ฐานะเดิมขององค์หญิงแห่งต้าโจวยังคงวนเวียนอยู่ในภายในสายธารแห่งความคิดของฮวาเหยียน ยิ่งเห็นแววตาทุกข์ใจที่มู่เฉิงอินมองนาง ฮวาเหยียนจึงพยักหน้าเพื่อเป็การแสดงให้เห็นว่านางยอมฟังแล้ว
เมื่อเห็นฮวาเหยียนพยักหน้า มู่เฉิงอินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อได้ยินฮวาเหยียนเรียกนางว่าพี่หญิงเฉิงอินด้วยเสียงหวานใส นางพลันเขินอายหน้าแดงอย่างประหม่า
เมื่อฮวาเหยียนเห็นว่ามู่เฉิงอินอดกลั้นความเขินอายเอาไว้ไม่อยู่ ในใจพลันเกิดความรู้สึกขบขัน
แต่เมื่อนางคิดถึงฉู่รั่วหลานที่กล้ากลั่นแกล้งพี่สะใภ้ของนาง นางก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
อีกด้านหนึ่งมู่เฉิงอินก็หายใจเข้าลึกและกำลังเตรียมทำความเคารพ ส่วนอีกด้านหนึ่งฮวาเหยียนก็ขยับตัวและก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่งเพื่อขัดจังหวะการกระทำของนาง ฮวาเหยียนบีบข้อมือของนางเบาๆ อย่างไม่ทิ้งร่องรอยไว้ มู่เฉิงอินพลันหยุดสิ่งที่กำลังจะพูดออกไปทันที
หลังจากนั้นฮวาเหยียนก็ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า "แม่นางคนนี้ เ้าพูดว่าใครเป็ผียาจกกัน? "
น้ำเสียงของนางเ็าแต่ทว่านิ่งสงบ
เมื่อตู้รั่วหลานได้ยินคำพูดของนางก็หัวเราะเยาะพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า ท่าทีของนางสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่น "พูดถึงเ้าแล้วจะทำไมหรือ? คนที่แม้แต่หญ้าิญญาลึกลับต้นหนึ่งก็ยังไม่มีปัญญาซื้อ ถ้าไม่ใช่ผียาจกแล้วจะเป็อะไร? "
พอฟังคำเหล่านี้แล้ว ฉู่รั่วหลานคนนี้นับว่าไร้สมองจริงๆ หากพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว จะมีคนที่ถูกนางล่วงเกินอยู่กี่คนกัน?
หมื่นตำลึง หาง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
อย่าลืมว่าก่อนที่นางจะเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งราชวงศ์ นางเป็เพียงแค่สาวชนบทธรรมดาคนหนึ่งก็เท่านั้น หากนางยังอยู่ในชนบท เกรงว่าตลอดชีวิตนี้ของนางก็คงไม่สามารถหาเงินถึงหนึ่งหมื่นตำลึงได้เช่นกัน
ฮวาเหยียนเหยียดยิ้มเย้ยหยันในใจอย่างเ็า แต่สีหน้ากลับไม่แสดงอะไรออกมาทั้งสิ้น นางพูดเพียงแค่ว่า “ใครบอกว่าข้าจ่ายไม่ได้? พนักงาน เ้าลองนับดู เงินเท่านี้พอหรือไม่ หลังจากนั้นก็ช่วยห่อหญ้าิญญาลึกลับให้ข้าด้วย”
ฮวาเหยียนกล่าว จากนั้นทุกคนก็เห็นนางยกมือที่มีผ้าโปร่งสีขาวปกคลุมไว้หยิบเอาตั๋วเงินกองหนึ่งออกมาแล้วตบลงบนโต๊ะคิดเงิน
พนักงานขานรับพลางหยิบตั๋วเงินขึ้นมานับและพูดว่า "แม่นาง นี่คือตั๋วเงินแปดหมื่นตำลึง ยังขาดตั๋วเงินอีกสองหมื่นตำลึงขอรับ"
พนักงานพูดอย่างตรงไปตรงมา
หนึ่งหมื่นตำลึงนั้นเท่ากับตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึง แต่นี่ยังขาดตั๋วเงินอยู่สองหมื่นตำลึง
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเห็นฮวาเหยียนตัวแข็งทื่อ ท่าทางราวกับว่านางกระอักกระอ่วนเป็อย่างยิ่ง
"พรู๊ด..."
