“พวกท่านไม่รู้หรือว่าที่ดินสามารถเพาะปลูกแบบหมุนเวียนได้ และข้าวสามารถเก็บเกี่ยวได้สองครั้งในหนึ่งปี?”
เสี่ยวหมี่ขบคิด รู้สึกเหมือนว่าหัวข้อสนทนานี้ค่อนข้างอันตราย จึงสาดสายตาไปยังชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลไปทีหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะฮ่าฮ่ากลบเกลื่อน
“อืม คือข้าก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คงไม่อาจทำให้สำเร็จจริงๆ ได้หรอก ข้ายกน้ำชาไปให้คนอื่นๆ ก่อนนะ...”
น่าเสียดาย ผู้เฒ่าหยางและเฝิงเจี่ยนต่างจ้องนางตาไม่กระพริบ ไม่เร่งรัดแต่ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันเป็อย่างมาก
พูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง นางกดเสียงต่ำกล่าวว่า “คือว่า ข้าเองก็ลืมไปแล้วว่าอ่านเจอจากตำราเล่มไหน ถึงแม้เราจะควบคุมสภาพอากาศไม่ได้ แต่สามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ เช่นว่าในเมืองที่อากาศที่ค่อนข้างอบอุ่นเพียงพอสามารถปลูกข้าวโพดในฤดูร้อนและหว่านเมล็ดข้าวสาลีในฤดูหนาว ข้าวสาลีจะเติบโตในฤดูหนาว ประมาณเดือนสี่ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้...”
เสี่ยวหมี่ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลง เพราะสายตาของผู้เฒ่าหยางและเฝิงเจี่ยนน่ากลัวจริงๆ
ข้างๆ ผู้เฒ่าหยางเป็นาของสกุลลู่ที่กั้นไว้ปลูกข้าวโพดสำหรับพอกินประมาณสองหมู่ เนื่องจากที่เหลือถูกชาวบ้านคนอื่นๆ แบ่งไปหมดแล้ว แสดงว่าพื้นที่ตรงนี้ในฤดูร้อนเพาะปลูกข้าวโพดเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นสามารถหมุนเวียนไปปลูกข้าวสาลีในฤดูหนาวและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิปีถัดไปได้...
“แล้วที่ว่าข้าวปีหนึ่งเก็บเกี่ยวได้สองครั้งหมายความว่าอย่างไร”
ในเมื่อเสี่ยวหมี่เล่าเื่การปลูกข้าวโพดและข้าวสาลีหมุนเวียนไปแล้ว เื่ข้าวก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก
“ในพื้นที่ที่อากาศอบอุ่นเพียงพอ เราสามารถใช้วิธีเดียวกับการปลูกผัก ก็คืออนุบาลต้นกล้าของข้าวในเพิงเพาะเลี้ยงก่อน รอจนมันเติบโตสูงห้าถึงหกชุ่นแล้วก็ค่อยแบ่งเป็กลุ่มๆ กลุ่มละสองสามต้นนำไปปลูกในนา แต่ละกลุ่มเว้นระยะห่างครึ่งชุ่น เช่นนี้ก็จะช่วยประหยัดเวลาการเติบโตของกล้าข้าวไปได้มาก การจะเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวให้ได้สองครั้งในหนึ่งปีจึงเป็เื่ง่ายมาก”
ผู้เฒ่าหยางและเฝิงเจี่ยนสบตากันไปทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เสี่ยวหมี่พูดเหมือนง่าย พวกเขาฟังแล้วก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่วิธีการเช่นนี้ไม่เคยมีใครริเริ่มมาก่อน...
