มู่จื่อหลิงมอบปริมาณการใช้ยาและวิธีการใช้ให้เสี่ยวหาน กำชับอย่างจริงจัง
“เสี่ยวหาน อีกเดี๋ยวข้ายังมีธุระอื่นอีก เ้าพาจี๋เสียงและหรูอี้นำยาเหล่านี้ไปส่งที่สวนจิ้งซิน กระดาษแผ่นนี้มอบให้ท่านพ่อ ให้เขาทำตามวิธีการที่ข้าเขียนเอาไว้ ขากลับให้หรูอี้คอยอยู่ช่วยที่นั่น มีเื่ใดค่อยกลับมารายงานข้า เดินทางระวังด้วยล่ะ”
เสี่ยวหานได้ยินบทสนทนาของมู่จื่อหลิงและมู่เจิ้นกั๋ว นางรู้ว่านายน้อย้ารักษาอาการป่วยให้นายหญิงหลี่ ก็ดีใจยิ่งนัก
ยามนี้นางจึงมิได้ถามสิ่งใดเพิ่มอีก เพียงผงกศีรษะอย่างจริงจัง “นายน้อยวางใจ บ่าวจะต้องนำยาเหล่านี้ไปส่งที่สวนจิ้งซินให้เรียบร้อยแน่นอนเ้าค่ะ”
รถม้าของพวกเสี่ยวหานเพิ่งจากไป มู่จื่อหลิงยังมิทันได้หายใจหายคอก็เห็นหลงเซี่ยวอวี่เดินเข้ามาหานางโดยไร้ซึ่งสุ้มเสียง
หลงเซี่ยวอวี่เดินเข้าไปใกล้มู่จื่อหลิงอย่างเฉยเมย เหลือบมองรถม้าของพวกเสี่ยวหานที่ออกไปไกลแล้ว ทว่ามิได้ถามสิ่งใด
เพียงถามอย่างเ็า “ไปได้แล้ว?”
คำพูดน้อยนิดเสียจนน่าอนาถใจ วาจาไร้สาระล้วนมิกล่าวเพิ่มแม้สักประโยค!
“รอก่อนเพคะ หม่อมฉันไปหยิบล่วมยาเสียก่อน” มู่จื่อหลิงมิกล้าได้คืบจะเอาศอกอีกแล้ว
นางรู้ดีว่าเมื่อวานนี้นางทำเกินเื่ไปเสียหน่อย หลงเซี่ยวอวี่ที่มิว่ากับผู้ใดก็ล้วนมีท่าทางสูงศักดิ์ เมื่อวานเขาไม่บันดาลโทสะใส่นางก็นับว่าเป็บุญแล้ว
คราวนี้พวกเขาไม่ได้เหาะไปเหมือนเมื่อวาน แต่นั่งรถม้าไปแทน ยังคงเป็รถม้าคันใหญ่ที่นั่งเมื่อครั้งไปงานเลี้ยงในวังหลวงคันนั้น
คราวนี้มู่จื่อหลิงไม่ไร้เหตุผลอีก ไม่ว่าเขาจะแสดงละครหรือไม่ หลงเซี่ยวอวี่ให้นางทำสิ่งใด นางให้ความร่วมมือทำสิ่งนั้นก็เพียงพอแล้ว
บนรถม้า
“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมิให้เล่อเทียนไปรักษาเล่า?” มู่จื่อหลิงโยนคำถามของเมื่อวานนี้ออกมาอีกครั้ง นางมิกล้ายืนยันว่าหลงเซี่ยวอวี่จะตอบนางหรือไม่
ทว่านางยังไม่ยอมแพ้ หากเล่อเทียนรักษาได้ นางก็จะไม่ก้าวลงไปในน้ำโคลนบ่อนี้ สายน้ำในวังหลวงลึกนัก นางมิปรารถนาที่จะถูกลากลงน้ำไปอย่างง่ายๆ
หากรักษาหลงเซี่ยวหนานจนหาย ทักษะทางการแพทย์ของนางคงถูกเปิดโปงเป็แน่ ไม่รู้ว่าไทเฮาจะมีปฏิกิริยาเช่นใด งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งก่อนก็ยั่วโทสะของไทเฮาจนเหลือจะทน คาดว่านางคงมิยอมเลิกราแต่โดยดีแน่
หลงเซี่ยวอวี่ตอบเป็ครั้งแรก ตอบเพียงง่ายๆ สองคำว่า “ติดธุระ!”
