เพียะ! “บอกเ้ากี่รอบแล้วว่าอย่าได้ไปหาเื่จื่อหลิง เ้าก็ยังไป” ไป๋ซู่ซู่ส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห นางสะบัดฝ่ามือไปที่หน้าของมู่อี๋เสวี่ยอย่างผิดหวัง
“เหตุใดท่านแม่ต้องปกป้องนางด้วย วันรุ่งขึ้นนางกระสอบฟางนั่นก็จะแต่งให้ฉีอ๋องอยู่แล้ว ข้าไม่ยอม ขอแค่มู่จื่อหลิงเสียโฉม ข้าก็จะได้แต่งงานกับฉีอ๋องแทน” มู่อี๋เสวี่ยกุมใบหน้าที่ถูกตบอย่างเคียดแค้น กล่าวด้วยเสียงอันดัง
ั้แ่บังเอิญได้มีโอกาสเหลือบไปเห็นฉีอ๋องที่เหมือนกับเทพเซียนผู้นั้นเพียง่แวบเดียว ทุกขณะจิตล้วนมิอาจลืมเขาได้ลง และสาบานว่าชาตินี้หากเ้าบ่าวมิใช่เขา นางจะไม่แต่งงานเด็ดขาด
ไป๋ซู่ซู่กุมหน้าผากอย่างจนปัญญา กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเ็า “ต่อไปเ้าควรอยู่ตามกฏตามระเบียบบ้างเถอะ อย่าได้หวังลมๆ แล้งๆ ถึงเื่เพ้อเจ้อเ่าั้อีก ได้ยินหรือไม่”
“เพราะเหตุใดกันเล่า ท่านแม่ ข้าเป็ลูกของท่านนะเ้าคะ เหตุใดจึงไม่ช่วยข้า หลายปีมานี้เหล่าไท่จวินมีของดีอะไรก็ล้วนมอบให้แต่มู่จื่อหลิง กลับมาจากวัดชิงอันก็ล้วนกลับเพราะนาง แต่ไหนแต่ไรเหล่าไท่จวินไม่เคยแม้แต่เหลือบมองข้าด้วยซ้ำ เวลานี้ยังจะให้นางแต่งกับฉีอ๋องอีก”
หัวใจของมู่อี๋เสวี่ยเย็นเยียบ เหตุใดทุกครั้งที่นางไปหาเื่มู่จื่อหลิง ท่านแม่ต้องช่วยมู่จื่อหลิงอยู่เสมอ
ไป๋ซู่ซู่เอ่ยอย่างโมโหว่า “ไม่มีเหตุอันใด หากยังเกิดเื่ครั้งต่อไป ข้าจะส่งเ้าออกไปซะ” กล่าวจบนางก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย
“กรี๊ด!!!” ทันทีที่ไป๋ซู่ซู่ก้าวเท้าออกไป มู่อี๋เสวี่ยก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ขว้างปาสิ่งของในห้องจนเละเทะ
มู่อี๋เสวี่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมุ่งร้าย “มู่จื่อหลิง ทั้งหมดเป็เพราะเ้า เ้ามีสิทธิ์ใดถึงแต่งให้ฉีอ๋องได้ ทั้งๆ ที่เป็แค่สวะชิ้นหนึ่ง กลับได้ของดีเช่นนั้น ทุกคนล้วนปกป้องเ้า ข้า มู่อี๋เสวี่ยไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่”
-
แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องลงมายังพื้นโลก ทุกหนแห่งล้วนมีเสียงร้องระงมของกบและแมลง กลิ่นหอมยามค่ำคืนพัดโชยไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ถักทอเป็ตาข่ายอันเบาบาง ห่อหุ้มทิวทัศน์ทั้งหมดไว้ด้านใน
จวนฉีอ๋อง ศาลากลางน้ำอันเงียบสงบ
“พี่สาม วันนี้ไทเฮาให้ข้าไปส่งของหมั้นที่จวนจงอี้โหวแล้ว แต่เหตุใดครั้งนี้ท่านถึงยอมประนีประนอมแต่งคุณหนูใหญ่จวนจงอี้โหวง่ายดายนักเล่า ได้ยินมาว่าแม้รูปโฉมนางจะพอดูได้ แต่กลับเป็กระสอบฟางที่ไร้ซึ่งความสามารถและคุณธรรม ไทเฮา้าให้ท่านสู่ขอหญิงโง่งม เพื่อให้คนทั้งแว่นแคว้นหัวเราะเยาะ”
ใบหน้าหลงเซี่ยวเจ๋อเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ มองไปทางชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่บนตั่งพลางกล่าวขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้มือข้างหนึ่งหนุนไว้ท้ายทอย สองขายกขึ้นไขว้กันอย่างสง่างาม งีบหลับอย่างสบายอกสบายใจระคนเอ้อระเหย