เสี่ยวหมี่กลัวว่าคนทั้งสองจะถามอะไรอย่างอื่นออกมาอีก นางจึงเตรียมเดินเข้าไปหาพวกชาวบ้านแทน
ทันใดนั้น มีเด็กชายซุกซนสองคนที่ขโมยพลั่วไม้และวิ่งไปที่กองมูลสัตว์ใกล้ๆ เพื่อเล่นกันโดยไม่มีใครเฝ้าดู พวกเขาลอกเลียนแบบบิดาโดยการใช้พลั่วพรวนดินแต่มือของเด็กน้อยยังควบคุมแรงไม่ได้ กลายเป็ว่าปุ๋ยมูลสัตว์พวกนั้นจึงถูกสาดมาที่พวกเสี่ยวหมี่แทน
เฝิงเจี่ยนรีบกางแขนปกป้องเสี่ยวหมี่ทันที
ส่วนผู้เฒ่าหยางยกแขนเสื้อขึ้นบัง จากนั้นจึงะโดุว่า “เอ้อหวา โก่วเซิ่งเอ๋อร์ ยังไม่ขอโทษอีก? วันพรุ่งจะให้อาจารย์ของพวกเ้าเพิ่มการบ้าน ดูสิว่าพวกเ้ายังจะมีเวลาว่างมาซุกซนอีกหรือไม่”
เด็กน้อยทั้งสองเกาศีรษะอย่างโง่งม รีบเข้ามาขออภัยหน้าแหย
แต่เฝิงเจี่ยนกลับไม่ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
เสี่ยวหมี่ไม่ทันได้เขินอาย นางดึงตัวออกมาจากอ้อมแขนของเฝิงเจี่ยนพลางสังเกตสีหน้าเขา ไม่ทันได้พูดอะไรก็เห็นเฝิงเจี่ยนเหมือนจะอาเจียนออกมา
ผู้เฒ่าหยางตาไวมือไว รีบเข้าไปช่วยเขาปัดของสกปรกออกจากไหล่ คิดอยากจะเอ่ยปากปลอบโยนเสียหน่อยแต่ก็กลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งกระตุ้นให้ผู้อื่นขบขัน
เสี่ยวหมี่เองก็ยื่นมือไปช่วยปัดเศษดินให้เช่นกัน นางก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าพูดอะไรออกมา
กลับกัน เกาเหรินที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลนั้น “ฮ่าๆ คุณชาย ตัวท่านเลอะปุ๋ยคอกไปหมดแล้ว วางใจเถอะมูลพวกนี้แห้งสนิทดีแล้ว ไม่เหม็นแล้ว”
วาจาเหมือนกำลังกล่าวปลอบใจ แต่สีหน้าเขากลับเบิกบานเป็ที่สุด แม้แต่นกที่บินผ่านยังดูออกเลยว่าเขาไม่ประสงค์ดี...
“คือว่า พี่ใหญ่เฝิง ท่านเป็อย่างไรบ้าง กลับบ้านไปอาบน้ำก่อนดีหรือไม่เ้าคะ”
เสี่ยวหมี่เองก็ฝืนไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมา กลัวจะทำให้เขาอับอายจนพาลโกรธ จึงรีบเตรียมจะลากเขากลับไป
ไม่เหนือความคาดหมาย เพิ่งเดินห่างไปได้ไม่ไกลเสียงหัวเราะของชาวบ้านก็ไล่หลังมาทันที
“คุณชายเฝิงจะต้องมาจากตระกูลใหญ่แน่ๆ เปื้อนปุ๋ยคอกแห้งๆ ไปนิดเดียวก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว”
“ใช่แล้ว เมื่อก่อนข้ายังเคยมุดเข้ารังหมีด้วยซ้ำ ที่นั่นส่งกลิ่นเหม็นออกไปเป็สิบลี้ กลับมาบ้านข้ายังถูกเมียไล่ให้ไปแช่ตัวในแม่น้ำ ตกกลางคืนมานางยังไม่ยอมให้ข้าขึ้นเตียงเลย”
“ข้าเคยถูกสุนัขจิ้งจอกตดใส่ด้วยนะ ฮ่าๆ กลิ่นนั้นอย่าให้พูดถึงเลย”
เสียงสนทนาอันครึกครื้นของชาวบ้านดังไล่หลังมา เสี่ยวหมี่ไม่กล้าเงยหน้ามองสีหน้าของเฝิงเจี่ยน
เฝิงเจี่ยนเองก็ไม่มีอารมณ์มาสนใจเื่ความเหมาะสมอีก เขาเดินไปพลางเปลื้องอาภรณ์ไปพลาง เขาอยากจะถอดเสื้อตัวในออกเสียด้วยซ้ำ แต่นึกถึงว่าเสี่ยวหมี่ยังอยู่ข้างกายจึงได้แต่อดทนไว้
เสี่ยวหมี่หน้าแดง เมื่อถึงบ้าน นางรีบเข้าครัวไปตักน้ำ ดีที่บ้านของนางมีการต้มน้ำให้อุ่นไว้แทบจะตลอดเวลาจึงค่อนข้างสะดวกทีเดียว
ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฝิงเจี่ยนก็ยังไม่ลืมที่จะดูแลเสี่ยวหมี่ เขารออยู่หน้าห้องครัว เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหมี่ตักน้ำมาเต็มถัง ก็เข้ามารับไปจากมือแล้วกลับเข้าเรือนพักฝั่งตะวันออกไป
ในเรือนพักฝั่งตะวันออกมีการกั้นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งไว้สำหรับอาบน้ำหรือเข้าส้วมในยามฤดูหนาว จะได้ไม่ต้องเดินฝ่าลมหนาวออกมา