มู่จื่อหลิงตะลึงไปครู่หนึ่ง มิได้ถามต่อไปอีก หลงเซี่ยวอวี่กล่าวเช่นนี้เป็เพราะไม่อยากให้นางรับรู้แน่ๆ นางถามต่อไปคงไม่ดีนัก
“สามารถใช้ยาควบคุมอาการปวดได้หรือไม่?” ยามนี้หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยปากอีก
หลงเซี่ยวหนานล้มป่วยในคราวนี้ ยาที่เล่อเทียนจัดให้เมื่อครั้งก่อนก็ล้วนไร้ผล และเล่อเทียนเองยามนี้ก็ยุ่งอยู่กับเื่อื่น บรรดาหมอไร้ฝีมือกลุ่มนั้นแม้แต่สาเหตุก็ยังดูไม่ออก
เดิมทีเขามิได้นึกถึงมู่จื่อหลิงโดยสิ้นเชิง เป็เล่อเทียนเสนอเขา ให้ถือโอกาสนี้ทดสอบสตรีผู้นี้
เขาเคยเห็นเพียงมู่จื่อหลิงที่ถอนพิษให้กุ่ยหยิ่ง ทั้งยังลงมือได้อย่างชำนิชำนาญ และไม่แน่ใจว่านางแค่ถอนพิษได้ หรือยังมีทักษะการแพทย์ด้วย
มู่จื่อหลิงที่ถูกถามก็ไม่เข้าใจเล็กน้อย ถามนางว่าอาการเจ็บป่วยของหลงเซี่ยวหนานสามารถใช้ยาควบคุมไว้ได้หรือไม่? ทว่าโรคของหลงเซี่ยวหนานสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุได้ เหตุใดจึงต้องใช้ยาควบคุมด้วย
“ท่านอ๋อง สามารถใช้ยาควบคุมไว้ได้ แต่เป็การรักษาที่ปลายเหตุมิใช่ต้นเหตุ เพียงแค่ระงับอาการปวดไว้เท่านั้น หม่อมฉันมีวิธีรักษาที่ตรงจุด ทว่าวิธีนั้นแปลกประหลาด มิรู้ว่าท่านอ๋องจะรับได้หรือไม่” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างจริงจัง
เมื่อหลงเซี่ยวอวี่ได้ฟังวาจาของมู่จื่อหลิงสายตาก็ฉายแววตกตะลึง ก่อนจะหายวับไป เขามิได้กล่าวอันใดเพิ่ม เพียงแค่มองมู่จื่อหลิง ราวกับรอให้นางกล่าวต่อไป
มู่จื่อหลิงกล่าวออกมาสองคำอย่างระมัดระวัง “เปิดกะโหลกเพคะ” ในยุคสมัยแห่งศักดินาเช่นนี้ ผ่าท้องก็เป็ข้อห้ามใหญ่แล้ว มิต้องกล่าวถึงเปิดศีรษะ
นางมิกล้าคาดหวังว่าหลงเซี่ยวอวี่จะตอบรับ ทว่านางก็ยังกล่าวออกมา นางคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่คงจะอยากให้หลงเซี่ยวหนานหายเป็ปกติ มิงั้นคงไม่เชิญหมอด้วยตนเอง
อย่างไรเสียก็เป็บุตรชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ หากเกิดเื่อันใดขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงนาง แม้แต่จวนสกุลมู่ก็คงต้องประสบหายนะไปด้วย
นางกลับไม่ห่วงจวนฉีอ๋อง เพราะจวนฉีอ๋องมีพระพุทธรูปเช่นฉีอ๋องอยู่ ต่อให้ท้องนภาถล่มลงมาก็มิอาจพินาศไปถึงเขาได้
หากหลงเซี่ยวอวี่ไม่ตกลง ก็คงทำได้เพียงใช้ยาควบคุมเอาไว้ แต่เนื้องอกของหลงเซี่ยวหนานนั้นนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงระยะสุดท้ายก็จะอันตรายจนถึงชีวิต
หลงเซี่ยวอวี่ได้ยินวาจาของมู่จื่อหลิง ใบหน้าก็ยังคงมิได้แสดงความรู้สึกอันใด แต่ในใจกลับใอยู่เล็กน้อย มิได้กล่าววาจาอยู่นาน ในขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังคิดว่าเขาจะปฏิเสธอยู่นั้น
หลงเซี่ยวอวี่กลับเอ่ยปากอย่างเฉยเมยว่า “มั่นใจอยู่กี่ส่วน”
อย่างไรเสียก็เป็ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายนัก เมื่อฟังแล้วจึงยังสามารถสงบเช่นนี้ได้
คำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ทำให้มู่จื่อหลิงใ ไม่นึกว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่ปฏิเสธ และไม่ถามว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้ แต่ถามนางว่าการรักษามีโอกาสสำเร็จเท่าใด
“เก้าส่วนเพคะ แต่ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนรบกวน หม่อมฉันรับรองความสำเร็จของการผ่าตัดได้ ทว่าการเปิดกะโหลกนั้นอาจจะมีรอยขนาดใหญ่หรือเล็ก ขอเพียงองค์ชายห้าไม่เป็อะไร หวังว่าท่านอ๋องเองก็จะคุ้มครองหม่อมฉันให้อยู่รอดปลอดภัย” หมู่จื่อหลิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเช่นเดิม
ยามนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือรักษาหลงเซี่ยวหนาน เื่ที่นางสามารถรักษาโรคได้คงมีคนรู้อีกเป็จำนวนมากในเร็วๆ นี้เป็แน่
ในวังหลวงคนมากปากหอยปากปูเยอะ หากลอยไปเข้าหูฮ่องเต้หรือไทเฮาเข้า นางคิดว่าแม้แต่ประตูวังก็คงเข้ามามิได้ ไม่แน่ว่าอาจลงโทษนางฐานกล่าววาจาไม่รู้เื่ก็เป็ได้
หากนางทำการผ่าตัดครั้งนี้ต้องมีความวุ่นวายตามมาไม่หยุดหย่อน นางจำเป็ต้องพูดให้ชัดเจนเสียก่อน มิใช่พอถึงเวลานั้นช่วยชีวิตคนได้แล้ว ชีวิตน้อยๆของตนเองกลับสูญสิ้น
นางไม่ทำการค้าขาดทุน นำชีวิตตนเองมาล้อเล่น!
“ขอเพียงสามารถรักษาหายได้ จะไม่มีผู้ใดกล้าทำอันใดเ้า” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยปากรับรองอย่างเหนือความคาดหมาย
สตรีผู้นี่ไม่โง่ ในยามสำคัญยังรู้จักปกป้องชีวิตตนเองก่อน เขาเข้าใจคำของนางที่ว่าไม่มีคนรบกวนนางนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ปัญหานี้เขาไม่กังวลเลยสักนิด
เพียงแต่เขาไม่นึกเลยว่าหญิงผู้นี้จะอาจหาญนัก กล้ากล่าวออกมา นางคงไม่รู้ว่าแค่สองคำนั้นที่นางเอ่ยออกมา เขาก็สามารถทำให้นางฝังร่างอยู่ที่นี่ได้แล้ว
เล่อเทียนเองก็เคยพูดวิธีการนี้ แต่เล่อเทียนนั้นมีความมั่นใจเพียงสามส่วน และเขาเองก็ไม่กล้าตัดสินใจลองอย่างง่ายดายเช่นนั้น
มู่จื่อหลิงมั่นใจถึงเก้าส่วน ทั้งยังรับรองกับเขาว่าสามารถรักษาจนหาย แต่นางนั้นรู้หรือไม่ว่าหากเกิดเื่อันใดขึ้น มิใช่แค่เพียงนาง แต่จวนสกุลมู่ทั้งจวนก็จะถูกฝังไปกับนางด้วย
นางเป็สตรีเช่นใดกันแน่ ทุกครั้งที่นางเผชิญกับการรักษาโรคช่วยชีวิตผู้คนถึงได้สงบเยือกเย็นเช่นนี้
รถม้าแล่นไปจนถึงตำหนักหนานเหอ ตำหนักหนานเหอในเวลานี้ไม่ได้เงียบสงัดดั่งเช่นเมื่อวานนี้ มีเสียงร้องอาละวาดอย่างสิ้นสติและเสียงข้าวของตกดังออกมาจากด้านในไม่ขาดสาย
“รออยู่ตรงนี้” หลงเซี่ยวอวี่กล่าวกับมู่จื่อหลิงอย่างเ็า จากนั้นตนเองจึงเดินเข้าไป
หลังจากหลงเซี่ยวอวี่เข้าไป เสียงจากด้านในตำหนักก็เงียบลงในชั่วพริบตา
เวลานี้เองกุ่ยหยิ่งก็เดินออกมาจากด้านใน กล่าวกับมู่จื่อหลิงด้วยสีหน้าแฝงแววเคารพ “หวางเฟย ท่านอ๋องเชิญท่านเข้าไปด้านในขอรับ”
มู่จื่อหลิงพยักหน้า ยกกระโปรงขึ้นก้าวเข้าไป
หลงเซี่ยวเจ๋อก็อยู่ด้านในด้วย เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงเข้ามา เขาจึงวิ่งเข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น “พี่สะใภ้สาม ได้ยินว่าท่านสามารถรักษาพี่ห้าได้ ท่านจะใช้วิธีใดหรือ?”
