บทที่ 40 ต้นกำเนิดของเพลิงนรก
พลังสายนั้นไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย ลั่วถูััได้ว่าร่างกายของเขากำลังะเิ ช่างเป็ความรู้สึกละเอียดอ่อนเหลือเกิน เมื่อตกอยู่ภวังค์ เขาเหมือนกับเข้าไปในมิติลึกลับ ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคยนัก ตอนที่อยู่ใต้ศิลากำเนิดเทพ ความรู้สึกที่ร่างกายของเขากลายเป็กลุ่มของดวงไฟิญญา จากนั้นเข้าสู่มิติว่างเปล่า รวมตัวเข้ากับต้นกำเนิดเปลวไฟแห่งฟ้าดิน จากนั้นตกลงมาใต้ศิลากำเนิดเทพ สะท้อนตอบรับกับกลุ่มแสงดาวที่อยู่บนศิลา...
และตอนนี้ ลั่วถูรู้สึกได้ว่าตัวเขากำลังจะะเิออกอีกครั้ง เขารู้ว่าร่างกายและิญญาของเขากำลังถูกพลังของยาเปิดิญญาบีบอัดร่างของเขาไปทั้งตัวด้วยพลังสูงสุด ในความเป็จริง ผู้เปิดิญญาใช่ว่ายิ่งใช้ยาเยอะยิ่งดี ถึงจำนวนที่ใช้ในการเปิดิญญาทุกครั้งจะมากว่าครั้งก่อนสองเท่า แต่แท้จริงแล้วเป็เพียงค่าประมาณ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็เช่นนี้เสมอไป ในตอนแรกเริ่ม จุดชีพจรในร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนไหวมาก สำหรับการเปิดิญญาครั้งแรก ชีพจรในร่างกายเดิมทีก็ไม่มีทางรองรับการบีบเค้ลนที่แข็งแกร่งของพลังิญญาได้อยู่แล้ว ดังนั้นขีดจำกัดของพลังที่รับไหวจึงอยู่ที่ยาเปิดิญญาเม็ดหนึ่งเท่านั้น
และหลังจากผ่านการล้มเหลวในการเปิดิญญาครั้งแรก ก็เท่ากับว่าเส้นชีพจรในร่างกายได้รับการขัดเกลาไปครั้งหนึ่ง เช่นนั้นความยืดหยุ่นของจุดชีพจรและรากิญญาก็ลดลงไปด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้เมื่อเปิดิญญาครั้งต่อไป ก็จะอดทนรับพลังของยาิญญาสองเม็ดได้ หากคิดตามเช่นนี้ไป ทุกครั้งที่เปิดิญญาล้มเหลว ความเ็ปที่ได้รับ จะทำให้จุดชีพจรกับรากิญญาของตัวเขาสามารถแบกรับการโจมตีของพลังิญญาที่แข็งแกร่งขึ้นได้มากยิ่งกว่าเดิม แน่นอนว่าการที่ความยืดหยุ่นของจุดชีพจรแข็งแกร่งขึ้นนั้นเป็เื่ดี ทว่าเมื่อรากิญญายิ่งแข็งขึ้นเท่าไร นั่นก็เป็โศกนาฏกรรมตามไปด้วย เพราะรากิญญาที่แข็งทำให้รับคลื่นพลังธาตุแห่งฟ้าดินได้ลำบากยิ่งขึ้น ทำให้รอบหลังๆ ผู้เปิดิญญาไม่เพียงเ็ปขึ้นทุกครั้ง แต่ยังเป็เหตุผลที่ต้องใช้ยาเปิดิญญามากขึ้นด้วย
พลังิญญาจากยาเปิดิญญาหกสิบสี่เม็ดที่ปล่อยออกมา รุนแรงราวกับปลดปล่อยหายนะครั้งใหญ่ก็ว่าได้ เพราะมันไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ร่างกายและรากิญญาของลั่วถูเท่านั้น แต่ยังพุ่งโจมตีไปที่ิญญาของเขาเช่นกัน
ลั่วถูรู้สึกว่าภายใต้การพุ่งเข้าโจมตีที่น่าหวาดหวั่นของพลังิญญาจนทำให้ิญญาของเขาหลุดออกจากร่าง จากนั้นเข้าล่องลอยอยู่ท่ามกลางวังวนแห่งพลังธาตุ เพียงแต่ไม่อาจผสานรวมกันได้ เหมือนกับน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ได้เพียงััแต่ไม่อาจผสาน...
