เดิมทีเห็นหลินเฟินดึงน้องสาวทั้งสองออกไป สีหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ก็ดูไม่ค่อยดีแล้ว แต่เมื่อเห็นหลินฟู่อินทักทายและคุยกับเขาเช่นนี้ก็อดรู้สึกดีไม่ได้
“แม่นางทั้งสาม เช่นนั้นข้าเรียกผู้ดูแลมาช่วยแนะนำของให้ดีหรือไม่?”
หลินฟู่อินพยักหน้า
เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งไปยังโต๊ะกั้นแล้วสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นสตรีวัยกลางคนดูร่ำรวยในชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อนก็เดินออกมา
นางยิ้ม สนทนากับหลินฟู่อินและพี่ๆ จากนั้นจึงดูผิวของทุกคนอย่างใกล้ชิดแล้วยิ้มออกมา “ผิวของแม่นางน้อยทั้งสามไม่เลวเลย ทว่าโดนแดดจึงทำให้คล้ำไปบ้าง”
พวกนางล้วนเป็เด็กบ้านนอกต้องตากแดดตากฝน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผิวจะคล้ำเพียงใด หลินฟู่อินเงยหน้ามองผู้ดูแลร้านแล้วถาม “เช่นนั้นผู้ดูแลคงต้องแนะนำชาดที่ช่วยปกปิดผิวจุดด่างดำเสียแล้ว”
“แม่นางน้อย ของที่ร้านเรามีชาดสีส้มที่ทำออกมาเพื่อสตรีผิวสีเข้ม ดูสิ เ้าชอบหรือไม่?” ผู้ดูแลเปิดตลับหลายใบที่บรรจุชาดสีส้มให้พวกหลินฟู่อินดู
หลินฟู่อินพยักหน้ายอมรับในใจ นับว่าอีกฝ่ายมีความรู้เื่เครื่องสำอางจริงๆ
“กลิ่นหอมเหลือเกิน!” หลินฟางเขย่งขาขึ้นดม กล่าวด้วยดวงตาสดใสเปล่งประกาย
สตรีวัยกลางคนที่ผู้เป็ผู้ดูแลเอ่ยขึ้น “ชาดตระกูลข้าล้วนทำจากของที่ดีที่สุด พวกท่านซื้อไปต้องไม่ผิดหวังแน่นอน”
หลินฟู่อินเคยทำงานอยู่ในสายการแพทย์จึงอ่อนไหวกับส่วนผสมมาก นางหยิบของขึ้นมาลองดมแล้วก็เห็นว่าเป็ของดีจริงๆ
คำว่าชาดของต้าเว่ยเป็คำเรียกรวมๆ สำหรับขี้ผึ้งทาปากทาหน้า พอคิดๆ ดูแล้ว ตอนนี้พวกนางซื้อเพียงชาดทาหน้าเล็กน้อยก่อน พออายุมากกว่านี้สักหน่อยค่อยซื้อชาดทาปากก็ย่อมได้
“เช่นนั้นพวกเราสามคนซื้อชาดคนละตลับเป็เช่นไร” นางไม่รอปรึกษากับสองพี่น้องก็ตัดสินใจทันที “ชาดสีส้มอมแดงสองตลับกับสีชมพูอีกหนึ่งตลับ”
สีผิวนางไม่ได้คล้ำมาก สีชมพูจึงเหมาะกว่าสีส้ม
ผู้ดูแลมองหลินฟู่อินอย่างสงสัย เมื่อมองหน้าใกล้ๆ แล้วก็พยักหน้า “แม่นางผู้นี้ยังเด็ก ขอเพียงไม่ตากแดดมากเกินไป สีชมพูย่อมเหมาะกับเ้ามากกว่า”
หลินฟู่อินเห็นแล้วว่าผู้ดูแลร้านคนนี้ไม่ได้มีวาทศิลป์อะไรนัก แต่นางก็ชอบคนเช่นนี้
ผู้ดูแลหญิงถามอีกครั้ง “แม่นางทั้งสองอายุมากกว่า ไม่ซื้อชาดทาปากด้วยหรือ?”