ในยามนั้น ทุกคนพลันได้ยินเสียงฉู่รั่วหลานหัวเราะเยาะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเสียดสีเยาะเย้ย
หากพูดถึงฉู่รั่วหลานที่เป็องค์หญิงแห่งต้าโจวแล้ว ใน่วันธรรมดานางไม่สามารถออกจากวังได้ตามอำเภอใจ ร่วมถึงโดยพลการได้ ดังนั้นทุกคนที่อยู่ในที่นี้ยกเว้นมู่เฉิงอินที่รู้ตัวตนและเคยเห็นใบหน้าของนาง ในตอนนี้ทุกคนในหออู๋ิคิดเพียงแค่ว่านางเป็สตรีผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์สักตระกูล
ในยามนั้น เื่ราวทั้งหมดถูกมองว่าเป็เื่ราวที่สนุกสนานและน่าสนใจ
หญ้าิญญาลึกลับเพียงต้นเดียว กลับเกี่ยวข้องกับบุตรชายคนเล็กของท่านโหวหย่งซิน คุณหนูใหญ่มู่เฉิงอินแห่งตระกูลมู่ และยังมีสตรีสองคนที่ไม่รู้จักตัวตนแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์มาเกี่ยวพันด้วย
ดังนั้น ในตอนนี้ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าหญ้าิญญาลึกลับนี้จะตกอยู่กับผู้ใด
“หนึ่งหมื่นตำลึง หญ้าิญญาลึกลับต้นนี้ เป็ของข้าแล้ว”
ฉู่รั่วหลานก้าวไปข้างหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงลำพองใจ สาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างหลังนางก็มีแววตาเลศนัย นางรีบหยิบตั๋วเงินพับหนึ่งออกมาจากอ้อมอกแล้วตบลงบนโต๊ะทันที
เมื่อตอนสาวใช้ตัวน้อยนับตั๋วเงิน ทุกคนล้วนเห็นทั้งสิ้น นั่นเป็ตั๋วเงินพับกองหนา อย่างต่ำน่าจะมีหนึ่งล้านตำลึง
ทุกคนล้วนตกตะลึง
สตรีที่มาคนสุดท้ายนี้ถือตั๋วเงินติดตัวมามากมายจริงๆ
ในหมู่พวกเขาเ่าั้ล้วนเป็คนมีเงินไม่ขัดสนแต่คนที่จะออกมาซื้อของแล้วพกตั๋วเงินมากมายเช่นนี้ เห็นจะมีไม่มากเท่าไหร่นัก
ฮวาเหยียนจ้องมองฉากนี้อย่างเ็า มุมปากนางยกยิ้มขึ้น
หากในเวลานี้สามารถเห็นรอยยิ้มของนาง เช่นนั้นก็จงรู้ว่ารอยยิ้มนี้น่ากลัวมากเพียงใด
ฉู่รั่วหลานที่ร่ำรวยในฐานะองค์หญิงอยู่ทุกวันนี้ มีหลายคนประจบประแจงนางและปรนเปรอเงินให้กับนาง ในครานี้ไม่ง่ายเลยที่นางจะได้ออกจากวัง นางจึงต้องพกตั๋วเงินมามากพอ
"ช้าก่อน"
ในตอนนั้นเอง ฮวาเหยียนพ่นลมหายใจเ็าออกมาคราหนึ่ง
ฉู่รั่วหลานมองไปที่ฮวาเหยียนด้วยความรังเกียจที่ไม่อาจปกปิดได้ในสายตา "อะไรอีก? ไม่ยอมแพ้อีกหรือ? เ้าผียาจก ไม่มีตั๋วเงินก็อย่าอยู่ที่นี่ให้ขายขี้หน้าคนอื่นเลย"
คำพูดของฉู่รั่วหลานนั้นไม่น่าฟังแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็การดูถูกเหยียดหยามฝ่ายตรงข้ามเป็อย่างยิ่ง
มู่เฉิงอินทนไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้างดงามนั้นแฝงไปด้วยความอบอุ่นราวแสงอาทิตย์ที่แผดเผาน้ำแข็งให้ละลาย