นี่เป็ใบหน้าที่เทพและมนุษย์ล้วนเกลียดชัง สองขาเรียวยาว รูปร่างสูงโปร่ง คางที่งดงามยิ่งขับให้เห็นถึงใบหน้าหล่อเหลาอันสูงส่งและเ็า ราวกับแสงสว่างที่ทอประกายยามมืดมิด
ดวงตาสีดำขลับที่ทอประกายค่อยๆ เปิดขึ้น สายตาคบปลาบดั่งกระบี่ ราวกับบ่อน้ำแข็งที่เยือกเย็นจนแช่แข็งผู้อื่นให้หมดลมหายใจได้ เขาเหมือนเทพยามราตรีที่มืดมนทำให้ผู้คนหวาดกลัว
“ในเมื่อยายแก่ในวังหลวงนั่นอยากเล่นสนุก ครั้งนี้เปิ่นหวาง [1] ก็จะเล่นสนุกเป็เพื่อนนางให้” หลงเซี่ยวอวี่ขยับริมฝีปากเล็กน้อย เสียงเย็นราวน้ำแข็ง ทั้งทุ้มต่ำและน่าดึงดูด
พูดจบ ทั้งร่างก็หายวับไปในพริบตาท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี
หลงเซี่ยวเจ๋อะโตามหลังอย่างร้อนรนว่า “พี่สาม! ท่านจะไปไหน วันรุ่งขึ้นงานแต่งใหญ่ ไม่ไปรับเ้าสาวใหม่แล้วหรือ?”
“เ้าไปรับแล้วกัน!” น้ำเสียงเ็าของหลงเซี่ยวอวี่ดังมาจากไกลๆ
ยามปกติที่พี่สามต้องเผชิญกับเื่ที่ไทเฮาก่อให้ เขาก็สามารถหาเหตุผลเอาตัวรอดไปได้อย่างงดงามทุกครั้ง
ทั้งยังทำให้ไทเฮาไม่อาจจับข้อบกพร่องอันใดได้ ทำได้เพียงเป็คนใบ้กินหวงเหลียน [2] เวลานี้เขากลับมีใจอยากเล่นสนุกกับไทเฮาเสียแล้ว
ใบหน้าที่หล่อเหลาและรักอิสระของหลงเซี่ยวเจ๋อในเวลานี้เองที่ปรากฏรอยยิ้มอันชั่วร้าย ดูท่าวันคืนในภายภาคหน้าคงน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง วันรุ่งขึ้นเขาจะไปเล่นสนุกกับว่าที่พี่สะใภ้ก่อนแล้วกัน
มู่จื่อหลิงรับประทานอาหารเย็นั้แ่หัววัน แล้วแอบออกไปหาเตียงหยกเหมันต์ในจวนสกุลมู่ แต่ว่าแค่เงาก็ไม่มีเลยแม้แต่นิด นางจึงรู้สึกท้อแท้อยู่เล็กน้อย
ขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังจะกลับไปเข้านอนที่เรือน จู่ๆ ก็จามออกมาด้วยความรุนแรง ต้องเป็นางสารเลวผู้นั้นกำลังคิดร้ายต่อนางอีกแล้วเป็แน่
-
วันถัดมา
มู่จื่อหลิงถูกเสี่ยวหานเรียกให้ตื่นอย่างเร่งรีบ “คุณหนู คุณหนูรีบตื่นเถิด หากยังไม่ตื่นจะมิทันแล้วนะเ้าคะ”
มู่จื่อหลิงตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ขยี้ดวงตาที่พร่ามัวทั้งสองข้าง ถามอย่างมึนงงว่า “กี่ยามแล้ว”
“ตอนนี้เป็ยามหยิน [3] แล้วเ้าค่ะ” เสี่ยวหานเอ่ยเตือน วันนี้คุณหนูต้องเข้าพิธีแต่งงาน มิอาจเสียเวลาแล้ว
“เช้าขนาดนี้เลย เ้าดูสิฟ้ายังมืดอยู่เลยนะ ให้ข้านอนต่ออีกนิดเถอะ” มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้าด้านนอก พูดจบ ก็ล้มตัวลงไปอย่างเกียจคร้าน
เมื่อคืนเพื่อหาเตียงหยกเหมันต์กว่าจะเข้านอนก็ดึกแล้ว เวลานี้เพิ่งจะเช้าตรู่ตีสี่เอง ต้องตื่นเช้าขนาดนี้ทำไมกัน
“ไม่ได้เ้าค่ะ วันนี้คุณหนูต้องแต่งงานแล้ว หากยังไม่ลุกมาแต่งตัวจะไม่ทันเวลานะเ้าคะ” เสี่ยวหานพูดไปพลางดึงมู่จื่อหลิงขึ้นมาจากเตียงไป
เวลานี้เองสติของมู่จื่อหลิงจึงค่อยแจ่มชัดขึ้นมา ใช่สิ วันนี้นางต้องแต่งงาน แต่ว่านี่ก็เช้าเกินไปหรือไม่ ไม่จำเป็ต้องตรงเวลาขนาดนี้ได้หรือไม่
