พลังทำลายล้างกัดกร่อนร่างเย่เฟิงอย่างต่อเนื่องจนใบหน้าของเย่เฟิงซีดลงเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาไร้กำลังต้านทานพลังทำลายล้างนั่น ก็มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งมา ลำแสงที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบนั้นอัดแน่นไปด้วยแสงแห่งการทำลายล้าง พลังเช่นนั้นมิอาจต่อต้านได้
“นั่นมัน...” เหล่าผู้คนตะลึงค้าง ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่น้อยจับการเคลื่อนไหวของลำแสงได้ในพริบตาเดียว พลังที่น่ากลัวเช่นนั้นทำให้พวกเขาใจเต้นรัว
“ฉึก!” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้คนเห็นลำแสงนั่นทำลายเกราะป้องกันของผู้าุโเฉินคนนั้น ก่อนจะตรงเข้าทะลวงหน้าผากของเขา ทำให้โลหิตสีแดงพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุก็ไม่ปาน ผู้าุโคนนั้นไม่อยากเชื่อสายตา จากนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น และเสียชีวิตลง...
นั่นคือลูกศร มันสามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ได้ในชั่วพริบตา ซึ่งสามารถคาดเดาถึงพลังของมันได้เลย
“ดูซิว่าใครจะกล้าแตะต้องเขาอีก!” ลำแสงลูกศรนั้นหายไป ตามมาด้วยเสียงเยือกเย็นดังกึกก้อง จากนั้นเห็นคนหนึ่งทะยานร่างมาจากทิศหนึ่งเพื่อมาเยือนเวทีประลองแห่งนี้
เย่เฟิงอึ้งไปเล็กน้อย คนผู้นี้อายุประมาณ 30 ปี แววตาของเขาแหลมคม มือถือธนู สวมชุดเกราะสีเงินดูน่าเกรงขามเป็อย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยังพิสูจน์ตัวตนของเขาได้อีก เขาคือขุนพลแห่งกองทัพอาณาจักรจ้าว ผู้ที่ยิงลูกศรสังหารผู้าุโเฉินคนนั้น
“ครืน...” เสียงกีบเหล็กดังกึกก้องทั่วลานประลอง พื้นดินสั่นะเื ม้าศึกส่งเสียงร้อง
ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวเข้าห้อมล้อมเวทีประลอง พวกเขาต่างถือขวานปากไก่ เคลื่อนไหวเป็หนึ่งเดียว พลังสังหารแกร่งกล้า
ดวงตาเฉยชาส่องประกายเย็นะเื เพียงกลิ่นอายนั่นก็ทำให้คนรู้สึกหนาวสั่น
แววตาของผู้คนสั่นระริก วันนี้มีเื่เกิดขึ้นมากมาย เย่เฟิงแสดงความสามารถที่น่าทึ่งกำราบหนานกงหลิงซวง ทำให้ตระกูลหนานกงและตระกูลเฉินอยากฆ่าเขา
ทว่ายามเย่เฟิงตกอยู่ในวิกฤต ขุนพลแห่งกองทัพอาณาจักรจ้าวพร้อมทัพทหารม้าปรากฏตัวขึ้น หนึ่งลูกศรปลิดชีพผู้าุโเฉินผู้อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ เข้าห้อมล้อมเวทีประลอง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้
“คนนั้นคือขุนพลเทพมู่เทียนฉี ไม่นึกว่าขุนพลเทพมู่เทียนฉีจะนำทัพทหารม้ามาบุกสำนักยุทธ์เทียนสวียน!” มีคนหนึ่งกล่าวพลางชี้นิ้วไปยังขุนพลผู้ถือธนูที่อยู่บนเวทีประลอง เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป เหล่าผู้คนต่างตาทอประกาย มู่เทียนฉีคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรจ้าว ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
“ขุนพลเทพมู่เทียนฉี คนนี้ก็คือขุนพลเทพมู่เทียนฉี วรยุทธ์ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด! คนอย่างผู้าุโเฉินบอกฆ่าก็ฆ่า ลงมือได้โเี้มาก” ผู้คนพากันกระซิบกระซาบ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธา
มู่เทียนฉี ขุนพลผู้เลื่องชื่อแห่งอาณาจักรจ้าว คุมด่านเทียนเฉินนับสิบปี ทั้งยังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
มู่เทียนฉีคุมด่านเทียนเฉินได้สามปี กองทัพอาณาจักรฉินที่มีกำลังนับหมื่นก็บุกโจมตีจนด่านเทียนเฉินตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แผ่นดินอาณาจักรจ้าวถูกรุกราน
มู่เทียนฉีนำทัพทหารนับแสนของด่านเทียนเฉินเข้าต่อต้าน ใน่ขาดแคลนอาหารการกิน มู่เทียนฉีและทหารหลายนายตัดสินใจสู้สุดกำลัง เมื่อการรบราฆ่าฟันจบลง ก็ทำให้ศัตรูรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อมู่เทียนฉีคุมด่านเทียนเฉินเข้าปีที่ 5 ก็เกิดการก่อฏในกองทัพและสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูต่างอาณาจักร มู่เทียนฉีจึงใช้วิธีเผด็จศึก เข้าสังหารพวกฏ และสั่งให้กองทัพขึ้นเหนือ เพื่อกู้คืนแผ่นดินที่เสียไป
พอเข้าปีที่ 8 าาฉินหยางรวบรวมทหารนับหมื่นนายลงทางใต้ เพื่อกดดันด่านเทียนเฉิน
มู่เทียนฉีจึงตัดสินใจใช้กลยุทธ์สุมไฟ ทำลายทหารของศัตรูนับหมื่นในคราวเดียว นำทัพโดยขี่ม้าบุกฝ่าฝนนับพันลี้ ทำลายกองทัพอาณาจักรฉินและปลิดชีพาาฉินหยาง
ขุนพลเทพมู่เทียนฉีจึงกลายเป็บุคคลในตำนาน เขาสร้างปาฏิหาริย์หลายครั้งหลายคราจนกลายเป็ขวัญใจของชาวอาณาจักรจ้าว มู่เทียนฉีและกองทัพของเขาคือกำแพงเหล็กกล้าแห่งอาณาจักรจ้าว เมื่อมีเขาอยู่ ด่านเทียนเฉินไม่มีทางล่มสลาย และอาณาจักรจ้าวจะปลอดภัย
แต่มู่เทียนฉีคุมด่านเทียนเฉินมาแสนนาน ชาวเมืองหลวงจึงไม่เคยพบเห็นเขา ทว่าวันนี้ได้เห็นกับตาตัวเอง สมแล้วที่เป็ขุนพลเทพมู่เทียนฉี หนึ่งลูกศรปลิดชีพผู้าุโเฉินผู้อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
อย่างไรก็ตามทุกคนกลับไม่รู้ว่า ทำไมขุนพลเทพมู่เทียนฉีถึงนำทัพทหารม้ามาบุกถึงที่นี่ ทั้งยังช่วยเย่เฟิงสังหารผู้าุโเฉินด้วย?
“พวกเ้าลืมไปแล้วหรือ มารดาของเย่เฟิงผู้นี้คือธิดาตระกูลมู่ เป็พี่น้องแท้ ๆ กับขุนพลเทพมู่เทียนฉี หรือพูดได้ว่าเขาคือท่านลุงแท้ ๆ ของเย่เฟิง เช่นนั้นแล้วการที่ขุนพลเทพมู่เทียนฉีจะช่วยเหลือเย่เฟิงก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร” มีคนหนึ่งพูดขึ้นราวกับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเย่เฟิงกับมู่เทียนฉี แต่เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป เหล่าผู้คนก็ต่างประหลาดใจ
“ฆ่าคนของตระกูลเฉินข้า นี่มันหมายความว่าอย่างไรท่านขุนพลมู่?” เฉินเซี่ยงเทียนเผยสีหน้าอึมครึม แม้เขาจะกล่าวถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงเรียกท่านขุนพลมู่ด้วยความเคารพ
ความเกรงขามของมู่เทียนฉีและทัพทหารม้า แม้แต่เขาเฉินเซี่ยงเทียนก็ยังเกรงกลัวอยู่สามส่วน
“หึ!” มู่เทียนฉีแค่นเสียงเ็า สายตาเฉียบคมจ้องมองคนตระกูลเฉินนั่นพลางกล่าวว่า “ตระกูลเฉินเ้ามีอนาคตที่สดใส กลับลงมือทำร้ายเด็กคนหนึ่งที่อยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายาต่อหน้าประชาชี ข้ากำจัดคนของตระกูลเฉินไปแค่คนเดียวมันก็ถูกสำหรับพวกเ้าแล้ว วันนี้หากใครกล้าแตะต้องเขา คนผู้นั้นต้องตาย!”