ทว่าฮวาเหยียนเองก็กระซิบกับนางแล้ว และขอให้นางนิ่งเงียบเพื่อดูการแสดงนี้ ดังนั้นถึงแม้นางจะถูกฉู่รั่วหลานทำให้โกรธจนดวงตามืดครึ้ม แต่นางก็ไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น
ดังนั้นในวินาทีต่อมาพลันเห็นมือของฮวาเหยียนควานอยู่ที่บริเวณแขนเสื้อ ก่อนที่นางจะหยิบตั๋วเงินกองหนึ่งออกมา "ลืมไปว่าตรงนี้ยังมีอีกสองแสนตำลึง"
ขณะที่นางพูด นางก็โยนกองเงินลงบนโต๊ะคิดเงินอีกครั้ง
ฮู้…
ฮ้า…
ดวงตาของทุกคนเป็ประกายระยิบระยับ รวมถึงดวงตาของพนักงานตัวน้อยด้วย เขารู้สึกได้เลยว่าหญิงสาวหมวกงอบผู้นี้ไม่ใช่ผียาจก นางเป็หญิงสาวที่มาจากตระกูลที่มั่งคั่งและร่ำรวย
"ตั๋วเงินสองแสนแปดหมื่นตำลึง ห่อหญ้าิญญาลึกลับให้ข้า"
ฮวาเหยียนขึ้นเสียง
ใบหน้าของฉู่รั่วหลานมืดครึ้มลง
สายตาของทุกคนในหออู๋ิล้วนมองมาทางนางโดยไม่รู้ตัว
นางหรี่ตาลงอย่างเ็า หอบหายใจด้วยความไม่พอใจ นางเป็ถึงองค์หญิงผู้ทรงศักดิ์ เหตุใดถึงต้องมาเสียเกียรติต่อหน้าหญิงสาวที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะต่อหน้ามู่เฉิงอินด้วย
"ช้าก่อน"
นางะโด้วยน้ำเสียงที่เ็า ก่อนจะโบกมือไปมา สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังรีบก้าวเข้าไปข้างหน้าทันที จากนั้นองค์หญิงก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาด้วยตัวเองและหยิบเงินกองใหญ่ออกมาโดยไม่ได้นับ แม้ไม่รู้ว่ามีอยู่มากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีถึงสามแสนตำลึง
“ไม่ต้องนับแล้ว ข้า้าหญ้าิญญาลึกลับ”
ทุกคนตื่นเต้นฮึกเหิมเพราะรู้สึกว่าฉากในวันนี้น่าชมเป็พิเศษ
หญ้าิญญาลึกลับต้นนี้มีค่าจริงๆ เงินมากกว่าสี่แสนตำลึงก้อนนี้ถูกใช้เพื่อซื้อหญ้าิญญาลึกลับ
ในยามนั้น ดวงตาของฉู่รั่วหลานเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นางมองไปที่ฮวาเหยียนและมู่เฉิงอินอย่างหยิ่งยโสโอหัง ปรารถนาจะเห็นความพ่ายแพ้จากใบหน้าของทั้งสองคน
“ข้ารู้ว่าเ้า้ามอบหญ้าิญญาลึกลับนี้ให้ใคร ข้าจะไม่ยอมให้เ้าได้อย่างที่ปรารถนาหรอก”
ในเวลานั้น ฉู่รั่วหลานถือเอาฮวาเหยียนเป็น้องสาวคนเล็กของมู่เฉิงอิน ขอเพียงนางได้รับหญ้าิญญาลึกลับนี้ นางก็จะสามารถกำราบสองพี่น้องนี้ได้
ใบหน้าของมู่เฉิงอินเรียบเฉยราวกับน้ำค้างแข็ง หญิงสาวมิได้พูดอันใดออกมาสักคำ
จากนั้นทุกคนก็มองไปที่ฮวาเหยียน แต่เป็เพราะนางสวมหมวกงอบอยู่ พวกเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าและการแสดงออกของนาง แต่มีคนตาเฉียบคมมองเห็นมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวของนางกำแน่น
เฮ้อ แม่นางผู้นี้ยังไม่พอใจเช่นกันนี่นา
