ต่อสู้กันมาหลายปีขนาดนี้ คิดว่านางไม่เข้าใจในตัวของหลงเซี่ยวอวี่หรือ อย่างไรนางก็มิเชื่อว่าหลงเซี่ยวอวี่จะแตะต้องมู่จื่อหลิง แต่มู่จื่อหลิงผู้นี้ช่างเก่งกล้าสามารถนัก ถึงกับทำให้หลงเซี่ยวอวี่เปิดปากได้ ดูท่าแล้วคงจะประเมินกระสอบฟางผู้นี้ต่ำไปจริงๆ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ มู่จื่อหลิงก็พาเสี่ยวหานไปเดินเล่นรอบจวนอ๋อง เมื่อวานถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าจึงไม่เห็น เมื่อถอดผ้าคลุมออกก็ถูกพาไปที่ตำหนักอวี่หานจึงไม่ได้มองอย่างละเอียด ไม่คิดเลยว่าจวนฉีอ๋องจะใหญ่โตถึงเพียงนี้
การประดับตกแต่งทั้งหมดเรียบง่ายหรูหรา งดงามอย่างมีรสนิยม มู่จื่อหลิงมองไปรอบๆ อย่างติดอกติดใจ สวนดอกไม้ด้านหลังใหญ่กว่าที่เคยเห็นในโทรทัศน์เมื่อก่อนเสียอีก ทั้งงดงามราวกับ์บนแดนดิน
ทางเดินเส้นนี้พาพวกนางมาถึงศาลากลางน้ำ ที่แห่งนี้ทิวทัศน์งดงาม เงียบสงบเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังไม่เห็นบ่าวรับใช้อื่นใดนอกจากนางสองคน
ศาลากลางน้ำมีสองชั้น แรกเริ่มมู่จื่อหลิงนั้นอยากขึ้นไปชมทิวทัศน์ที่ชั้นสอง ทว่ากลับหาบันไดขึ้นไปไม่พบ หรือว่าจะต้องเหาะขึ้นไปกัน?
ในยุคสมัยนี้มีเคล็ดวิชาตัวเบา หลงเซี่ยวอวี่ วรยุทธ์ของหมอนั่นต้องไม่ต่ำต้อยเป็แน่
การออกแบบเช่นนี้เขายังคิดออกมาได้ ทั้งมิอาจไปรบกวนเขา ทั้งทำเื่เลวร้ายอะไรก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น มู่จื่อหลิงเบะปากอย่างหมดคำพูด
“เสี่ยวหาน เ้าไปหาฉินมา” ชาติก่อนเมื่อเหนื่อยล้าจากการทำงาน นางจะไปดีดฉิน ผ่อนคลายความกดดัน เมื่อมองทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็อยากดีดฉินขึ้นมาทันที
“คุณหนู ท่านจะเอาฉินมาทำสิ่งใดเ้าคะ” เสี่ยวหานมิเข้าใจ แต่ไหนแต่ไรคุณหนูไม่เคยเรียนการบรรเลงฉิน
มู่จื่อหลิงมองเสี่ยวหานที่งุนงงก็รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ “รีบไปเถิด เดี๋ยวข้าจะทำให้เ้าประหลาดใจ”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหานตอบรับก่อนหมุนกายวิ่งจากไป
มู่จื่อหลิงหาที่นั่งลง นางรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณใต้ฝ่าเท้าเล็กน้อย จึงถอดถุงเท้าและรองเท้าออกจนหมด
นางเริ่มต้นใช้งานระบบซิงเฉิน นำยาคลายอาการปวดเมื่อยออกมานวดบริเวณฝ่าเท้าเบาๆ
มู่จื่อหลิงนั่งนวดเท้าอย่างสบายอกสบายใจ ไหนเลยจะรู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของนางที่อยู่ด้านล่างศาลาล้วนตกอยู่ในสายตาหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ชั้นสองของศาลา
แรกเริ่มนั้นหลงเซี่ยวอวี่งีบหลับอยู่บนเบาะนอน ตอนที่พวกมู่จื่อหลิงเดินเข้ามา แม้ตอนเดินจะไม่มีเสียง แต่แค่พวกนางเข้ามาใกล้บริเวณนี้ เขาสามารถรู้สึกได้จากสัญชาตญาณระวังภัยของเขาทันที
เขาลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นั่งอยู่บนเบาะพลางหลุบสายตามองมู่จื่อหลิง
การออกแบบของศาลาแห่งนี้พิเศษเป็อย่างยิ่ง เมื่อมองจากชั้นสองลงไปด้านล่างก็จะเห็นทุกอย่างราวกับกระจกใส แต่หากมองจากชั้นหนึ่งขึ้นไปก็จะเห็นเพียงหลังคาสีดำสนิทเท่านั้น
เห็นมู่จื่อหลิงถอดรองเท้าออกอย่างเป็ธรรมชาติ แววตาของหลงเซี่ยวอวี่ก็ผิดแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย และแฝงโทสะไว้บางส่วน แต่เขาก็มิสนใจเท่าใดนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวหานก็อุ้มฉินเข้ามา
“คุณหนู ฉินมาแล้วเ้าค่ะ” เสี่ยวหานเดินเข้ามาอย่างหอบๆ
“วางไว้ตรงนี้เถิด เห็นเ้ารีบเร่งนัก นั่งพักสักหน่อย ข้าจะดีดฉินให้เ้าฟัง” มู่จื่อหลิงยิ้มให้เสี่ยวหานบางๆ สวมรองเท้า เดินไปด้านข้างฉิน
ดีดฉิน? คุณหนูจะดีดฉินหรือ?
