หลังพันแผลเสร็จก็กินยา เมื่อยาออกฤทธิ์ก็รู้สึกง่วงงุน
ฮั่วเยี่ยนไหวช้อนตัวจิ้งจอกน้อยไว้บนฝ่ามือ ส่วนอีกมือลูบขนปุกปุยอย่างเบามือ น้ำเสียงอันเยือกเย็นฟังดูมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด “เด็กดี นอนเสียเถิด”
จิ้งจอกน้อยกลอกตาสีดำแวววาวคราหนึ่ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีเตียง เหตุใดถึงต้องให้นางนอนบนฝ่ามือ? ไม่กลัวจะเมื่อยมือหรือ?
ฮั่วเยี่ยนไหวค้นพบยามที่ใส่ยาให้จิ้งจอกน้อยเมื่อครู่ว่าาแนั้นลึกอย่างยิ่ง ทว่านับั้แ่เขาใส่ยาให้เสร็จ นึกไม่ถึงว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ช่างเข้มแข็งไม่เหมือนสัตว์ขนาดเล็กตัวอื่นๆ เลย อุปนิสัยนี้ช่างเหมือนกับเขายิ่งนัก...
เพราะฉะนั้นมันจึงได้รับการยอมรับจากเขา
และนั่นก็ทำให้เขา้าโอบอุ้มมันไว้บนฝ่ามือโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“หากเ้าไข้ขึ้นอีกครา เปิ่นหวังย่อมค้นพบได้ทันท่วงที”
นี่เป็เหตุผลที่ดียิ่ง และทำให้จิ้งจอกน้อยตรงหน้าหาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้
ไป๋เซี่ยเหอจำต้องนอนอยู่บนฝ่ามือของบุรุษ ไม่ทราบว่าเป็เพราะฝ่ามือนั้นเย็นสบาย หรือว่ายาออกฤทธิ์กันแน่ ความไม่สบายกายจึงราวกับสลายไป ไม่นานเสียงลมหายใจก็ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
“ท่านอ๋อง”
อิ๋งเฟิงย่องเข้ามา เมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยบนฝ่ามือของท่านอ๋อง มุมปากของเขาก็สั่นระริก ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะชมชอบเดรัจฉานน้อยตัวนี้อยู่ไม่น้อย
“สืบอะไรได้หรือยัง?” ฮั่วเยี่ยนไหวไม่ได้ช้อนสายตาขึ้นมอง มือยังคงลูบขนของจิ้งจอกน้อยไม่หยุด
อิ๋งเฟิงกลับมาเดินตามปกติ ก่อนจะหยุดยืนตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะ “พ่ะย่ะค่ะ ในตำหนักฮองเฮาไม่มีร่องรอยของการต้มยา แม้แต่ยาที่หมอหลวงต้มไว้ก็ไปพบในแจกันดอกไม้พ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าหมายความว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นั้นไม่ได้ใช้ยาใดเพื่อแก้พิษให้ฝ่าาอย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของฮั่วเยี่ยนไหวหม่นแสงลง ราวกับกริชอันแหลมคมอย่างไรอย่างนั้น ความเย็นเยียบแผ่กำจายไปทั่ว
“เพียงแต่มีเื่แปลกอยู่นิดหน่อยก็คือ พบคราบเืที่ร่องพื้นบริเวณปลายเตียงของฮองเฮา เป็เืสัตว์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวใจสั่นอย่างอธิบายไม่ได้ สายตาตกลงบนก้อนขาวที่อยู่บนฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว อุ้งเท้าหน้าที่าเ็นั้นยังคงพันไว้ด้วยผ้าฝ้ายเนื้อดี
“ฮองเฮาไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน”
ริมฝีปากบางของฮั่วเยี่ยนไหวเปิดและปิดอย่างฉับพลัน น้ำเสียงเย็นสดชื่นราวกับสายน้ำนั้นไม่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก แม้ว่าตอนนั้นเขาจะอยู่บนหลังคา ทว่าตำแหน่งของเขากลับมองเห็นเพียงแผ่นหลังของไป๋เซี่ยเหอเท่านั้น จึงมองไม่เห็นว่านางใช้วิธีใดแก้พิษ
ท้ายที่สุดแล้วเ้าแก้พิษอย่างไรกันแน่ คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋!