ในวินาทีต่อมา ฮวาเหยียนพลันเปิดปากพูด ทุกคนเห็นนางยกมือขึ้น ก่อนจะถอดต่างหูหยกออกมาจากหูของนางและดึงปิ่นปักผมหยกมรกตออกจากศีรษะของนางเช่นกัน จากนั้นก็วางทั้งสองสิ่งให้พนักงานบนโต๊ะคิดเงิน “ว่ากันว่าผู้คนต่อสู้ดิ้นรนเพื่อลมหายใจหนึ่ง พระพุทธเ้าต่อสู้เพื่อธูปหอมก้านหนึ่ง [1] วันนี้ต่อให้ล้มละลายก็จะต้องแย่งชิงหญ้าิญญาลึกลับนี้มาให้จงได้
พนักงาน วันนี้เ้าจงระมัดระวังและตรวจสอบให้ดี ต่างหูหยกและปิ่นปักผมหยกมรกตมีมูลค่าเท่าใด ข้ายอมรับได้ทั้งสิ้น ข้าเพียง้าหญ้าิญญาลึกลับนี้เท่านั้น"
ว้าว…
ฮู่ว…
"แม่นางช่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก"
"ยอดเยี่ยมเหลือเกิน"
ทุกคนในหออู๋ิอุทานด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของพวกเขาเป็ประกาย ทุกคนถูกฮวาเหยียนจุดไฟที่ทำให้เกิดความร้อนรุ่มไปทั่วร่างกาย
“ดูเหมือนว่าหญ้าิญญาลึกลับนี้จะเป็ของใครไปไม่ได้นอกจากแม่นางผู้นี้”
มีคนกล่าว
ดวงตาของพนักงานที่โต๊ะคิดเงินเป็ประกาย เขาค่อยๆ ใช้ผ้าสีขาวห่อต่างหูมรกตและปิ่นปักผมหยกมรกตด้วยความระมัดระวัง ใบหูของเขาเปลี่ยนเป็สีแดงด้วยความตื่นเต้น
เมื่อมองดูของสองสิ่งนี้ล้วนเป็ของชั้นดีทั้งสิ้น สีเขียวมรกตนั้นช่างงดงามสมบูรณ์และไร้ซึ่งตำหนิ
ความจริงแล้วตามกฎของหออู๋ิ พนักงานไม่มีอำนาจในการประเมินมูลค่าของทั้งสองชิ้น แต่ในเมื่อตอนนี้ลูกค้า้าเช่นนี้ ก็เป็ธรรมดาที่เขาต้องตอบรับคำพูดนั้น
ถึงแม้ชายหนุ่มจะตัวสั่นงันงก ในขณะที่รอการประเมินราคาอยู่นั้น...
พลันได้ยินเสียงปัง ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เป็ฉู่รั่วหลานที่ตบโต๊ะคิดเงินฉาดใหญ่ ทั้งยังนำเอาตั๋วเงินทั้งหมดในกระเป๋าของนางตบลงโต๊ะคิดเงิน “ใช่แล้ว ผู้คนล้วนต่อสู้ดิ้นรนเพื่อลมหายใจหนึ่ง วันนี้ข้าคนนี้จะทำให้เ้าสูญเสียความเชื่อมั่นทั้งหมดเอง แลกด้วยต่างหู แลกด้วยปิ่นปักผมหรือ? เ้ามีแล้วคิดว่าข้าผู้นี้ไม่มีหรือ? คิดจะต่อกรกับข้า เ้าอายุเท่าไหร่กันเชียว?”
ฉู่รั่วหลานกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง เสียงดังสนั่นจนทุกคนในหออู๋ิล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
ท่าทางของนางมุ่งมั่นเพื่อให้ได้มาอย่างแน่วแน่ นางเรียนรู้เื่ต่างหูและปิ่นปักผมจากฮวาเหยียน ถึงขนาดถอดแหวนหินอัญมณีจากมือออกแล้วตบลงที่โต๊ะคิดเงิน
ในตอนนี้สำหรับฉู่รั่วหลาน นางกำลังต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี นางต้องไม่เสียหน้าอย่างเด็ดขาด
มือของพนักงานสั่นเทา เขานับตั๋วเงินที่ฉู่รั่วหลานโยนออกมาซึ่งมีมูลค่ารวมหนึ่งล้านตำลึง ทั้งยังมีต่างหู ปิ่นปักผม และแหวน
"พอหรือไม่?"