“ไม่จำเป็ ไม่จำเป็”
สองพี่น้องพากันโบกมือเป็ระวิง
หลินฟู่อินยิ้มแล้วกล่าวกับผู้ดูแล “ขอเพียงชาดทาหน้าใช้ได้ดี ครั้งหน้าพวกเราย่อมซื้อชาดทาปากด้วยแน่นอนเ้าค่ะ”
ผู้ดูแลหญิงยิ้มรับด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจกับสินค้าในร้านตน
“ตลับใส่ชาดราคาเท่าไรเ้าคะ?” หลินฟู่อินหยิบตลับชาดกระเบื้องเคลือบทรงกลมแบนที่วาดประดับด้วยเส้นพู่กันเป็รูปสตรีผู้หนึ่งให้ผู้ดูแลหญิงดู
คนมองหน้าหลินฟู่อินอย่างพินิจว่าอีกฝ่าย้าซื้อจริงหรือไม่ จากนั้นจึงยิ้ม “ตลับละสามสิบห้าอีแปะ”
“สามสิบห้าอีแปะ! แพงปานนี้เชียว? เช่นนั้นพวกเราไม่้าซื้อแล้ว ไปกันเถอะ!” หลินเฟินตกตะลึงกับราคาที่อีกฝ่ายบอก รีบดึงมือหลินฟู่อินและหลินฟางตั้งท่าออกจากร้านทันที
ได้ยินราคาเช่นนี้หลินฟางก็เดาะลิ้น “ได้ยินเสี่ยวเถาเสี่ยวเหอพูดว่าท่านป้าเองก็ซื้อชาดทาหน้าให้พวกนาง ตลับหนึ่งราคาถึงแปดสิบอีแปะ ราคาสูงเสียดฟ้าเชียว…”
เสียงบ่นพึมพำของนางผู้ดูแลหญิงย่อมได้ยิน ทั้งยังได้เห็นว่าสุดท้ายผู้ที่ตัดสินจะซื้อหรือไม่ก็คือแม่นางที่อายุน้อยที่สุดคนนั้น จึงได้ยิ้มและพูดกับหลินฟู่อิน “แม่นาง ของที่ร้านข้าล้วนคุ้มค่าทุกตำลึงเงิน ชาดและแป้งร้านไฉ่จือไจของเรา ร้านเล็กข้างนอกจะทำออกมาได้ยังไง?”
คำพูดนี้หลินฟู่อินเชื่อ
แต่นางไม่นึกว่าชาดทาปากนี้ยังมีที่มา
ดวงตาของเด็กสาวทอประกาย รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นดั่งดอกไม้ผลิบาน “ท่านผู้ดูแล ร้านไฉ่จือไจนี่โด่งดังหรือเ้าคะ?”
ผู้ดูแลหญิงยกมือปิดปากยิ้ม ปรบมือแล้วหัวเราะอีกครั้ง “เ้ายังเด็ก ไม่รู้ย่อมไม่แปลก พูดตามตรง ร้านค้าแห่งนี้เป็ของทางครอบครัวมารดาข้าที่ได้มาเป็สินเดิม เมื่อห้าปีก่อนสามีข้าเสียไป โดนบ้านฝ่ายสามีไล่ออกมา ข้าก็เก็บเอาไว้เพียงร้านแห่งนี้ เมื่อสามเดือนก่อนมีพ่อค้าที่จะเดินทางไปยังหมู่บ้านนอกเมืองเข้ามาซื้อชาดไปหลายตลับ แต่ทางร้านเรากลับทำเงินไม่ได้…”
ที่แท้ผู้ดูแลหญิงผู้นี้ก็เป็คนโชคร้ายคนหนึ่ง นางเป็คนสกุลฉิน เรียกกันว่าแม่นางฉิน
แต่งงานหลายปีไม่มีลูก เมื่อสามีสิ้นไปจึงได้โดนน้องชายสามีไล่ออกมา ทรัพย์สินที่ดินทั้งหมดที่สามีทิ้งเอาไว้ให้ล้วนแต่ถูกน้องชายสามีผู้นั้นแย่งชิงไปหมด
โชคดีว่านางมีพี่ชายหลายคน จึงยังเก็บร้านค้าที่เป็สินเดิมเอาไว้ได้