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อก็รู้สึกปวดหัว นางมิได้ตอบคำถามหลงเซี่ยวเจ๋อ แต่มองไปที่หลงเซี่ยวอวี่
“ผู้ใดไม่มีธุระออกไปให้หมด เฝ้านอกประตูเอาไว้!” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยอย่างทรงอำนาจ
“ข้าน้อยทูลลา” กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยทำท่าคารวะแล้วทูลลา
หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ ก็มิได้ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย กล่าวกับมู่จื่อหลิงอย่างขุ่นเคืองว่า “พี่สะใภ้สาม ข้ารออยู่ด้านนอก มีเื่...”
หลงเซี่ยวเจ๋อยังมิทันกล่าวจบก็ถูกสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อ กลืนคำว่า ‘เรียกข้า’ ลงไปต่อหน้าต่อตาทันที จากนั้นจึงก้าวขาเผ่นออกไป
มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างอับจนวาจา หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้ช่างกาไหนไม่เดือดหยิบกานั้น [1] เสียจริง ต่อให้ความสัมพันธ์ของนางกับหลงเซี่ยวอวี่ไม่ดี หากนางมีเื่ก็มิกล้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่อยู่ดี
นางเห็นสายตาของหลงเซี่ยวอวี่มองมายังนางอีกครั้ง ก็รีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที
“ท่านอ๋อง ท่านก็ออกไปเถิดเพคะ” มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะฟังหรือไม่
การผ่าเปิดกะโหลกนั้นมิใช่เพียงแค่ใช้มีดผ่าตัดเล่มหนึ่งอย่างง่ายๆ ก็เสร็จเรียบร้อย ยังต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออีกบางส่วน หลงเซี่ยวอวี่มองอยู่เช่นนี้นางจะเอาออกมาได้อย่างไร
หลงเซี่ยวอวี่ยืนนิ่งไม่ขยับ สายตาเย็นเยียบจ้องมาที่นาง “มู่จื่อหลิง เ้ากำลังไล่เปิ่นหวาง!”
“ท่านอ๋อง การผ่าตัดเปิดกะโหลกน่ากลัวนัก ไม่สามารถมีข้อผิดพลาดใดได้ ท่านอยู่ตรงนี้หม่อมฉันจะว่อกแว่กเอาได้ หากเกิดอันใดขึ้นหม่อมฉันคงรับผิดชอบไม่ไหว หากท่านอ๋องไม่วางใจหม่อมฉัน เช่นนั้นก็ไปเชิญผู้มากฝีมือท่านอื่นเถิดเพคะ”
มู่จื่อหลิงสอดประสานสายตากับหลงเซี่ยวอวี่ ไร้ซึ่งความเกรงกลัวโดยสิ้นเชิง กล่าวต่อไปอย่างจริงจัง หากหลงเซี่ยวอวี่ยังไม่ไป นางก็หมดหนทางช่วยคนแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแค่จ้องนาง สีหน้ามู่จื่อหลิงจริงจัง ทำให้คนจับพิรุธใดๆ ไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน หลงเซี่ยวอวี่จึงหมุนกายเดินออกไป
มู่จื่อหลิงยังไม่ลืมพูดเตือนอีกประโยค “ท่านอ๋อง หากหม่อมฉันไม่ออกไป ผู้ใดก็เข้ามามิได้ทั้งนั้น”
หลงเซี่ยวอวี่ได้ยินก็ชะงักฝีเท้าสีหน้ามืดครึ้ม จากนั้นจึงยื่นมือไปปิดประตู
ด้านนอกประตู
“พี่สาม เหตุใดท่านจึงออกมาเล่า หรือว่าโดนพี่สะใภ้สามไล่ออกมา?” ต้องกล่าวว่าที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดนั้นเป็ความจริง แต่เขากล่าววาจาโดยมิผ่านสมอง กล่าวออกมาตามใจคิด