ฉู่รั่วหลานถามอย่างจองหอง
ชายหนุ่มเผลอหันมองฮวาเหยียนโดยไม่รู้ตัว...
ทุกคนก็มองไปที่ฮวาเหยียนโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
นี่เป็การซื้อที่ใจป้ำกล้าได้กล้าเสียเหลือเกิน หญ้าิญญาลึกลับราคาต้นละหนึ่งหมื่นตำลึง บัดนี้ราคาได้ขึ้นสูงมากกว่าแสนล้านตำลึงแล้ว
ในยามนั้น พระอาทิตย์จากด้านนอกสาดแสงส่องสว่างเจิดจ้า จักจั่นส่งเสียงบรรเลง บัดนี้ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้วแต่ไม่มีใครในหออู๋ิออกไปเลยสักคน พวกเขาทั้งหมดต่างเฝ้าดูการซื้อที่ใจป้ำกล้าได้กล้าเสียนี้
มันช่างะเือารมณ์เหลือเกิน
น่าสนใจกว่าการประมูล
เมื่อมู่เฉิงอินเห็นว่าฮวาเหยียนนำสิ่งของทั้งหมดของนางออกมาเพื่อซื้อหญ้าิญญาลึกลับนี้ นางก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกว่าสตรีที่อยู่ข้างหน้านางนี้ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น
ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมานางจึงไม่ส่งเสียงพูดอันใดออกมาเลย
“อืม แม่นางหมวกงอบคนนี้หยุดแล้ว เกรงว่าที่ตัวนางคงจะไม่มีตั๋วเงินเหลือแล้ว”
“ก็น่าจะไม่มีแล้ว แม้แต่ต่างหูและปิ่นปักผมก็ล้วนนำออกมาตีราคาแล้ว”
“ดูเหมือนว่าหญิงสาวในชุดกระโปรงเขียวจะได้รับชัยชนะ หญ้าิญญาลึกลับนี้คงจะตกเป็ของนาง”
มีเสียงกระซิบรอบๆ ฉู่รั่วหลานเลิกคิ้วและกอดอกอย่างภาคภูมิใจ ร่างทั้งร่างดีใจฮึกเหิมออกหน้าออกตา ท่าทางภาคภูมิใจนัก ในทางกลับกันเมื่อมองไปที่ฮวาเหยียน นางดูห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา
เมื่อฉู่รั่วหลานเห็นท่าทีเช่นนี้ ในใจของนางก็รู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งนัก
ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว
"เงินข้าหมดแล้ว"
ในที่สุด เมื่อทุกคนได้ยินฮวาเหยียนเปิดปากพูด พวกเขาเห็นเพียงศีรษะที่สวมหมวกงอบนั้นก้มต่ำลง น้ำเสียงซึมเศร้า มองดูแล้วน่าสงสารยิ่ง
สตรีทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรี หากต้องเสียหน้าต่อหน้าคนจำนวนมาก สภาพจิตใจคงต้องแย่มากเป็แน่
ใจของผู้คนในนั้นต่างเพิ่มระดับความเห็นอกเห็นใจต่อฮวาเหยียนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“รออะไรอยู่เล่า ไม่ได้ยินที่ผียาจกบอกว่าไม่มีเงินแล้วหรือ? รีบห่อหญ้าิญญาลึกลับนี้มาให้ข้าเร็วเข้า”
ฉู่รั่วหลานะโเสียงดังด้วยน้ำเสียงลำพอง อวดดีและเยาะเย้ย พร้อมกันนั้นนางก็เสียดสีฮวาเหยียนว่าเป็ผียาจกด้วย
"ขอรับ"
