ไป๋เซี่ยเหอยิ้มอย่างเฉยเมย ไท่จื่อผู้สูงศักดิ์อาจดูสุภาพและสง่างามในสายตาของผู้อื่น ทว่าในสายตาของนางนั้นกลับเปรียบได้กับภูตผีจากนรก “ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือ?”
หัวคิ้วของฮั่วิเชินขมวดปมแน่นยิ่งขึ้น ทั้งสองพบหน้ากันนับครั้งได้ ทว่ามีครั้งไหนที่ดวงตาของไป๋เซี่ยเหอไม่จับจ้องเขาตลอดเวลาบ้าง? วันนี้เขากล่าวชมนาง นึกไม่ถึงว่านางจะไม่ดีใจจนสลบไป
กำลังเล่นกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับอย่างนั้นหรือ?
เฮอะ สตรีนี่นะ!
ไป๋เซี่ยเหอมองสีหน้าของฮั่วิเชินที่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็ดูแคลนในท้ายที่สุด
เมื่อฮั่วิเชินจากไป ไป๋หว่านหนิงก็ปรี่เข้ามาแล้วยกฝ่ามือขึ้นหมายจะสั่งสอนไป๋เซี่ยเหอเหมือนในอดีตยามอยู่ที่จวนตระกูลไป๋
ทว่าไป๋เซี่ยเหอคนปัจจุบันจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จได้อย่างไร? แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของนางจะอ่อนแอ ทว่าการสยบไป๋หว่านหนิงนั้นไม่ต้องใช้แรงมากนัก หลังจากบีบข้อมือของอีกฝ่าย แล้วพลิกไปไว้ด้านหลังแล้ว ไป๋หว่านหนิงก็ไม่อาจขยับเยื้อนได้
“นางแพศยา ปล่อยมือข้านะ!”
ไป๋เซี่ยเหอโน้มตัวไปที่ข้างหูของไป๋หว่านหนิง ดวงตาทอประกายสุกใส ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ดูเย็นะเืจนน่าประหลาด “น้องรอง ข้าแนะนำให้เ้าข่มใจไว้หน่อยจะดีกว่า ข้าเพิ่งช่วยให้ฝ่าาฟื้นขึ้นมา แต่เ้ากลับ้าตบตีข้า หากใครไม่รู้คงคิดว่าเ้าวางยาพิษฝ่าาเป็แน่!”
สีหน้าของไป๋หว่านหนิงพลันซีดเผือด นึกไม่ถึงว่าไป๋เซี่ยเหอจะกล้าพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้ “จะเป็ไปได้อย่างไร? ข้าจะกล้าวางยาพิษฝ่าาได้อย่างไร?”
ไป๋เซี่ยเหอข่มขู่นางต่อ “ใครจะไปรู้เล่า? ทุกคนเห็นเพียงว่าข้าช่วยชีวิตฝ่าาให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่เ้ากลับคิดจะฆ่าข้าอย่างโเี้ เดาดูสิว่าทุกคนจะคิดอย่างไร?”
ความอวดดีที่แผ่ออกมาจากร่างของไป๋หว่านหนิงมลายหายไปทันที “ข้าไม่เชื่อว่ากระเป๋าฟางอย่างเ้าจะช่วยชีวิตฝ่าาได้!”
แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าความจริงแล้วนางอดไม่ได้ที่จะไม่เชื่อ หากจะบอกว่าไป๋เซี่ยเหอหลอกลวง ฮองเฮาย่อมต้องลงโทษด้วยการมีรับสั่งให้ตัดศีรษะของไป๋เซี่ยเหออย่างแน่นอน ทว่าฮองเฮากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ตอนนี้เ้าโมโหมากหรือไม่?”