เสี่ยวหมี่ยกถังน้ำเย็นมารอไว้ให้อีกหนึ่งถัง ครั้นนางได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นจากด้านใน ก็รีบถอยกลับไปที่ห้องครัว เดิมทีมื้อเที่ยงนางคิดจะทำจ๋าเจี้ยงเมี่ยน [1] แต่เมื่อนึกไปถึงสีของจ๋าเจี้ยงเมี่ยนแล้ว มันไพล่ไปคล้ายกับสีของบางสิ่ง จึงต้องเปลี่ยนแผนไปก่อน
เมื่อวานตอนที่เถ้าแก่เฉินมา เขานำเนื้อวัวมาฝากด้วย
ราชวงศ์ต้าหยวนขาดแคลนวัวสำหรับใช้แรงงานในนา ราคาวัวหนึ่งตัวมากพอจะผลาญเงินเก็บยี่สิบปีของของครอบครัวเล็กๆ ได้เลยทีเดียว แม้แต่ ‘เศรษฐีนี’ อย่างเสี่ยวหมี่ หลังจากรู้ราคาก็ยังยกธงยอมแพ้เช่นกัน
ได้ยินว่าวัวใช้แรงงานทุกตัวล้วนมีการขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น หากสังหารหรือทำร้ายวัวพวกนี้จะต้องโทษอาญา
เสี่ยวหมี่มาอยู่ที่ตระกูลลู่ตั้งนานแล้ว นางชอบทำของอร่อยและชอบกินของอร่อย แต่นี่เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นเนื้อวัว
แรกเริ่มนางยังตัดใจเอามาทำอาหารไม่ได้ ครั้งนี้เห็นว่าเฝิงเจี่ยนได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ นางจึงคิดจะใช้เนื้อวัวปลอบใจเขา
แต่คิดๆ ดูแล้วที่ดินแดนห่างไกลอย่างอันโจวแดนเหนือนี้ ราคาม้านับว่าไม่สูงมากนัก บางทีในอนาคตอาจลองฝึกใช้คันไถที่ใช้ม้าแทนก็ได้ จะอย่างไรก็มีประสิทธิภาพมากกว่าแรงงานมนุษย์
นางขบคิดไปพลาง นวดแป้งที่ปล่อยให้ขึ้นฟูไว้ั้แ่เช้าไปพลาง นางหั่นเนื้อ หั่นหัวหอม ยุ่งอยู่ในครัว
สุดท้าย ตอนที่นางปั้นแป้งห่อเนื้อเรียบร้อยเตรียมจะหย่อนลงทอดในกระทะน้ำมัน กลับได้ยินเสียงร้องของสตรีดังขึ้นไม่ไกล
เสี่ยวหมี่ใทิ้งงานในมือวิ่งออกไปทันที
ไม่รู้เจาตี้เอ๋อร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ยามนี้นางล้มหงายหลังลงไปบนพื้น บริเวณหน้าอกยังมีรอยฝ่าเท้าขนาดใหญ่ เห็นเป็รอยชัดเจนบนอาภรณ์สีอ่อน
“เกิดอะไรขึ้น”
เสี่ยวหมี่ขมวดคิ้ว ยังไม่ทันขึ้นหน้าไปถาม ประตูเรือนพักฝั่งตะวันออกก็เปิดออกมา
เฝิงเจี่ยนผมเปียกชื้นระไหล่ เขาสวมเสื้อคลุมตัวนอกเรียบร้อยแล้ว แต่สภาพยังดูไม่ได้สักเท่าไร
เขาขมวดคิ้วมุ่น สายตาทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่น ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้ามา เจาตี้เอ๋อร์ก็ปรับลมหายใจกลับมาเป็ปกติ แล้วะโร้องออกมาเสียงดังว่า “ช่วยด้วยท่านป้า ข้าจะถูกตีตายแล้ว ช่วยด้วย”
หมู่บ้านเขาหมีเดิมทีก็ไม่ได้กว้างใหญ่ เพื่อป้องกันสัตว์ป่า บ้านแต่ละหลังจึงอยู่ติดๆ กัน ยามปกติหากว่าสกุลลู่มีเื่อะไร ชาวบ้านสิบแปดครัวเรือนก็จะแห่กันมาช่วย คล้ายใช้ชีวิตอยู่เป็ครอบครัวเดียวกันก็ไม่ปาน
ยามนี้เจาตี้เอ๋อร์ส่งเสียงร้องน่าอนาถ สตรีแต่ละบ้านที่เตรียมจะทำอาหารเที่ยง รวมถึงบุรุษที่กำลังทยอยเดินกลับมาต่างได้ยินอย่างชัดเจน จึงทิ้งเครื่องครัวทิ้งพลั่วในมือวิ่งมาที่สกุลลู่
แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับไม่ใช่ฉากบ้านสกุลลู่ถูกสัตว์ร้ายบุก หรือมีคนนอกหมู่บ้านบุกเข้ามารังแก กลับเป็สถานการณ์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
ถึงแม้เจาตี้เอ๋อร์จะเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แต่ทุกคนต่างรู้จักนาง ส่วนสาเหตุนั้นย่อมไม่ต้องพูดเยอะ
แต่ยามนี้นางไม่อยู่ที่สกุลหลิว กลับสวมอาภรณ์บางเบาทั้งๆ ที่อากาศยังเย็นอยู่ มานอนอยู่กลางเรือนสกุลลู่เช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
หันไปมองเฝิงเจี่ยนที่ยืนอยู่หน้าเรือนพักฝั่งตะวันออกด้วยสภาพน่าอนาถไม่แพ้กัน...
