคงไม่ต้องพูดกับตัวเองแล้ว
“เช่นนั้นก็เล่าเื่ราวก่อนหน้านี้ให้ข้าฟัง แล้วเื่ที่ข้าต้องแต่งออกไปในวันพรุ่งด้วยว่าเื่เป็มาอย่างไร”
เสี่ยวหานผงกศีรษะเริ่มเล่าอย่างแข็งขัน “คุณหนู ท่านเป็คุณหนูใหญ่ของจวนมู่......”
จากการอธิบายของเสี่ยวหาน ที่แห่งนี้คือแผ่นดินใหญ่ิเยว่ เป็แผ่นดินใหญ่ที่ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ซึ่งแผ่นดินใหญ่ิเยว่แบ่งออกเป็สี่แคว้น คือ แคว้นเจียหลัว แคว้นเป่ยหนิง แคว้นชิงหลาน และแคว้นหนานเฟิง แคว้นที่นางอยู่ ณ ตอนนี้ คือแคว้นเจียหลัว
นางคือบุตรสาวคนโตของจงอี้โหวมู่เจิ้นกั๋ว มู่เจิ้นกั๋วนั้นนับเป็วีรบุรุษในสนามรบแห่งยุค ความสามารถในการรบโดดเด่น ทั้งชีวิตนี้แต่งหญิงสาวเพียงสองคน คนแรกคือฟูเหรินที่แท้จริง หลี่เอิน คนที่สองคืออี๋เหนียงไป๋ซู่ซู่ แต่เขารักปักใจแค่หลี่เอินเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เนื่องจากไป๋ซู่ซู่เคยช่วยชีวิตมู่เจิ้นกั๋วและหลี่เอินเอาไว้ สองสามีภรรยาจึงได้ให้คำสัญญากับไป๋ซู่ซู่ว่าจะตอบแทนบุญคุณ
เวลานั้นไป๋ซู่ซู่เลี้ยงดูไป๋อี๋เสวี่ยในวัยหนึ่งขวบซึ่งปัจจุบันคือมู่อี๋เสวี่ย ทั้งสองไร้ที่พึ่งพิง หลี่เอินจิตใจดีงาม จึงตัดสินใจรับนางสองแม่ลูกเอาไว้
หลี่เอินรู้ดีว่ามารดาที่คลอดบุตรทั้งที่ยังมิได้แต่งงานมักตกเป็ขี้ปากชาวบ้าน ถูกผู้อื่นเยาะเย้ย จึงให้มู่เจิ้นกั๋วสู่ขอไป๋ซู่ซู่เป็อี๋เหนียง [3] รับไป๋อี๋เสวี่ยเป็บุตรสาว เปลี่ยนแซ่เป็แซ่มู่
เมื่อมู่จื่อหลิงอายุได้สามขวบ จู่ๆ หลี่เอินก็ป่วยหนัก ล้มหมอนนอนเสื่อจนมิอาจลุกขึ้นได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าว เดินเหิน ล้วนต้องมีคนคอยดูแล
หลังจากที่มู่เจิ้นกั๋วกลับมาจากสนามรบจึงลาออกจากราชการ คอยเฝ้าหลี่เอินทั้งวันทั้งคืน อยู่เป็เพื่อนนางรักษาอาการป่วยที่สวนจิ้งซิน นานๆ ครั้งจึงกลับมาจวนที
------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไม่เผยสีสันให้เห็น คงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดดอกไม้จึงแดง หมายถึง หากไม่สั่งสอนเสียบ้างก็จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรังแกไม่ได้ง่ายๆ
[2] หมี่โต้วเซียง คือธูปขับฝี มีลักษณะเป็ผงยา เมื่อโดนแล้วจะมีอาการบวมแดง
[3] อี๋เหนียง ภรรยารอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้