“ท่านอ๋อง ควรทำอย่างไรต่อไปดีพ่ะย่ะค่ะ?” พูดตามตรง อิ๋งเฟิงรู้สึกสงสัยในตัวตนของคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋อย่างยิ่ง ทว่าที่มากไปกว่านั้นคือความหวัง หากคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋เก่งกาจจริงๆ บางทีนางอาจช่วยเหลือคนอื่นได้
“จับตาดูต่อไป”
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางคาดคิดว่า หญิงสาวผู้นั้นจะนอนหลับอยู่บนฝ่ามือของเขาในเวลานี้ ทั้งยังส่งเสียงกรนอย่างแ่เบาอีกด้วย
เมื่อตื่นขึ้นมา จิ้งจอกน้อยก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง ไม่หลงเหลือท่าทีอ่อนแอจนแทบยืนไม่ไหวเฉกเช่นเมื่อวานแม้แต่น้อย
บานหน้าต่างในห้องเปิดกว้าง ข้างนอกเป็ท้องฟ้าแจ่มใสซึ่งเป็สิ่งที่หาได้ยากยิ่ง แสงแดดอันอบอุ่นสาดเข้ามาจากนอกหน้าต่างและตกกระทบกับเตียง ให้ความรู้สึกสบายจนไม่อยากจะตื่น
ไร้เงาร่างของฮั่วเยี่ยนไหวที่ข้างเตียง ทว่าหากมองไปที่รอยยุบเล็กน้อยบนเตียง ย่อมหมายความว่าเมื่อวานนาง ‘ร่วมเรียงเคียงหมอน’ กับฮั่วเยี่ยนไหวอีกคราแล้ว
นางยกอุ้งเท้าสีขาวราวกับหิมะขึ้นมาปิดหน้า นี่เป็ยุคโบราณ หากผู้คนล่วงรู้ว่าสตรีที่หมั้นหมายแล้วกลับไปนอนอยู่ข้างๆ บุรุษอีกคนละก็ นางจะถูกจับใส่กรงหมูแล้วนำไปถ่วงน้ำหรือไม่?
“เ้าตัวเล็ก ตื่นแล้วหรือ?”
“กรร!”
ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
จิ้งจอกน้อยกลอกตา นางไม่สนใจอิ๋งเฟิง นางเอียงศีรษะก่อนจะะโลงจากเตียง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
“เ้าจะไปไหน?” อิ๋งเฟิงเดินตามหลังจิ้งจอกน้อย เขาเริ่มสนใจในตัวจิ้งจอกที่กลอกตาเป็และดูร่าเริงตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ
อย่างไรก็ตาม ขาคู่หนึ่งจะวิ่งทันสี่ขาได้อย่างไร ดังนั้นทุกคนในจวนจึงเห็นภาพจิ้งจอกสีขาวราวหิมะวิ่งนำหน้า ส่วนอิ๋งเฟิงวิ่งตามอยู่ด้านหลังโดยใช้วิชาตัวเบา
ปั้ก!