นางเป็คนดื้อดึง ไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านเดิมตามที่บิดามารดาและบรรดาพี่ชายคิด พอดีว่าผู้ดูแลร้านชราที่นางเคยจ้างไว้้าเกษียณกลับบ้านเกิด นางเป็เถ้าแก่เนี้ยจึงได้มาเป็ผู้ดูแลร้านแห่งนี้ด้วยตัวเอง
กินอยู่ในเรือนเล็กหลังร้าน ในนั้นมีเรือนเล็กอยู่หลายหลัง ล้วนแต่เพิ่งมาสร้างทีหลัง
สามเดือนที่แล้วเ้าของชาดตราไฉ่จือไจเดินทางผ่านเมืองนี้ พบกับร้านขายชาดของแม่นางฉิน เห็นว่านางค้าขายเป็ กิจการก็ดีมาก แม้แป้งชาดจะขายได้น้อยคล้ายทำเงินไม่ได้มาก คุยไปคุยมา ทางนั้นเลยให้นางได้ขายชาดทั้งหมดของไฉ่จือไจ
หลินฟู่อินรู้ทันทีที่ได้ยิน
เหตุใดร้านไฉ่จือไจอะไรนั่นจึง้าช่วยแม่นางฉิน? ก็เห็นอยู่ว่าเพื่อขยายกิจการของทางร้านนั่นเอง
ร้านชาดในเมืองใหญ่ไม่ใช่ของตระกูลแม่นางฉิน แต่ร้านของนางกลับเป็ร้านเดียวในเมืองนี้ที่ได้ขายชาดจากไฉ่จือไจ แปลว่าแม่นางฉินต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้คนของไฉ่จือไจชอบใจ
พอคิดเช่นนี้ หลินฟู่อินก็เกิดความรู้สีกยินดี ในยุคปัจจุบันเครื่องสำอางทำจากพืชหลายชนิดเหมาะกับสตรีทุกวัย ถ้าหากนางทำเครื่องสำอางมาขายเองบ้างเล่า?
นางเก่งเื่ยาจีนโบราณ รู้จักพืชที่เป็ส่วนประกอบราวกับหลังมือตัวเอง ทั้งยังพอเข้าใจแพทย์แผนตะวันตกอยู่บ้าง ขอเพียงใช้เวลาสักหน่อย นางย่อมพัฒนาของขึ้นมาได้แน่นอน!
หลินฟู่อินคิดอย่างรวดเร็ว กิจการขายไข่ดอกสนนั่นทำในเมืองนี้ได้แค่ระยะสั้น หากนางอยากโฆษณาไปให้ถึงหัวเมืองต่างๆ และเมืองหลวงของต้าเว่ย เพียงแค่นี้ยังไม่พอ กิจการนางถือเป็กิจการเล็กๆ เท่านั้น
แต่การขายชาดนับว่าเป็กิจการที่น่าสนใจมาก หลินฟู่อินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าความคิดทำเงินใหม่นี่ดีจริงๆ แต่ขั้นต้นต้องมีเงินทุนค่อนข้างมาก ก่อนอื่นคงต้องขายไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสนและวัตถุดิบปรุงยาให้ดีก่อนแล้วค่อยคิดเื่เงินทีหลัง
แน่นอนว่าสานสัมพันธ์กับแม่นางฉินไว้ก่อนย่อมเป็เื่ดี ในอนาคตค่อยวางแผนติดต่อกับร้านไฉ่จือไจ
หลินฟู่อินตัดสินใจแล้วจึงยิ้ม “ผู้ดูแลฉิน หากลดราคาลงหน่อย ข้าจะซื้อทั้งสามตลับ!”
“ฟู่อิน!” หลินเฟินร้องอุทานออกมา
หลินฟางเองก็กังวล สองพี่น้องพากันดึงแขนหลินฟู่อินคนละข้าง
“พวกท่านไม่ต้องดึงหรอก ข้าคิดว่าชาดทาหน้าดีจริงๆ พวกพี่ต้องออกไปทำงาน ใช้ชาดนี้ทาผิวเล็กหน่อยเพื่อปกป้องใบหน้าไว้ไม่ดีหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้