หลินฟู่อินเลิกคิ้วขึ้น พลางนึกถึงผลของยาผงนั่น
เหลียงซื่อกล่าวต่อทันที “ท่านหมอหลี่บอกว่าถ้าทำให้เด็กดื่มยาได้ ก็อาจมีโอกาสรอด แต่หากไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิตแล้ว ฟู่อิน เื่ในตอนนั้นมันเป็ความผิดของข้าเอง เ้าไม่ผิดเลย เพราะอย่างนั้นได้โปรดเมตตาและช่วยต้าหลางด้วยเถอะ!”
เหลียงซื่อเองก็รู้สึกผิด หากรู้เช่นนี้นางคงไม่ไปหาหมอหลี่แล้วให้ฟู่อินจัดการไปแล้ว ทั้งหมดนี้มันเป็เพราะนางเอง…
“จริงด้วย ท่านหมอหลี่เห็นวิธีลดอุณหภูมิของเ้าแล้ว ก็บอกมาด้วยว่าหากเป็เ้าก็อาจทำได้ เพราะอย่างนั้นให้กลับมาหาเ้าอีกรอบเสีย!” จูซื่อจับไหล่หลินฟู่อินไว้ ราวกับมันเป็ฟางเส้นสุดท้าย
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว นางไม่คิดว่าแม้แต่หมอหลี่ก็ยังไม่รู้วิธีรักษา
ดูท่าวิธีรักษาไข้หวัดในยุคโบราณนี้จะน่าสิ้นหวังมาก ไม่แปลกใจเลยที่เด็กจะตายกันเร็วในยุคนี้
หลินฟู่อินพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา
“ท่านหมอหลี่ให้มาแต่ยาผงหรือ?” หลินฟู่อินถาม
“มีอีกอัน… หญ้าอะไรเหลืองๆ สักอย่าง” เหลียงซื่อกล่าวทันที
“เอามาให้ข้าดู” หลินฟู่อินมองเหลียงซื่อ
เหลียงซื่อส่งเด็กให้จูซื่อ แล้วนำยาที่หมอหลี่จ่ายให้ออกมา
มันเป็ห่อกระดาษมันที่ห่อผงสือเกา [1] หนึ่งห่อ และห่อหมาหวง [2] ไว้ห่อใหญ่อีกหนึ่งห่อ
หลินฟู่อินเห็นสมุนไพรสองห่อนี้แล้วก็ใจกระตุก พลางนึกถึงสมุนไพรที่เคยใช้สมัยเด็กๆ
“ยังมีเมล็ดของต้นซิ่งที่ปลูกเมื่อปีที่แล้วอยู่หรือไม่? หากเป็ซิ่งขมได้จะยิ่งดี!”
“เมล็ดซิ่งขมหรือ? อา… มีสิ บ้านข้ามีต้นซิ่งอยู่ในสวน เอาไว้เก็บผลไปบดขายเมล็ดอยู่ทุกปี” สายตาของเหลียงซื่อเป็ประกายขึ้นมา
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว “ข้าถามว่าตอนนี้ยังมีเมล็ดมันอยู่หรือไม่?”