ก้อนสีขาวราวหิมะพุ่งตรงไปกระแทกกับเงาสีกรมท่าสายหนึ่ง มันล้มหงายหลังลงกับพื้น เมื่อเงยหน้ามอง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือร่างที่ดูหรูหราและเย่อหยิ่ง
บุรุษผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีกรมท่า เส้นผมสีดำขลับมัดครึ่งศีรษะ ริมฝีปากบางขบเม้มแน่นภายใต้ดั้งจมูกโด่ง แม้ว่าไป๋เซี่ยเหอจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก ทว่าก็ยังต้องตกอยู่ในภวังค์เพราะหน้าตาของบุรุษผู้นี้
ในชั่วพริบตา ก้อนสีขาวก็ถูกอุ้มขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือของบุรุษผู้นั้น
ฮั่วเยี่ยนไหวมุ่นคิ้ว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่งออกมาจากที่ไหนไม่ทราบ แล้วนำมาเช็ดหน้าให้จิ้งจอกน้อยอย่างพิถีพิถัน
“วุ่นวายอีกแล้ว” อาจฟังดูเหมือนตำหนิ ทว่าน้ำเสียงกลับไม่มีร่องรอยของการตำหนิเลยสักนิด
จิ้งจอกน้อยหน้าแดงก่ำทันที นางวุ่นวายั้แ่เมื่อไรกัน!
เมื่อเช็ดหน้าเสร็จ ฮั่วเยี่ยนไหวก็หยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนมาเช็ดตัวให้นาง
“คนลามก!”
จิ้งจอกน้อยปัดมือของฮั่วเยี่ยนไหวออก จากนั้นก็ใช้อุ้งเท้าสั้นๆ ปิดบั้นท้ายกลมที่มีขนปุกปุยของตนเองทันที ก่อนจะมุดเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของฮั่วเยี่ยนไหว
แม้ว่านางจะถูกบังคับให้ร่วมเรียงเคียงหมอนมาแล้ว ทว่าไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะสามารถััร่างกายของสตรีพรหมจรรย์อย่างนางได้ตามอำเภอใจ!
ฮั่วเยี่ยนไหวมองจิ้งจอกน้อยที่มุดเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเขินอายด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็เพียงสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น แต่กลับมีสติปัญญาเพียงนี้เชียวหรือ?
“เปิ่นหวังไม่มีความคิดเกินเลยกับสัตว์!” เขาแทบจะกัดฟันเอ่ยประโยคนี้ออกมา
เขาดูกินไม่เลือกเช่นนั้นเชียวหรือ? นึกไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นคำว่า ‘อนาจาร’ จากแววตาของสัตว์ตัวหนึ่ง!
เขาเป็เซ่อเจิ้งอ๋องที่สง่างาม กุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ไว้ในมือ หน้าตาหล่อเหลา เดินไปที่ใดล้วนแล้วแต่ตกเป็เป้าของสายตานับหมื่น สตรีมากมายเค้นสมองเพื่อหาวิธีเข้าใกล้เขา แล้วเขาจะไปชมชอบจิ้งจอกตัวหนึ่งได้อย่างไร!
นอกจากนี้ยังเป็เพียงลูกจิ้งจอกเท่านั้น!
เพียงแต่ตัวเขาเองก็รู้สึกสงสัยมากเช่นเดียวกัน เหตุใดเขาถึงปฏิบัติต่อจิ้งจอกตัวนี้แตกต่างเป็พิเศษ ยอมให้มันเข้าใกล้ตนเอง กระทั่งนอนเตียงเดียวกับเขาได้?
“ช่างเถิด เช่นนั้นก็ไม่เช็ดแล้ว” เขาโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง ฮั่วเยี่ยนไหวหิ้วร่างจิ้งจอกน้อยออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางไว้บนฝ่ามืออีกครา “อยากออกไปเดินเล่นหรือไม่?”
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างกายของฮั่วเยี่ยนไหวก็หยุดชะงักทันที นึกไม่ถึงว่าเขาจะมองจิ้งจอกน้อยเป็มนุษย์ แล้วเริ่มต้นบทสนทนากับมันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วินาทีถัดมา เขาก็เห็นจิ้งจอกน้อยพยักหน้าอย่างตั้งตารอ
นับั้แ่ไป๋เซี่ยเหอย้อนเวลามา นางยังไม่ได้ออกไปเดินเล่นเลย นี่ถือเป็โอกาสที่หาได้ยากในการทำความเข้าใจบ้านเมืองในยุคสมัยนี้ นางย่อมไม่อาจปล่อยให้โอกาสดังกล่าวหลุดลอยไป
อิ๋งเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้ชื่นชอบจิ้งจอกตัวนี้นัก ที่แท้มันเป็ปีศาจจิ้งจอกนี่เอง!