“ไม่นะ นี่ข้ายังจะต้องล้มเหลวอีกแล้วหรือ? นี่ข้าไม่วันทางเปิดิญญาได้หรืออย่างไร?” ในใจของลั่วถูโศกเศร้าอย่างไม่อาจบรรยายได้ นี่เป็การเปิดิญญาครั้งที่เจ็ดแล้ว เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเหมือนถูกพลังกลุ่มนี้ฉีกกระชากออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยังดีที่เขาแช่ตัวเองลงในยาิญญาหลอมกายที่มีเืของอสูรเซวี่ยเลี่ยนเป็ส่วนประกอบหลัก ยาน้ำเหล่านี้ช่วยซ่อมแซมาแที่เกิดขึ้นบนร่างของเขาอย่างรวดเร็ว พลังิญญาในร่างของเขาเองกลับโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเป็แผลก็รักษา หลังจากรักษาแล้วก็กลับไปาเ็อีก ความรู้สึกนี้ราวกับร่างกายทั้งในทั้งนอกของเขาถูกหล่อและหลอมวนไปไม่รู้จบ เพียงแต่ตัวลั่วถูไม่รู้สึกถึงกระบวนการนี้แม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็เพียงการรักษาและป้องกันตัวเองอย่างนอกเหนือการควบคุม...
“วูม...” ในขณะที่ลั่วถูรู้สึกว่าตัวเองอยู่ใกล้กับความล้มเหลวแค่เอื้อม แต่ทันใดนั้นเองิญญาของเขาได้เปลี่ยนเป็กลุ่มเปลวไฟอีกครั้ง
“ตูม... ” ลั่วถูรู้สึกเหมือนความว่างเปล่าะเิออกอย่างเฉียบพลัน ภายใต้อำนาจของเพลิงแห่งจิติญญา พลังธาตุที่สับสนวุ่นวายนับไม่ถ้วนในฟ้าดิน ถึงกับสลายเป็กลุ่มควันในเสี้ยววินาที ผลาญยาเปิดิญญาที่ใช้รวบรวมพลังธาตุแห่งฟ้าดินอย่างยากลำบากจนหมดเกลี้ยงทันที แต่ว่าในใจของลั่วถูกลับมีความยินดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะราวกับเขาได้เห็นพลังนับไม่ถ้วนรวมตัวระหว่างฟ้าดินอย่างรวดเร็ว จากนั้นผสานรวมกับเพลิงจิติญญาของเขา ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ก็ได้เห็นจุดแสงนับไม่ถ้วนลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน เหมือนกับเปลวเพลิงและดวงดาวที่เคยปรากฏบนศิลากำเนิดเทพอันเป็แนวทางโคจรพลังแห่งเพลิงต้นกำเนิดแบบหนึ่ง เพลิงจากดวงดาวที่เผาผลาญทุกสิ่ง นั่นคือร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของเพลิงจิติญญาอย่างหนึ่งเช่นกัน... ในเวลานี้ ลั่วถูรู้แจ้งได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าวันที่อยู่ใต้ศิลากำเนิดเทพครั้งนั้น
“ตึ๊ง... ” ลั่วถูคล้ายว่าได้ยินเสียงดีดสายของพลังิญญา เหมือนกับในรากิญญาหลากสีของเขา มีสีแดงปรากฏแทรกขึ้นอยู่ภายใน จากนั้นส่องสว่างเรืองรองราวกับเส้นด้ายทองคำอย่างไรอย่างนั้น เขาััได้ว่ารากิญญาของตนมีคลื่นพลังแบบเดียวกันกับเพลิงต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ หลังจากนั้นเพลิงต้นกำเนิดก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด รากิญญาที่เดิมทีเป็สีขุ่นมัวพลันใสสะอาดขึ้นมา...