“คุ้นๆ ว่ายังพอมีเหลืออยู่ใกล้ๆ เตาผิงนะ” จูซื่อย้อนความทรงจำดู แล้วจึงกล่าวออกมา
เพราะปีที่แล้วเก็บได้ไม่ถึงหนึ่งจินแถมคุณภาพก็ไม่ดี จึงถูกเก็บไว้เพื่อขายรวมกับส่วนของปีนี้
หลินฟู่อินถอนหายใจอย่างโล่งอก “เยี่ยมเลย อย่างนั้นก็รีบไปเอามาที่บ้านข้าซะ”
จูซื่อรีบขยับแขนขาอันเยาว์วัยวิ่งออกไปทันที หลังจากที่ส่งเด็กกลับไปให้เหลียงซื่อแล้ว เพื่อไปเอาเมล็ดซิ่งขม
หลินฟู่อินจึงกล่าวกับเหลียงซื่อต่อ “ย่าเหลียง อุ้มเด็กเข้าบ้านข้า ข้าจะไปหาสมุนไพร”
สมุนไพรที่หลินฟู่อินกำลังหาคือกันเฉ่า [3]
นางมีอยู่ที่บ้านพอดี เพราะในตอนที่ฉู่ซื่อยังมีชีวิตอยู่ นางชอบต้มน้ำกันเฉ่าดื่ม ที่บ้านนางจึงมีอยู่เยอะ
นี่เป็เื่บังเอิญ และมันก็เป็โชคดีของจูซื่อด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงหาสมุนไพรที่ต้องใช้มาครบทันทีเช่นนี้ไม่ได้
หลินฟู่อินให้เหลียงซื่อเช็ดตัวเด็กเพื่อลดอุณหภูมิต่อไป ในขณะที่นางกับจูซื่อนั่งบดเมล็ดซิ่งขมกับกันเฉ่า
เมื่อบดไปได้ห้าส่วน นางจึงนำหมาหวง ซิ่งขม และกันเฉ่าไปต้มในหม้อกระดูก
เด็กที่ถูกเช็ดตัวจนอุณหภูมิเริ่มลดแล้ว ก็หลับลงอย่างสงบ
หลินฟู่อินเห็นว่าเด็กอ่อนแรงยิ่งกว่าเมื่อเช้า ในใจก็เป็กังวล แต่เพื่อไม่ให้จูซื่อกับเหลียงซื่อกระวนกระวายไปมากกว่านี้ สีหน้าของนางจึงสงบนิ่ง
ทั้งสองเห็นว่าหลินฟู่อินไม่มีท่าทีตื่นตระหนกหรือเร่งรีบ จิตใจจึงพอสงบลงบ้าง แล้วฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่นาง
การที่ทั้งสองจะรู้สึกหมดสิ้นหนทางนั้นไม่ใช่เื่แปลก เพราะหมอหลี่เป็ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีวิชาแพทย์ดีที่สุดในเมือง หรือแม้แต่ในหลายๆ เมืองรอบๆ
หากหมอหลี่บอกว่ามันหมดหนทางแล้ว ก็แปลว่ามันหมดแล้วจริงๆ
หลังจากที่ต้มยาได้ราวครึ่งชั่วยาม [4] หลินฟู่อินเห็นว่ายาเกือบเสร็จแล้ว จึงใส่ผงสือเกาลงไป เมื่อมันละลายก็เทออกมาใส่ถ้วยเล็ก พัดจนอุณหภูมิเหลือพออุ่นๆ ก่อนจะตักใส่ช้อนไปให้เด็กดื่ม
แต่เพราะตอนนี้เด็กไม่ยอมแม้แต่จะดื่มนมแม่ การป้อนยาจึงยากยิ่งกว่า
จูซื่อเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง
หลินฟู่อินส่งสัญญาณให้นางสงบใจลง แล้วนางจึงไปหยิบช้อนคันใหม่ จุ่มมันลงกับน้ำอุ่น แล้วราดยาใส่ ก่อนนำไปป้อนให้เด็กด้วยด้ามช้อนช้าๆ
เมื่อเห็นว่าเด็กดื่มยาได้แล้ว จูซื่อและเหลียงซื่อก็ดีใจขึ้นมา
หลินฟู่อินค่อยๆ ป้อนยาให้เด็กช้าๆ ด้วยวิธีนี้กว่าเจ็ดถึงแปดช้อน แล้วจึงหยุดมือ
แม้จะมีหกออกมาบ้าง แต่อย่างน้อยๆ ก็เข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เมื่อเห็นว่าเด็กได้รับยาและหลับไปแล้ว จูซื่อและเหลียงซื่อก็รู้สึกราวกับยกูเาออกจากอก
คู่แม่สามีและลูกสะใภ้กล่าวขอบคุณหลินฟู่อินครั้งแล้วครั้งเล่า ความไม่เชื่อใจที่เคยมีก่อนหน้ามลายหายสิ้น
เหลียงซื่อเองก็กล่าวขอโทษหลินฟู่อินด้วย