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยมองหลงเซี่ยวเจ๋อด้วยท่าทางภาวนาขอความโชคดีให้แก่ตนเอง สิ่งใดคือถูกหวางเฟยไล่ออกมา ท่านอ๋องมิเคยให้คนชี้นิ้วสั่งมาก่อนเลย
“ดูท่าว่ามิได้ไปอวี่กงมาหลายวัน เ้าคงคิดถึงเป็อย่างยิ่ง” หลงเซี่ยวอวี่กล่าวอย่างสงบ
หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินก็ขนลุกขนพอง ตอบอย่างโง่งม “พี่สาม ข้าเพียงพูดมั่วๆ เท่านั้น ท่านจะถูกไล่ออกมาได้อย่างไรกัน เฮอะๆ ”
กล่าวจบก็ตบปากตนเองอย่างโกรธเคือง เหตุใดจึงได้ปากพล่อยเช่นนี้ ต่อให้พี่สามถูกไล่ออกมาจริงๆ ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้
ทว่าเขาช่างน่าสงสารนัก พี่สามและพี่สะใภ้สามเอะอะก็รังแกเขา ข่มขู่เขา
หลงเซี่ยวอวี่เหลือบไปมองเขาด้วยสายตาเด็ดขาด นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของสตรีผู้นั้น จึงให้กุ่ยหยิ่งไปย้ายเก้าอี้มา แล้วนั่งลงด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
-
มู่จื่อหลิงรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่อยู่ข้างนอก จึงไร้ความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง แต่นางก็ยังต้องระมัดระวังอยู่ มิแน่ว่าทันทีที่ย่างเท้าก้าวเข้ามาในวังหลวง ข่าวก็ลอยไปถึงหูไทเฮาแล้ว
นางจัดการอาภรณ์ที่เกะกะขวางทางให้เรียบร้อย ใช้ลายนิ้วมือเปิดล่วมยา นำอุปกรณ์การผ่าตัดทั้งหลายออกมา
นางนำเครื่องมือออกมาจากระบบซิงเฉิน พวกเครื่องมือเหล่านี้ล้วนใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการทำงาน อุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในยุคสมัยไร้พลังงานไฟฟ้าเช่นนี้จึงยังสามารถใช้ได้ตามใจนึก พอเตรียมข้าวของเสร็จแล้วจึงเริ่มการผ่าตัดทันที
นางหยิบกรรไกรมาตัดผมส่วนหนึ่งของหลงเซี่ยวหนานออก สวมถุงมือป้องกัน จากนั้นจึงฆ่าเชื้อโรค ทาไอโอดีน ฉีดยาชา ทุกขั้นตอนล้วนทำได้อย่างคล่องแคล่ว ไร้ซึ่งความอืดอาดชักช้า
หยิบมีดผ่าตัดคมกริบขึ้นผ่าบริเวณที่ถูกโกนออกอย่างเชื่องช้า!
มู่จื่อหลิงในเวลานี้ได้เปลี่ยนเป็อีกคนโดยสิ้นเชิง บรรยากาศเยือกเย็น สุขุม และรอบคอบแผ่ออกมาจากด้านใน เหมือนกับตัดขาดจากโลกภายนอก ในดวงตามีแค่มีดผ่าตัดเล่มนั้นและศีรษะของหลงเซี่ยวหนาน
โลหิตสดๆ พุ่งออกมาจากาแไม่หยุด ทว่ามู่จื่อหลิงกลับมิได้ลนลานแม้แต่น้อย หนีบหลอดเือย่างคล่องแคล่วโดยที่ดวงตายังไม่กะพริบด้วยซ้ำ
เืค่อยๆ หยุดไหลอย่างช้าๆ เพียงเปิดโคมไฟนางก็หาเนื้องอกที่มีขนาดเท่าไข่ของนกพิราบเจออย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนี้เอง ก็มีเสียงดังลอยมาจากด้านนอกประตู
----------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กาไหนไม่เดือดหยิบกานั้น หมายถึงพูดถึงเื่ที่ไม่ควรพูด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้