แววตาของมู่เทียนฉีเผยแสงเย็นะเืและเปี่ยมไปด้วยจิตอาฆาต นั่นคือหลานชายของเขา หากมีใครกล้าแตะต้องเย่เฟิง เขามู่เทียนฉีจะฆ่าอย่างไม่ไยดี
คำพูดของมู่เทียนฉีแฝงด้วยความโอหัง เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเฉินแห่งเมืองหลวง ท่าทีของเขาก็ยังคงแข็งกระด้าง
อย่างไรก็ตามผู้คนในที่แห่งนี้กลับไม่มีใครกล้ากังขาคำพูดของมู่เทียนฉี พวกเขารู้ว่าขุนพลเทพมู่เทียนฉีไม่เพียงแต่มีวรยุทธ์กล้าแกร่ง ทั้งยังเป็คนอำมหิต สังหารอย่างเด็ดขาด คนที่เขาบอกอยากฆ่าก็คือฆ่าจริง ๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็ใครก็ตาม
“เื่ของตระกูลเฉินข้าดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับท่านขุนพลมู่ แต่เหตุใดต้องลงไปลุยในน้ำสกปรกนี้ด้วยเล่า?”
เฉินเซี่ยงเทียนเผยสีหน้าบูดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เมื่อเผชิญกับมู่เทียนฉี ผู้น่าเกรงขาม เขาจะไปหาความมั่นใจมาจากไหนได้
“ช่างน่าขันนัก! เย่เฟิงคือหลานชายข้า เ้าว่าข้าควรยุ่งเื่ของเขาหรือไม่?” มู่เทียนฉีแค่นเสียงเ็า
“แม้ท่านจะกล่าวเช่นนี้ แต่ตามที่ผู้แซ่เฉินเข้าใจ มารดาของเด็กคนนี้ได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลมู่ไปแล้ว” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวหยั่งเชิง
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ สำหรับมู่เทียนฉี ในความทรงจำของเย่เฟิงช่างเลือนรางเหลือเกิน ถึงอย่างไรสิบปีก่อนเขาก็ถูกตระกูลหนานกงรับไปเลี้ยงั้แ่อายุห้าขวบ
แต่เย่เฟิงกลับรู้ว่าท่านลุงคนนี้ของเขาคือคนหนึ่งที่ดีกับเขาที่สุดในตระกูลมู่
ผ่านมาสิบปี ตอนนี้เพิ่งได้พบท่านลุงมู่เทียนฉีอีกครั้ง ทำให้เย่เฟิงอธิบายความรู้สึกออกมาไม่ได้
“ข้าจะยอมให้เ้ามายุ่งเื่ของตระกูลมู่ข้าได้อย่างไร?” มู่เทียนฉีมองเฉินเซี่ยงเทียนด้วยสายตาเย็นเยียบ ตระกูลของพี่เขยล่มสลาย เขามู่เทียนฉีจึงคิดว่าตนติดหนี้หลานชายคนนี้มากเกินไป
มู่เทียนฉีรู้ว่าหนานกงหลิงซวงปลุกิญญาาหงส์ และเื่ที่ตระกูลเฉินล้อมกรอบเย่เฟิง หลังจากตรวจสอบหลายครั้ง มู่เทียนฉีก็ยังรู้ด้วยว่าเย่เฟิงอาจจะปรากฏตัวในการทดสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เมื่อเห็นเย่เฟิงมีพร์ถึงเพียงนี้ มู่เทียนฉีก็รู้สึกสุขใจ ดีใจแทนพี่สาวและพี่เขย
“เ้าเฉินเซี่ยงเทียนแค่สั่งสอนคนของตระกูลเฉินเ้าให้ดี ๆ ก็พอแล้ว” มู่เทียนฉีกล่าวด้วยท่าทีเกรงขาม คำพูดของเขาเฉียบคม ทำให้เฉินเซี่ยงเทียนมีสีหน้าไม่ค่อยดี ถูกมู่เทียนฉีสั่งสอนต่อหน้าประชาชี แล้วเฉินเซี่ยงเทียนจะไม่ขายหน้าได้อย่างไร
“เ้าก็ด้วยหนานกงเฉิน!”
มู่เทียนฉีหันไปมองหนานกงเฉินที่อยู่อีกฟากของเวทีประลอง กล่าวว่า “เสี่ยวเฟิงกับหนานกงหลิงซวงลูกเ้ามีสัญญาหมั้นกัน แล้วก่อนที่เสี่ยวเฟิงจะถูกตระกูลหนานกงเ้ารับเลี้ยง ตระกูลเย่ก็ทำเพื่อตระกูลหนานกงไปตั้งมากมาย ก็หวังว่าเ้าจะใจดีกับเสี่ยวเฟิง แต่หลายปีมานี้ตระกูลหนานกงเ้าทำไมถึงทำเช่นนี้เล่า?”