หลินฟู่อินเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล นางจึงหัวเราะแล้วปล่อยผ่านไป พร้อมบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือชีวิตเด็ก
คำพูดนี้สร้างความประทับใจให้จูซื่อและเหลียงซื่อ นี่เป็ครั้งแรกที่พวกนางรู้สึกว่าคำพูดของหลินฟู่อินน่าเชื่อถือ
และหลินฟู่อินยังบอกว่า เพื่อป้องกันโอกาสหนึ่งในหมื่น เนื่องจากต้องป้อนยาให้ตอนกลางคืนด้วย เพราะอย่างนั้นคืนนี้ให้พวกนางนอนที่บ้านนางเสีย
จูซื่อและเหลียงซื่อยอมทำตามแต่โดยดี
หนึ่งชั่วยามครึ่งให้หลัง หลินฟู่อินตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วปลุกจูซื่อที่นอนอยู่ข้างๆ ลูกเพื่อป้อนยาอีกครั้ง
ครั้งนี้เด็กหลับสนิท ไม่ส่งเสียงร้องเลยจนเช้า
หลินฟู่อินเป็ห่วงลูกของจูซื่อ จึงตื่นั้แ่เช้า
เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องดังขึ้น ก็รู้ว่ายาได้ผลแล้ว และเด็กพ้นขีดอันตรายเป็ที่เรียบร้อย นางจึงเข้าไปดูเด็กอย่างเริงร่า
เ้าตัวน้อยมองนางด้วยดวงตาที่เหมือนองุ่นสีดำผลโตสองลูก แขนขาดิ้นไม่หยุด หลินฟู่อินฉีกยิ้ม ยื่นมือออกไปวัดหน้าผากสีชมพู ไข้ลดแล้วจริงๆ
จูซื่อและเหลียงซื่อเองก็ตื่นแต่เช้า เมื่อเห็นว่านางอยู่กับเด็ก ทั้งสองก็ไม่พูดอะไร เพียงมองอย่างหวั่นวิตก อยู่ห่างๆ
“ไข้ลดแล้ว ให้ดื่มยานี่ต่ออีกหนึ่งวัน สามเวลา ครั้งละแปดช้อนชาเหมือนครั้งนี้” หลินฟู่อินสั่ง
“ขอบคุณ์!” เหลียงซื่อพนมมือแล้วหลับตาลงเพื่อสวดภาวนา แล้วจึงมองหลินฟู่อินอีกครั้ง “ฟู่อิน เ้าคือพระมาโปรดแท้ๆ! หากเขารู้ความเมื่อไร ข้าจะเล่าให้เขาฟังทุกวันว่าเ้าช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เพื่อที่เขาจะได้จดจำความเมตตาของเ้าไปตลอดชีวิต!”
“แค่เด็กแข็งแรงก็พอแล้ว ไม่จำเป็ต้องทำเช่นนั้นก็ได้”
“อื้อ อื้อ!” เหลียงซื่อตอบรับทันที
จูซื่อหัวเราะทั้งน้ำตา “ฟู่อิน ขอบคุณเ้ามากจริงๆ!”
“ให้เด็กดื่มยาไปวันนี้ แล้วพรุ่งนี้พามาให้ข้าดูอาการอีกรอบในตอนเช้า ข้าจะตัดสินใจตอนนั้นว่าจะให้ลดยาหรือไม่” หลินฟู่อินไม่คิดจะกล่าวอะไรเพิ่มอีก จึงปิดท้ายด้วย “กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อเหลียงซื่อและจูซื่อกลับไปแล้ว ย่าหลี่ก็ทำข้าวต้มเสร็จพอดี หลินฟู่อินจึงไปทำเครื่องเคียงอีกสองจาน แล้วทานอาหารเช้าร่วมกับย่าหลี่
เมื่อจูซื่อและเหลียงซื่อพาเด็กน้อยที่หลินฟู่อินช่วยรักษากลับถึงบ้านแล้ว ก็ให้เด็กดื่มยาอีกครั้งในตอนเย็น และเด็กก็แข็งแรงขึ้นจนดื่มนมแม่ได้อีกครั้ง
------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ผงสือเกา หมายถึง ผงยิปซัม
[2] หมาหวง หมายถึง พืชในสกุล Ephedra ใช้เป็สมุนไพร แก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้หอบหืด มีสารสำคัญคือ ephedrine
[3] กันเฉ่า หมายถึง ชะเอมจีน
[4] ชั่วยาม หมายถึง หน่วยนับเวลา โดย 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้