พนักงานที่อยู่อีกฝั่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาโกยกองตั๋วเงินกองใหญ่ ต่างหู และปิ่นปักผม และรีบห่อหญ้าิญญาลึกลับให้นางโดยเร็ว เขาหยิบเอาสัญญาการซื้อขายออกมาและยื่นมันให้ฉู่รั่วหลาน ก่อนจะเอ่ยว่า "แม่นางท่านนี้ หญ้าิญญาลึกลับนี้เป็ของท่าน ท่านสามารถนำกลับไปทานได้เลย ทั้งยังสามารถนำไปทำให้แห้งและเก็บไว้ในรูปแบบของยาผงได้ด้วย หากวันหน้าในตอนที่ท่านจำเป็ต้องใช้มันก็สามารถนำออกมาทานได้เช่นกัน
เนื่องจากท่านใช้จ่ายไปหนึ่งล้านตำลึงซึ่งเป็เงินจำนวนมหาศาล ดังนั้นท่านจึงต้องลงนามในสัญญาพร้อมประทับลายนิ้วมือ การซื้อขายจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์และจะไม่มีการคืนสินค้าขอรับ"
ชายหนุ่มเปิดปากพูดอย่างจริงจัง
ฉู่รั่วหลานฮัมเพลงอย่างภาคภูมิใจ นางรับหญ้าิญญาลึกลับมาแล้วพิมพ์ลายนิ้วมือของนางลงบนสัญญา "แม่นางเช่นข้าจะกลับคำได้อย่างไร"
"ใช่ ใช่เลย ท่านเป็คนใจกว้างยิ่งนัก เพียงมองแวบแรกก็รู้เลยว่าท่านต้องเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แม่นางมีรัศมีที่โดดเด่น ทั้งเนื้อทั้งตัวเปล่งประกายด้วยทองคำ"
พนักงานคนนั้นพูดเยินยอสตรีที่อยู่ตรงหน้าเยอะแยะมากมาย และพูดอย่างต่อเนื่อง
ฉู่รั่วหลานถูกชมจนตัวลอย นางถอดสร้อยข้อมือทองคำออกจากข้อมือ ก่อนจะโยนให้เขา "ข้าให้รางวัลเ้า"
“ขอบคุณแม่นาง... สาวงามราวกับดอกไม้ จิตใจดีงาม พระโพธิสัตว์เดินดิน”
ชายหนุ่มยิ้ม ซ้ำยังกระหน่ำคำเยินยอที่หนักหน่วงออกมาอีกเรื่อยๆ
ทุกคน "...! "
ในยามนั้นฉู่รั่วหลานมีความสุขเป็อย่างยิ่ง เมื่อมองไปที่ใบหน้าของมู่เฉิงอิน จากนั้นก็มองไปที่หญิงสาวที่สวมหมวกงอบอันแสนอัปลักษณ์ผู้ที่ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้า ช่างเป็ความสุขกายสบายใจที่ไม่เคยมีมาก่อน
จนกระทั่งฮวาเหยียนยื่นมือออกไป
ทุกคนเห็นแต่มือที่คลุมไปด้วยผ้าโปร่งบางสีขาวของนางยื่นออกมา หลังจากนั้นก็เก็บกองเงินของนางที่วางไว้บนโต๊ะคิดเงินกลับไป จากนั้นนางก็สวมต่างหูและปิ่นปักผมกลับเข้าไปที่เดิม ท่ามกลางสายตาของทุกคนนางเหยียดยิ้มเยาะเย้ย เปิดปากกล่าวว่า “แม่นางคนนี้ช่างร่ำรวยเสียจริง เ้าใช้ตั๋วเงินมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงเพื่อซื้อหญ้าิญญาลึกลับหนึ่งต้น... ข้าน้อยขอยกย่องจริงๆ เพียงแต่ว่าที่ตัวข้านี้ยังมีหญ้าิญญาลึกลับอีกมากมาย ไม่รู้ว่าแม่นางจะซื้อไปด้วยพร้อมกันดีหรือไม่? ”
เชิงอรรถ
[1] ผู้คนต่อสู้ดิ้นรนเพื่อลมหายใจหนึ่ง พระพุทธเ้าต่อสู้เพื่อธูปหอมก้านหนึ่ง อุปมาถึงการยืนหยัดต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้