“นี่มัน... ” ในใจลั่วถูตื่นเต้นยินดีจนพูดไม่ออก นี่เขาเปิดิญญาสำเร็จแล้วหรือ? เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็คลื่นพลังแบบเดียวกันกับพลังเพลิงต้นกำเนิด ราวกับจับคลื่นพลังที่พิเศษกระแสหนึ่งได้ ถึงขนาดดูดพลังแห่งเพลิงเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ลั่วถูกลับต้องสับสนอีกครั้ง นั่นคือสีที่แปลกประหลาดสีหนึ่งในร่างของเขา ทั้งที่ส่วนอื่นๆ ในรากิญญาของเขายังคงขุ่มมัว เทียบได้กับผ้าที่ทออย่างเละเทะผืนหนึ่ง ทันใดนั้นด้ายเส้นหนึ่งในผืนผ้ากลับถูกย้อมด้วยสีสว่าง ถึงแม้ส่วนที่สว่างจะเด่นชัดขึ้นมาจุดเดียว ทว่าส่วนที่เหลือทั้งหมดยังคงมืดดำเช่นเดิม
แต่ลั่วถูก็ทำอะไรไม่ได้ รากิญญาของเขาเดิมทีก็สับสนวุ่นวาย ปะปนกันเละเทะไปหมด จากสายตาของคนในตระกูล มันช่างเป็รากิญญาที่ไร้ประโยชน์ที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอ เขาััถึงพลังแห่งเพลิงต้นกำเนิดได้ เกรงว่าสาเหตุคงเป็เพราะเขารู้แจ้งพลังบางอย่างในศิลากำเนิดเทพ แต่ไม่ใช่เพราะเขาััถึงพลังธาตุไฟได้แต่อย่างใด ไม่ต้องพูดถึงการดึงดูดพลังธาตุไฟด้วยซ้ำ...
ใช่แล้ว ลั่วถูรู้ว่าการเปิดิญญาของตัวเขาดูจะแตกต่างกับคนอื่น กระบวนการของคนอื่น หลังจากรากิญญารับคลื่นพลังธาตุจากฟ้าดินได้ แล้วรักษาคลื่นนั้นให้สั่นพ้องไว้ใน่เวลาหนึ่ง ทว่ากระบวนการของเขาไม่ใช่รากิญญารับคลื่นพลังแบบเดียวกันกับพลังธาตุแห่งฟ้าดิน แต่เป็ิญญาของเขาผสานเข้ากับพลังเพลิงต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินต่างหาก จากนั้นกระตุ้นเส้นรากิญญาของเขาเส้นหนึ่งให้กลายพันธุ์ ถึงขนาดสามารถใช้พลังของเพลิงต้นกำเนิดได้โดยตรง
พลังต้นกำเนิดกับพลังธาตุนั้นต่างกัน เหมือนกับน้ำสุราที่มีส่าเหล้าเป็แก่นสำคัญอย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่เขารู้แจ้งคือแก่นแท้ไม่ใช่พลังิญญาธาตุ... สำหรับความแตกต่างนี้แท้จริงแล้วมากมายขนาดไหน ตัวเขาตอนนี้นั้นยากจะตัดสินได้ แต่อย่างน้อยก็พอจะทำให้เขามองเห็นความหวังบางอย่าง เป็ไปได้ว่าสิ่งนี้เองก็นับเป็การเปิดิญญาอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่อาจไม่เป็ที่ยอมรับของผู้คนเท่านั้น
“ตูม... ” ลั่วถูรู้สึกร่างกายสั่นไหวในทันที ราวกับิญญาร่วงลงมาจาก์เก้าชั้นฟ้าดิ่งพสุธากลับเข้าร่างของตน เมื่อจิตใจของเขาได้สติฟื้นคืน ก็ต้องพบว่ากระโจมของเขาถูกไฟเผาจนแทบเป็จุณ เป็เพราะเขาสูดควันกลุ่มนั้นเข้าไปถึงได้สำลักจนตื่นนี่เอง จิตของเขาถึงกลับเข้าร่างเดิมได้ มองดูตนเองก็พบว่าตัวเขากำลังเปลือยอยู่บนพื้นไม้สีดำ นั่นคือซากถังไม้ที่ก่อนหน้านี้เคยมียาหลอมกายใส่ไว้จนเต็ม เพียงแต่ตอนนี้ถังไม้ถูกเผาจนเกรียม นอกกระโจมมีเสียงตื่นใของซ่งตงและเจียงิ่ดังลอยมา เพียงแต่ถูกเปลวไฟลุกลุกไหม้รุนแรงขวางทางไว้จนเกินไปทำให้พวกเขาเข้ามาไม่ได้