บางคนพอจะคาดเดาได้ลางๆ แล้ว ตอนที่คิดจะไปตามคนสกุลหลิวมา พวกเขาก็มาถึงพอดี
หากเป็ยามปกติ คนสกุลหลิวจะต้องเป็ครอบครัวแรกที่มาถึง แต่ก่อนหน้านี้เพราะเื่ที่เจาตี้เอ๋อร์ก่อขึ้น คนสกุลหลิวรู้สึกขายหน้าต่อเสี่ยวหมี่ เมื่อมีเื่อะไรจึงไม่ค่อยกล้าโผล่หน้ามาแล้ว
แล้วเมื่อครู่ก็จำไม่ได้ว่าเป็เสียงของเจาตี้เอ๋อร์ ตอนหลังกุ้ยจือเอ๋อร์ทำกับข้าวเสร็จแล้วกลับไปที่ห้องของตนเอง เห็นว่ากล่องในห้องของนางถูกเปิดออกอีกแล้ว ทำให้คนสกุลหลิววุ่นวายกันไปหมด จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าเจาตี้เอ๋อร์ไม่อยู่ที่นี่ และทางด้านสกุลลู่ก็กำลังครึกครื้นอย่างยิ่ง...
ไม่ผิดคาด เมื่อครอบครัวสกุลหลิวมาถึงก็เห็นว่าเจาตี้เอ๋อร์สวมอาภรณ์ฤดูร้อนของกุ้ยจือเอ๋อร์ อยู่ในสภาพน่าขายหน้าเป็ที่สุด
ท่านลุงหลิวกัดฟันแน่น แต่จะอย่างไรท่านป้าหลิวก็เป็ป้าของเจาตี้เอ๋อร์ จึงทำได้เพียงเข้าไปถาม “เจาตี้เอ๋อร์ เรียกให้เ้าไปกินข้าวตั้งนาน เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร รีบกลับไปกับข้า”
เจาตี้เอ๋อร์เห็นว่าคนบ้านตัวเองมาถึงแล้วก็ร้องะโเสียงดัง นางไม่เสียดายอาภรณ์บนร่างคลานไปเกาะขาท่านป้าหลิว “ฮือฮือ ท่านป้า ท่านต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ข้านะ ข้าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ข้าแต่งให้ใครไม่ได้อีกแล้ว ให้ข้าตายไปเสียดีกว่า”
พูดพลางเอาศีรษะโขกพื้น แต่มือยังคงกอดท่านป้าหลิวไว้ไม่ปล่อย
ท่านป้าหลิวทำอะไรไม่ถูก ต่อให้ไม่ชอบหลานสาวคนนี้แค่ไหน แต่ความบริสุทธิ์เป็เื่ใหญ่ของสตรี หากจัดการไม่ดี คาดว่าน้องชายน้องสะใภ้คู่นั้นของนางคงจะมาก่อความวุ่นวายแน่
นางทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะถามใคร สุดท้ายก็เลือกถามเสี่ยวหมี่ “เสี่ยวหมี่เกิดเื่อะไรขึ้น เ้าอยู่ที่บ้านเห็นอะไรหรือไม่?”
ทุกคนหันไปมองเสี่ยวหมี่เช่นกัน เฝิงเจี่ยนเป็แขกสูงศักดิ์ของสกุลลู่ เจาตี้เอ๋อร์เป็หลานสาวสกุลหลิว แล้วเื่ยังเกิดขึ้นที่เรือนสกุลลู่ แน่นอนว่าถามเสี่ยวหมี่เป็เื่สมควรที่สุดแล้ว
ต่อให้เสี่ยวหมี่จะไม่เคยมีคนรักมาก่อน แต่นางก็เคยดูละครตบตีวังหลังที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าละครสนุกเช่นนี้จะมาฉายให้นางเห็นต่อหน้าต่อตา
ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในตัวเฝิงเจี่ยน แต่ยามนี้ หากว่าเอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งแม้เพียงนิดก็อาจถูกเข้าใจผิดได้ ไม่สู้พูดไปตามที่ได้เห็นได้ยิน
เชิงอรรถ
[1] จ๋าเจี้ยงเมี่ยน(炸酱面)คล้ายกับจาจังมยอนของเกาหลี เป็บะหมี่ราดซอสสีดำเข้มข้นซึ่งผัดกับเนื้อหมูสับจนเป็เนื้อเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้