น้ำเสียงของไป๋เซี่ยเหอแฝงไว้ด้วยความดูแคลน “เห็นๆ อยู่ว่าเ้าคิดจะทำให้ข้าหัวขาด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าข้าจะกลายเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของฝ่าาเอาไว้ได้ หลังจากวันนี้ไป บางทีชีวิตข้าอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าดิน จนกระทั่งได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาและฮองเฮา นี่คงเป็สิ่งที่เ้าใฝ่ฝันอยากจะได้กระมัง”
ดวงตาของไป๋หว่านหนิงแดงก่ำจนแทบจะร้องไห้ นางถลึงตามองไป๋เซี่ยเหอ “เ้าอย่าได้เพ้อฝัน แม้ว่าเ้าจะช่วยชีวิตฝ่าาเอาไว้ แต่ไท่จื่อเป็ของข้า เป็ของข้าแต่เพียงผู้เดียว เ้าอย่าได้คิดเชียว”
“คิกๆ” ไป๋เซี่ยเหอหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทีเหยียดหยาม กระทั่งตอนนี้ ไป๋หว่านหนิงยังคงคิดว่านางทำทั้งหมดนี้เพื่อไท่จื่อ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนโง่เขลาเช่นนี้อยู่บนโลก
“เ้าหลอกลวงข้าให้น้อยหน่อยเถิด ที่เ้ายักคิ้วหลิ่วตากับไท่จื่อเมื่อครู่นี้ข้าเห็นหมดแล้ว ข้าขอเตือนไว้ หากเ้ากล้าคะนึงหาไท่จื่อละก็ กลับไปข้าจะให้ท่านแม่หาคนมาตัดขาของเ้าเสีย ข้าจะดูว่าวังหลวงจะยัง้าไท่จื่อเฟยที่พิการอยู่หรือไม่” ไป๋หว่านหนิงโมโหจนเจ็บหน้าอกราวกับมีดอกไม้เข้าไปอุดอยู่ด้านใน ให้ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไป๋เซี่ยเหอยักคิ้วหลิ่วตาใส่ไป๋หว่านหนิง อันที่จริงนางรู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือทน ใครบอกว่านางเป็กระเป๋าฟางของจวนตระกูลไป๋กัน? สตรีตรงหน้านางต่างหากที่เป็กระเป๋าฟาง!
“คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ ฮองเฮาทรงเชิญท่านเข้าไปด้านในเ้าค่ะ”
ั้แ่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางกำนัล ไป๋เซี่ยเหอก็ปล่อยมือของไป๋หว่านหนิงแล้ว หลังเหลือบมองไป๋หว่านหนิงด้วยความดูแคลน นางก็เดินตามนางกำนัลผู้นั้นเข้าไปด้านใน
เพียงแต่สภาพร่างกายที่อ่อนแอจนถึงขีดสุดนี้คือสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ นางต้องรีบคิดวิธีที่จะออกไปจากที่นี่ หากนางกลายร่างเป็จิ้งจอกต่อหน้าทุกคน แม้ว่านางจะเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของฮ่องเต้ ทว่าก็ต้องเดิมพันด้วยชีวิตเช่นเดียวกัน
“แม่หนูเซี่ยเหอมาแล้วหรือ”
ฮองเฮาได้สลัดความโศกเศร้าเมื่อครู่นี้ทิ้งไปแล้ว ใบหน้างดงามเย้ายวนนั้นแฝงไว้ด้วยความสง่างามและน่าเกรงขาม
ไป๋เซี่ยเหอเดินเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีนอบน้อม ฮองเฮาดึงมือของนางเอาไว้ ก่อนหันไปส่งยิ้มจนตาหยีให้ฮ่องเต้ “ฝ่าา เห็นหรือไม่ว่าหม่อมฉันไม่ได้พูดผิด แม่หนูเซี่ยเหอทั้งงดงามและมีความสามารถ นับว่าไท่จื่อของเรามิอาจเอื้อมแล้วเพคะ”
สีหน้าของทุกคนในห้องนั้นดูประหลาดใจ มีเพียงไท่จื่อเท่านั้นที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
ไป๋เซี่ยเหอก้มศีรษะ ใบหน้าเล็กซีดเซียว ทว่ายังคงแสดงท่าทีนอบน้อมจนถึงขีดสุด “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ ในภายภาคหน้าไท่จื่อจะทรงเป็ถึงโอรส์ นับว่าสูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เป็หม่อมฉันที่ไม่คู่ควรกับไท่จื่อเพคะ”
เนื่องจากฮ่องเต้เพิ่งได้สติ ร่างกายยังคงอ่อนแอ จึงได้แต่เอนกายอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋เซี่ยเหอ ดวงตาัก็พลันเป็กระกาย “ไม่เลว เป็แม่นางที่ดีนัก เผชิญเหตุการณ์เลวร้ายก็ไม่หุนหันพลันแล่น ช่วยชีวิตเจิ้น[1]ไว้ก็ไม่ร้องขอความดีความชอบ ตระกูลไป๋อบรมสั่งสอนมาดีจริงๆ เ้าพูดมาเถิดว่า้าอะไรเป็รางวัล”
“หม่อมฉัน...” ไป๋เซี่ยเหอลังเล นางกำลังขบคิดว่าจะฉวยโอกาสยกเลิกการหมั้นหมายกับไท่จื่อดีหรือไม่ นางไม่แน่ใจว่าอัตราที่ฮ่องเต้จะเห็นด้วยนั้นมีมากเพียงใด ถึงอย่างไรไท่จื่อก็เป็โอรส์คนถัดไป หากถูกสตรียกเลิกการหมั้นหมาย ราชวงศ์จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ใด?