ซ่งตงกับเจียงิ่ใแทบแย่ เดิมทีพวกเขาเฝ้าลั่วถูอยู่นอกกระโจม พยายามไม่ให้คนเข้าไปรบกวนลั่วถู ดังนั้นพวกเขาจึงทำเพียงระวังไม่ให้คนเข้าไป เดิมทีก็ไม่ได้สนใจสถานการณ์ภายในกระโจมเป็พิเศษนัก จนกระทั่งตอนที่พวกเขาเฝ้ากระโจมผ่านอยู่นานพอสมควร ซ่งตงก็เริ่มรู้สึกได้ว่าราวกับพลังธาตุรอบด้านถูกดึงดูดเข้าสู่กระโจม นั่นหมายความว่าลั่วถูได้เข้าสู่ขั้นตอนเปิดิญญาขั้นที่สำคัญที่สุดแล้ว เขายิ่งไม่กล้าไปรบกวนสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่ายังไม่ทันได้คิดมาก ทั้งกระโจมของลั่วถูก็ติดไฟลุกไหม้ขึ้นทันที ช่างเป็เปลวไฟที่น่าสยดสยองยิ่งนัก ราวกับเปลวไฟบนพื้นปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า กระโจมที่มีเส้นรอบวงจั้งกว่าเหมือนกับมีกลุ่มเปลวไฟขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้น กระทั่งมิติว่างเปล่าก็ถูกเผา จนไม่เหลือเชื้อเพลิงแล้ว แต่เปลวเพลิงกลับยังมีอุณหภูมิสูงจนน่ากลัว กระโจมถูกเผาด้วยเพลิงอุณหภูมิสูงในเสี้ยววินาที
ซ่งตงใมาก เขาคิดจะพุ่งตัวเข้าไปในกระโจมเพื่อช่วยลั่วถู ทว่าพอได้ัักับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำเข้าก็แทบจะเผาร่างของเขาไปด้วย อีกทั้งยังดูเหมือนเป็เปลวเพลิงที่ต้นเพลิงลุกไหม้จากภายในสู่ภายนอก เขาได้แต่ใจนต้องถอยกลับมา
ส่วนเจียงิ่รีบร้อนไปหาน้ำ ทว่าเปลวไฟนี้ราวกับไม่อาจดับได้ด้วยน้ำ ยิ่งเทลงไปก็เหมือนกับราดน้ำมันลงกองเพลิงมีแต่จะทวีความรุนแรงของเปลวเพลิงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความร้อนที่น่าพรั่นพรึงทำให้พวกเขาได้แต่ถอยหนีจนล้มไปกองอยู่กับพื้น
โชคดีที่ค่ายของตงหลี่เช่อตั้งอยู่รอบนอกของตัวค่าย ถึงอย่างไรในกองทัพก็แทบไม่มีทหารอยู่เลย ที่รอดกลับมาก็มีแค่ไม่กี่สิบคน ยังไม่มีกำลังเสริมมาเพิ่มเติม แถมตงหลี่เช่อยังถูกสอบสวนอยู่ที่วิหารเสินจั้น จึงตั้งค่ายในทำเลดีๆ ไม่ได้ ได้แต่ถูกจัดให้อยู่ห่างออกไปอย่างจงใจ ไฟที่ปรากฏขึ้นในครั้งนี้ถึงจะรุนแรงมาก แต่กลับไม่ได้ส่งผลกระทบสักเท่าไร และในขณะที่ซ่งตงร้อนรนจนแทบวิ่งพล่านอยู่นั้นเอง ราวกับเปลวไฟที่โหมไหม้อยู่บนพื้นดินเผาไหม้ทุกอย่างจนไม่มีเชื้อเพลิงให้เผาอีก เปลวเพลิงพลันหดตัวลงดูราวกับถอยกลับไปในดิน และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด เหลือไว้เพียงกระโจมที่ยังติดไฟอยู่ดูคล้ายกับคบเพลิงขนาดั์ไม่มีผิด
“ลั่วอูฐ... ” เมื่อซ่งตงเห็นเปลวไฟที่น่าสยดสยองมอดหายไปจากพื้น ก็รีบพุ่งเข้าไปทันที แต่กลับพบว่ามีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งตัวออกจากทะเลเพลิงเสียก่อน จากนั้นกลิ้งตัวไปมาพื้น ถ้าไม่ใช่ลั่วถูแล้วจะเป็ใครได้อีก