เสียงของมู่เทียนฉีดังกังวาน ซักถามหนานกงเฉินด้วยคำพูดเชือดเฉือน
หนานกงเฉินหน้าเปลี่ยนสีดูไม่สู้ดี มู่เทียนฉีไม่ใช่คนที่ตระกูลหนานกงเขาจะล่วงเกินได้
ปกติอีกฝ่ายจะอยู่ด่านเทียนเฉิน แต่หนานกงเฉินไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวที่นี่และช่วยเย่เฟิง
“ตระกูลหนานกงเ้าไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก็ช่างปะไร แต่ร่วมมือกับตระกูลเฉินเพื่อกำจัดเด็กแค่อายุ 15 ปี ช่างไร้ยางอายนัก!”
เสียงของมู่เทียนฉีเต็มไปด้วยความดูถูก เหล่าผู้คนต่างมองดูอย่างเงียบ ๆ หนานกงเฉินถึงกับเผยใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองทัพทหารม้าที่ด้านล่างเวทีประลอง ในใจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขารู้ว่าวันนี้พวกเขาพ่อลูกพ่ายแพ้แน่แล้ว ต่อให้มีตระกูลทรงอำนาจอย่างตระกูลเฉินสนับสนุนก็ไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้
หนานกงหลิงซวงกะพริบตาถี่ ก่อนที่นางจะปลุกิญญาาหงส์ ถึงจะเติบโตมาด้วยกันกับเย่เฟิง แต่นางไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดูแคลนความอ่อนแอของเย่เฟิงได้ ทั้งฝึกฝนช้าอยู่คนละชั้นกับนางหนานกงหลิงซวง เขาจึงไม่คู่ควรกับนาง แต่ความจริงจะเป็อย่างที่นางจินตนาการไว้จริงหรือ?
เมื่อพูดถึงพร์ เย่เฟิงปลุกิญญาาเทพัที่ทรงพลังยิ่งกว่า ในการทดสอบสองรอบที่ผ่านมา ซึ่งทำคะแนนดีกว่าหนานกงหลิงซวง ทั้งยังเอาชนะนางที่อยู่เหนือกว่าสองขั้นพลัง พร์เช่นนี้สามารถเทียบเคียงนางหนานกงหลิงซวงได้หรือ?
เมื่อพูดถึงฐานะ เย่เฟิงคือลูกหลานขุนพลผู้สร้างคุณงามความดี บิดามีวรยุทธ์สูงส่ง มีผู้คนนับไม่ถ้วนเคารพเลื่อมใส มีท่านลุงอย่างขุนพลเทพมู่เทียนฉี ฐานะนี้ด้อยกว่านางหนานกงหลิงซวงงั้นหรือ?
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนั้น จู่ ๆ หนานกงหลิงซวงรู้สึกว่าคำพูดเย่อหยิ่งพวกนั้นที่เคยพูดกับเย่เฟิงมันช่างน่าขันเพียงใด นางหนานกงหลิงซวงมีสิทธิ์อะไรไปทำตัวอวดดีต่อหน้าเย่เฟิง?
“หนานกงเฉิน เ้าต่ำทรามเพียงนี้ แต่ก็ยังคู่ควรกับตำแหน่งผู้นำตระกูล เห็นแก่ที่เ้าเคยดูแลเสี่ยวเฟิง ข้าจะไม่ฆ่าเ้า รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” มู่เทียนฉีกล่าวเสียงเย็น พร้อมแผ่พลังชั่วร้ายออกจากร่าง
เมื่อถูกมู่เทียนฉีด่าทอต่อหน้าผู้คน หนานกงเฉินย่อมโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ แต่ไม่กล้าโต้กลับ ตระกูลหนานกงเขาเป็เพียงกองกำลังในเมืองเล็ก ๆ อย่างโยวโจว จะกล้าเทียบเคียงกับกองทัพเลื่องชื่อได้อย่างไร?
เื่นี้หนานกงเฉินรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นแม้เขาจะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟแค่ไหน ก็ทำได้เพียงพาหนานกงหลิงซวงออกจากเวทีประลอง ก่อนจะไป พวกเขาพ่อลูกเหลือบมองเย่เฟิงด้วยสายตาเยือกเย็นแวบหนึ่ง และไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นแม้แต่นิด
“เย่เฟิง ความอัปยศที่เ้าทำกับข้าในวันนี้ วันหน้าข้าจะให้เ้าชดใช้คืนอีกร้อยเท่าพันทวี!” หนานกงหลิงซวงคิดในใจพลางกำหมัดแน่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้