ถนนหนทางในเมืองหลวงคึกคักและเจริญรุ่งเรือง เสียงเร่ขายของและเสียงหัวเราะดังลอดเข้ามาผ่านม่านรถม้าสีผลซิ่ง[1]
ในรถม้า
ฮั่วเยี่ยนไหวเอนกายด้วยท่าทีเอ้อระเหยอยู่บนเบาะอันอ่อนนุ่มที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ถึงสามชั้น บริเวณมุมหนึ่งของรถม้ามีกระถางธูปสามขาอันวิจิตรงดงามกระถางหนึ่งตั้งอยู่ ธูปที่จุดส่งกลิ่นสะระแหน่จางๆ ซึ่งเหมือนกับกลิ่นอายบนกายของบุรุษผู้นี้ทุกประการ เมื่อดมแล้วทำให้รู้สึกสงบใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ในอ้อมกอดของบุรุษ มีจิ้งจอกตัวหนึ่งซบอยู่ที่อกด้วยท่าทีเอ้อระเหยเช่นเดียวกัน
จิ้งจอกน้อยหลับตาลง รับรู้ถึงการสั่นคลอนอันแ่เบาของรถม้า นางรู้สึกสบายเสียจนทุกรูขุมขนล้วนแล้วแต่ผ่อนคลาย เมื่อพูดแล้วก็น่าขัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจวนตระกูลไป๋เป็บ้านของนาง ทว่ายามที่อยู่ในจวน นางปรารถนาที่จะแบ่งหัวใจออกเป็สิบส่วน แม้ในยามนอนหลับก็ไม่กล้าคลายความระแวดระวังลง
ทว่าเวลาอยู่ข้างกายเทพสังหารที่ถูกผู้คนขนานนามว่าโเี้ เ็า และไร้ความปรานี นางกลับรู้สึกถึงความผ่อนคลายที่ไม่เคยมีมาก่อนเสียอย่างนั้น
จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง
จิ้งจอกน้อยลืมตาขึ้น เมื่อตั้งสติได้ก็ะโขึ้นไปบนฝ่ามือของฮั่วเยี่ยนไหว แล้วนอนรออย่างเชื่อฟัง
เกี้ยวที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย หากไม่ใช้งานย่อมเสียเปล่า บังเอิญที่นางได้รับาเ็ที่ข้อมือพอดี จึงจำเป็ต้องได้รับการฟื้นฟู
รถม้าจอดที่หน้าเหลาอาหารแห่งหนึ่ง ฮั่วเยี่ยนไหวก้าวลงจากรถม้า เขาเดินหลบเลี่ยงฝูงชน ก่อนจะตรงขึ้นไปยังชั้นบนของเหลาอาหาร
ผู้ที่สามารถขึ้นไปยังชั้นบนสุดได้ล้วนแต่เป็ผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งหรือเป็ผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง
เสี่ยวเอ้อร์[2]ผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาสำรวจจิ้งจอกน้อยด้วยสายตาที่ยากจะเอื้อนเอ่ยอยู่หลายรอบ ก่อนจะรีบเก็บสีหน้าประหลาดใจเอาไว้
“ท่านอ๋อง ห้องส่วนตัวเปิดไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้คุ้นเคยกับฮั่วเยี่ยนไหวเป็อย่างยิ่ง เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินนำไปยังห้องส่วนตัวอันเงียบสงบที่อยู่ด้านในสุด
------------------------
[1] ผลซิ่ง หมายถึง แอปริคอต
[2] เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึง บริกรในสมัยโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้