ยามนี้นอกประตูก็มีมามา [4] และสาวใช้กลุ่มหนึ่งรีบเข้าช่วยนางแต่งองค์ทรงเครื่อง
มู่จื่อหลิงจึงได้แต่ลุกขึ้นจากเตียง นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้มามาและสาวใช้หมุนวนไปมารอบตัวนาง
ใช้เวลาไปถึงสองชั่วยามเต็มจึงแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จสิ้น
ชุดแต่งงานสีแดงสดขับให้เห็นใบหน้าที่งดงามออกมา แววตาที่ปราดเปรียวใสกระจ่างนั้นทอประกายอย่างเป็ธรรมชาติ เมื่อเคลื่อนไหวมือและเท้าก็เผยเสน่ห์เย้ายวนผู้คน
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก เพิ่มเสน่ห์ให้ดวงหน้าขาวนวลนั้นไม่น้อย
เวลานี้เมื่อมองเห็นรอยยิ้มสงบเยือกเย็นของมู่จื่อหลิงในกระจกทองแดง จะเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มคู่หนึ่ง
ความสงบเยือกเย็นที่มิอาจมีสิ่งใดมาสั่นคลอนได้ ใบหน้าที่ต่อให้ลมพัดผ่านก็มิอาจทิ้งร่องรอยไว้เช่นนั้น ช่างเป็อุปนิสัยของพระชายาอ๋องโดยแท้
มามาและสาวใช้ด้านข้างล้วนตกตะลึงไม่หาย ในใจสั่นไหว งดงามเหลือเกิน งามราวกับเทพธิดาลงมาจุติ คาดไม่ถึงว่าเมื่อคุณหนูใหญ่แต่งตัวขึ้นมาจะงดงามเสียจนทำให้ผู้อื่นใจเต้นขนาดนี้
“หลิงเอ๋อร์ของพวกเราจะแต่งงานแล้ว ย่าอาลัยอาวรณ์เ้านัก” เหล่าไท่จวินพยุงสาวใช้เดินเข้ามา แววตาเปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และกังวล
มิอาจรู้ได้เลยว่าแต่งเข้าจวนฉีอ๋องครานี้จะเป็ความโชคดีหรือโชคร้าย ไทเฮาและฉีอ๋องไม่ลงรอยกันมาั้แ่ไหนแต่ไร
ครานี้หลิงเอ๋อร์อาจตกลงสู่น้ำโคลนบ่อนี้ ส่วนตนเองนั้นก็เป็ผู้ที่เท้าก้าวเข้าไปในโลงแล้วหนึ่งข้าง ไร้ซึ่งความสามารถใด ภายหลังหลิงเอ๋อร์คงได้แต่พึ่งตนเองแล้ว
มู่จื่อหลิงมองเห็นความกังวลระคนอาวรณ์ของเหล่าไท่จวิน ในใจก็ปวดแปลบ นางนึกถึงชาติก่อนที่อยู่บ้านเด็กกำพร้ามาั้แ่เล็กจนโต นอกจากศาสตราจารย์ของสถาบันการแพทย์เ่าั้ ยังมิเคยได้รับการเอาใจใส่เช่นนี้จากผู้ใดมาก่อน
มู่จื่อหลิงไม่อยากให้เหล่าไท่จวินกังวลมากจนเกินไป จึงยิ้มอย่างซุกซนกล่าวว่า “ท่านย่า อย่าได้กังวลใจ ตามคำพูดที่กล่าวว่าแต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับสุนัขย่อมตามสุนัข หากฟ้าถล่มลงมาแล้วไม่มีผู้ใดค้ำให้ข้า ข้าก็จะค้ำเสียเอง”
“เด็กโง่ ฉีอ๋องมิใช่ไก่หรือสุนัขอะไรนั่น อยู่ที่จวนอ๋องอย่าได้เอ่ยวาจาเลอะเทอะ” เหล่าไท่จวินกล่าวอย่างฉุนๆ
เหตุใดเมื่อหลิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาจึงได้เปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้ ทำให้นางชมชอบมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นหวาง คำสรรพนามที่ใช้แทนตนเองขององค์ชายที่ถูกแต่งตั้งเป็อ๋อง
[2] คนใบ้กินหวงเหลียน หมายถึงทุกข์ทรมานใจแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้
[3] ยามหยิน ่เวลาั้แ่ 03.00 – 04.59 น.
[4] มามา เป็คำเรียกของสาวใช้ที่อายุมากแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้