ั้แ่เล็กนางก็ติดตามคุณหนูจนเติบใหญ่มาพร้อมกัน มิเคยเห็นคุณหนูเรียนดีดฉินมาก่อน ‘คุณหนู ท่านดีดฉินได้จริงหรือ บ่าวไม่ขอฟังได้หรือไม่’
เสี่ยวหานที่อยู่ด้านข้างคิดอย่างโศกเศร้า จากนั้นก็ปลอบตนเองด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวต่อความตาย ขอแค่คุณหนูดีด ไม่ว่าจะเป็ท่วงทำนองปีศาจที่ทิ่มแทงรูหูนางก็จะฟัง และยังต้องทำท่าทางว่าไพเราะอย่างยิ่ง ไม่ง่ายดายเลยที่คุณหนูจะสนใจสิ่งของเช่นนี้ นางมิอาจทำให้คุณหนูผิดหวังได้
มู่จื่อหลิงนั่งลงบนพื้น หลุบดวงตาลง ตกอยู่ในโลกที่ตนเองรังสรรค์ขึ้น นิ้วมือขาวผ่องและงดงามพลิ้วไหวอย่างเป็ธรรมชาติบนสายฉิน ั์ตาดำกระจ่างใสคู่นั้นทอประกายแวววาว ทำให้ผู้คนรู้สึกมิอาจเอื้อมถึง ในชั่วขณะที่ไม่ทันรู้ตัวก็ถูกเสียงฉินดึงดูดเข้าแล้ว เคลิบเคลิ้มไปทั้งบทเพลงและผู้เล่น
ท่วงทำนองที่เรียบง่ายสง่างาม และการขับร้องที่ไพเราะมั่นคง
หมึกหยดลงสู่น้ำ ข้ามผ่านกอบุปผา
โอบกอดนภาแห่งสายันต์ แบกไม้ไผ่กลับเรือน
หากดวงตาเ้ามองเห็นสายธาราในใจข้า
ข้าขอภาวนาทุกย่างก้าวด้วยดอกบัว
หาได้รู้ที่แห่งนั้นปกคลุมด้วยผืนหญ้า ตัวข้าถูกกาลเวลาเร่งให้แก่เฒ่า
่เวลาอันงดงามสูญสลายไปชั่วรอยยิ้มเดียว
......
เหลือไว้เพียงถ้วยชากลวงสีหม่น
หาได้รู้ที่แห่งนั้นปกคลุมด้วยผืนหญ้า ตัวข้าถูกกาลเวลาเร่งให้แก่เฒ่า
่เวลาอันงดงามสลายไปชั่วรอยยิ้มเดียว
ใน่ท้ายบทเพลง เสียงฉินดังขึ้นอย่างอ้อยอิ่งเป็พิเศษทิ้งตะกอนไว้ในใจผู้ฟัง ราวกับมีหมอกรุ่งเช้าอันเบาบางแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ
“เสี่ยวหาน เสี่ยวหาน เป็อย่างไร” มู่จื่อหลิงมองไปยังเสี่ยวหานที่มัวเมาอยู่ในบทเพลง จนนางได้สติก็รู้สึกอับจนวาจา เมื่อครู่เพิ่งจะสงสัยในตัวคุณหนูอยู่เลย เวลานี้ฟังจนเคลิบเคลิ้มไปเสียแล้ว
“คุณ...คุณหนู ท่าน...ท่านดีดฉินได้? ทั้งยังขับร้องได้? ไพเราะอย่างยิ่งเ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยฟังเสียงที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อน เมื่อครู่นี้คุณหนูงดงามนัก ราวกับเทพธิดาลงมาจุติเลยเ้าค่ะ”
เสี่ยวหานกล่าวอย่างตื่นเต้น ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ คุณหนูร่ำเรียนมาั้แ่เมื่อไรกัน เหตุใดนางจึงไม่รู้เลย
มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างทะเล้น “เ้าอยากเรียนหรือไม่ ต่อไปมีโอกาสข้าจะสอนเ้า” มู่จื่อหลิงนั้นเห็นเสี่ยวหานเป็น้องสาวของนางมาตั้งนานแล้ว
“ไม่ๆ คุณหนู บ่าวไม่อยากเรียน บ่าวเพียงอยากฟังคุณหนูดีดฉินเท่านั้น” เสี่ยวหานส่ายศีรษะโบกไม้โบกมือถี่ๆ นางมิต้องเรียนหรอก ฟังคุณหนูดีดดีกว่า
“เช่นนั้น ต่อไปข้าจะดีดให้เ้าฟังเพียงคนเดียว ดีหรือไม่” มู่จื่อหลิงยิ้มด้วยใบหน้าที่ฉายแววอ่อนโยน
เสี่ยวหานผงกศีรษะแล้วก็ส่ายศีรษะ “คุณหนูต้องดีดให้ฉีอ๋องฟังนะเ้าคะ” หากท่านอ๋องรู้ว่าคุณหนูมิใช่ผู้ไร้ความสามารถและคุณธรรมจรรยา ทั้งยังเก็บงำความสามารถ ต้องชมชอบคุณหนูของนางเป็แน่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้