“ซ่า...” เจียงิ่สาดน้ำไปยังร่างที่กำลังกลิ้งอยู่บนพื้น ใบหน้าดำกับเส้นผมที่ถูกไฟเผาของลั่วถู ดูเหมือนกับออกมาจากเตาเผาอย่างไรอย่างนั้น
“ฟู่... ” ลั่วถูอ้าปากกว้าง สิ่งที่ถูกพ่นออกมากลับเป็ควันเต็มปาก ดวงตาทั้งสองข้างไร้แววตาดูเฉื่อยชาราวกับไร้ิญญาก็ไม่ปาน
“ลั่วอูฐ เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม... ” ฝ่ายซ่งตงที่พอได้เห็นสภาพของลั่วถู ก็ได้แต่เอ่ยถามอย่างร้อนรน
“เกิดเื่อะไรขึ้น... ” ฉีหลางเองก็รีบตามมา เื่ที่กระโจมหลังนี้เกิดไฟไหม้ ถึงในค่ายจะมีคนไม่เยอะนักมิหนำซ้ำยังอยู่ห่างกันมากอีก แต่เมื่อเกิดเพลิงลุกไหม้ ก็มีการแจ้งเตือนถึงทุกคนทันที เงาคนหลายคนกำลังรุดหน้ามาทางพวกเขาแล้ว
“ไม่ ไม่มีอะไร เมื่อครู่ข้ากำลังปรุงยา ไม่ระมัดระวังทำเตาปรุงยาะเิ ไฟก็เลยไหม้กระโจม...” ลั่วถูอธิบายด้วยท่าทางอับอาย เดิมทีซ่งตงกำลังจะเอ่ยปากอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินลั่วถูอธิบายเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ถึงจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเื่อะไรขึ้น แต่ในเมื่อลั่วถูไม่อยากพูดถึง นั่นหมายความว่าเขาต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่นอน
“เวรเอ้ย เ้าเด็กนี่ยังหาเื่ฝึกปรุงยาอีกเรอะ คนอย่างเ้ายังไม่แม้แต่เปิดิญญา ยังจะฝึกปรุงยาอีก อย่ารนหาที่ตายดีกว่า!” ฉีหลางด่าออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ เ้าหมอนี่พอเห็นว่าลั่วถูปลอดภัยดีก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
“ครั้งหน้าระวังหน่อย อย่าไปเที่ยวอวดเก่งทำเื่อย่างนี้อีก ฉีหลาง เปลี่ยนกระโจมให้ลั่วน้อยที” เฉิงอิงก็รีบตามมาเช่นกัน เมื่อเห็นท่าทีอับอายของลั่วถูก็ทำเพียงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตบบ่าลั่วถูและกล่าวเตือนอย่างจริงใจ แต่สุดท้ายยังออกคำสั่งให้ฉีหลงเปลี่ยนกระโจมให้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่าเฉิงอิงรู้สึกดีกับลั่วถูไม่เบาทีเดียว
“ขอบคุณพวกท่านมากขอรับ ลั่วถูประมาทเอง ครั้งหน้าข้าจะระวัง... ” ลั่วถูโค้งคำนับ เขารู้ว่าครั้งนี้คงปล่อยผ่านไปได้ เพียงแต่อีกสักครู่อาจต้องอธิบายให้ซ่งตงกับเจียงิ่ฟัง เื่แบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งเคยเจอครั้งแรก ตอนที่อยู่ใต้ศิลากำเนิดเทพ เขาเผาพื้นที่ในรัศมีสิบกว่าจั้งรอบตัวจนกลายเป็พื้นดินเผา แต่ครั้งนั้นไม่ได้อยู่ในป่าและไม่มีควันให้สำลักจนตื่นเหมือนครั้งนี้ อาจเป็เพราะครั้งนั้นเขาถูกพิษด้วย จึงสลบไป ส่วนครั้งนี้มีเพียงจิติญญาที่หลุดออกจากร่าง ทว่าััิญญายังคงตื่นอยู่อย่างสมบูรณ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้