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีอะไรอยากจะกล่าวพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่ไป๋เซี่ยเหอยังคงลังเลไม่ตัดสินใจ จู่ๆ ฮั่วิเชินก็ลุกขึ้นแล้วเดินมายังข้างกายของไป๋เซี่ยเหอ แววตาฉายแววเหยียดหยามอย่างลึกล้ำ
ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะยิ่งทวีความรุนแรง เงาร่างฮองเฮาที่ยิ้มแย้มอยู่ตรงหน้าทับซ้อนกัน ไป๋เซี่ยเหอพยายามข่มความรู้สึกร้อนรุ่มและไม่สบายตัวอย่างสุดชีวิต นางไม่ทราบว่าฮั่วิเชิน้าทำอะไรกันแน่
“พูดมาสิ” ฮ่องเต้ที่รู้สึกราวกับได้ชีวิตใหม่กำลังอารมณ์ดีอย่างยิ่งในเวลานี้ ยิ่งมองไป๋เซี่ยเหอลูกสะใภ้ก็ยิ่งเจริญตา กระทั่งพาให้ไท่จื่อดูน่ามองขึ้นอีกหลายส่วน
ความพึงพอใจลุกโชนในแววตาของฮั่วิเชิน เนื่องจากเขาไม่ได้เกิดจากฮองเฮา ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ไยดีเขาเสมอมา เขาไม่เคยเห็นฮ่องเต้มีท่าทีอ่อนโยนต่อเขาเฉกเช่นวันนี้มาก่อนเลย จึงรีบตัดสินใจอะไรบางอย่างทันที
“ไป๋เซี่ยเหอเป็คู่หมั้นของลูกมานานแล้ว ลูกคิดว่าสำหรับสตรีผู้หนึ่ง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้รับความโปรดปรานจากคู่หมั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยกับไป๋เซี่ยเหอ “วันหน้าหากไท่จื่อกล้าปฏิบัติต่อเ้าไม่ดีเ้าก็บอกเปิ่นกง เปิ่นกงจะจัดการเขาเป็คนแรก”
ฮองเฮาดูแลฮ่องเต้ราวกับเป็เพียงคู่สามีภรรยาธรรมดาๆ อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสองคนเอาใจใส่และเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งยังรักกันจนไม่อาจแยกจากกันได้ ดังนั้นสำหรับไป๋เซี่ยเหอที่เป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตฮ่องเต้ ฮองเฮาย่อมปรารถนาที่จะนับนางเป็บุตรี
โชคดีที่แต่เดิมนางก็เป็ว่าที่ลูกสะใภ้ของราชวงศ์อยู่แล้ว ท้ายที่สุดถึงอย่างไรก็นับเป็ครอบครัวเดียวกัน
ไป๋เซี่ยเหอยืนเงียบๆ ไม่พูดอะไร นางกำลังพยายามข่มความรู้สึกร้อนรุ่มที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างอย่างสุดชีวิต จึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยปาก แต่นางก็้าทราบว่า การที่ไท่จื่อยืนขึ้นในเวลานี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
“ลูกคิดว่าควรพระราชทานรางวัลให้แก่ไป๋หว่านหนิงพ่ะย่ะค่ะ”
ั์ตาเหยี่ยวของฮั่วิเชินเผยไหวพริบออกมาเล็กน้อย เขาปรายตามองไป๋เซี่ยเหอ เดิมทีคิดว่าจะได้เห็นนางโมโหจนกระทืบเท้า ทว่าอีกฝ่ายเพียงมองตอบอย่างเฉยเมยเท่านั้น ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความดูถูกและขยะแขยง
ฮั่วิเชินโมโหจนถึงขั้นหยุดพูด แต่เมื่อเผชิญกับสายตาที่เจือไปด้วยความกังขาของทุกคน เขาจึงรีบเอ่ยต่ออย่างจริงจัง “เซี่ยเหอเป็คู่หมั้นของลูก ย่อมไม่มีรางวัลใดจะสูงส่งไปกว่านี้แล้ว แต่เซี่ยเหอก็ถือเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเสด็จพ่อ จะมอบแก้วแหวนเงินทองธรรมดาๆ ให้นางได้อย่างไร? มิสู้พระราชทานบรรดาศักดิ์เสี้ยนจู่[3]แก่น้องสาวของนาง สำหรับตระกูลไป๋แล้ว การให้กำเนิดไท่จื่อเฟยคนหนึ่งกับเสี้ยนจู่อีกคนหนึ่ง ย่อมถือเป็เกียรติอันสูงส่งที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
------------------------
[1] เจิ้น หมายถึง สรรพนามแทนตัวเองของฮ่องเต้
[2] เสี้ยนจู่ หมายถึง องค์หญิงหรือท่านหญิง ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 4
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้